วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ชีวิตพระเยซูคริสต์ : สอนให้ยินดีในสิ่งถาวรนิรันดร์

 รวมบทความชีวิตพระเยซูคริสต์

แบ่งปันต่อครับ

Luke 10:16 “ผู้​ที่​ฟัง​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ก็​ได้​ฟัง​เรา ผู้​ที่​ไม่​ยอมรับ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ก็​ไม่​ยอมรับ​เรา ผู้​ที่​ไม่​ยอมรับ​เรา​ก็​ไม่​ยอมรับ​ผู้​ที่​ใช้​เรา​มา”
Luke 10:17 ฝ่าย​สาวก​เจ็ด​สิบ​คน​นั้น​กลับมา​ด้วย​ความ​ปรีดี​ทูล​ว่า “​พระ​องค์​เจ้า​ข้า ถึง​ผี​ทั้ง​หลาย​ก็​ได้​อยู่​ใต้​บังคับ​ของ​พวก​ข้า​พระ​องค์​โดย​พระ​นาม​ของ​พระ​องค์”
Luke 10:18 ​พระ​องค์​ตรัส​กับ​เขา​ทั้ง​หลาย​ว่า “เรา​ได้​เห็น​ซาตาน​ ตก​จาก​ฟ้า​เหมือน​ฟ้า​แลบ​
Luke 10:19 ดู​เถิด เรา​ได้​ให้​พวก​ท่าน​มี​อำนาจ​เหยียบ​งู​ร้าย​และ​แมง​ป่อง และ​มี​อำนาจ​ใหญ่​ยิ่ง​กว่า​กำลัง​ศัตรู ไม่​มี​สิ่ง​หนึ่ง​สิ่ง​ใด​จะ​ทำ​อันตราย​แก่​ท่าน​ได้​เลย​
Luke 10:20 แต่​ว่า​อย่า​เปรม​ปรีดิ์​ใน​สิ่ง​นี้ คือ​ที่​พวก​ผี​อยู่​ใต้​บังคับ​ของ​พวก​ท่าน แต่​จง​เปรม​ปรีดิ์ เพราะ​ชื่อ​ของ​ท่าน​จด​ไว้​ใน​สวรรค์”

     ข้อ 16 ได้พูดถึงการต้อนรับหรือไม่ต้อนรับผู้ืที่พระเจ้าใช้ไป ซึ่งได้แก่ผู้ที่พระเยซูใช้ไปคือพวกสาวก 70 คนก่อนหน้านี้ บอกว่าถ้ารับพวกสาวกก็คือต้อนรับพระเยซูคริสต์ หรือในความหมายสมัยนี้ก็คือถ้าผู้ใดได้ต้อนรับเราซึ่งเป็นสาวกพระเยซูในยุคปัจจุบันก็คือได้ต้อนรับพระเยซูด้วย หลังจากนั้นพระองค์ได้พูดต่อว่าผู้ที่ไม่ยอมรับพระเยซูก็คือผู้ที่ไม่ยอมรับพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงใช้พระเยซูมาในโลกนี้เมื่อสองพันปีที่แล้วด้วย

     ข้อ 17 เป็นต้นไปพวกสาวก 70 คนนั้นได้รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่พระเยซูใช้ไปเป็นคู่ๆ นี่ก็เป็นข้อคิดแก่เรานะครับว่า เมื่อพระเจ้าใช้เราให้ไปทำอะไรแล้ว ต้องกลับมารายงานผลที่เกิดขึ้นด้วยว่าเป็นอย่างไร พวกเขาได้กลับมารายงานด้วยความยินดีปรีดาว่าผีทั้งหลายอยู่ใต้การบังคับโดยพระนามพระเยซู
ผียำเกรงพระนามพระเยซู และพระเยซูได้เห็นมันตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ คือมันอยู่ใต้บังคับโดยพระนามพระเยซู มันหมดฤทธิ์อำนาจของมัน นี่เป็นตอนที่มันยังอยู่ในโลก ณ ปัจจุบัน มันถูกควบคุมเป็นครั้งเป็นคราวโดยพระนามพระเยซูคริสต์ แต่ในวันสุดท้ายมันจะหมดอำนาจของมันตลอดนิรันดร์

     ข้อ 19 พระเยซูบอกว่าได้ให้เรามีอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่อง คือสัตว์ที่มีพิษร้ายทั้งสิ้นทำให้ตายได้ เปรียบซาตานเป็นเหมือนสัตว์ร้ายพวกนี้ พระเยซูได้ให้อำนาจแก่เราเหยียบงูร้ายและแมงป่องคือซาตานและพวกของมัน มีอำนาจใหญ่ยิ่งกว่ากำลังของพวกศัตรูคือพวกผีร้ายทั้งหมด แต่พระเยซูบอกว่าอย่าชื่นชมยินดีในสิ่งเหล่านี้ที่ผีเหล่านี้อยู่ใต้อำนาจเราโดยนามพระเยซู แต่ให้ยินดีเพราะชื่อเราจดไว้ในสวรรค์  ให้ยินดีในความมั่นคงถาวรของถิ่นที่อยู่ของเราตลอดไปในสวรรค์ ไม่ให้ยินดีจนหลงลืมสิ่งที่สำคัญที่สุึดคือชีวิตนิรันดร์ บางคนในโลกพระเจ้าใช้แต่เขาหลงลืมไปกับอำนาจของพระเจ้าที่ใช้ผ่านเขาให้คนได้รับการเยียวยาสัมผัสแตะต้องฤทธิ์เดช สุดท้ายเขาหลงลืมพระเจ้าไปเลย

     กลับมาดูอีกนิดในข้อ 19 คำว่า "อำนาจ" นี้คือคำว่า สิทธิอำนาจ exousia นะครับ ผมพูดเรื่องนี้บ่อยแล้ว เปรียบเหมือนตำรวจตัวเล็กแต่บังคับรถบรรทุกคันใหญ่ให้หยุดได้ เพราะอะไร สิทธิอำนาจของฐานะในตัวเขา สำหรับเราฐานะของเราคือเราเป็นลูกพระเยซูคริสต์ ฐานะของเราถูกยกขึ้นเหนือผีมารซาตาน เราจึงมีสิทธิอำนาจเหนือผีมารซาตานเหล่านี้ได้  พระองค์ให้เรามีอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่อง คำแปลในภาษากรีกคือคำว่า "กระทืบ" ให้ภาพที่เห็นได้ชัดเจนกว่า  พระเยซูให้สิทธิอำนาจแก่เรากระทืบงูร้ายและแมงป่องได้  และมีสิทธิอำนาจ exousia เหนือกำลัง dunamis ของศัตรู คำว่ากำลังก็เหมือนที่ผมเปรียบเทียบละครับ เหมือนรถบรรทุกคันใหญ่มีกำลังมาก แต่ต้องหยุดเมื่อตำรวจยกมือห้ามให้หยุด  ขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้าให้สิทธิอำนาจแก่เรา ห้ามบังคับให้สิ่งชั่วร้ายอันตรายทั้งหลายต้องหยุดพิษสงหรือdunamisหรือฤทธิ์เดชของมัน ในพระนามพระเยซูคริสต์  ไม่มีสิ่งใดทำอันตรายแก่เราได้ เราต้องยืนในจุดยืนนี้ไว้ครับ

     อย่าให้สิ่งใดมาหลอกลวงล่อเราได้ ผีร้ายไม่สามารถทำอันตรายแก่เราได้ แต่สิ่งที่มันทำไ้ด้มีสิ่งเดียวคือล่อลวง เหมือนงูมาล่อลวงฮาวาให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับผลแห่งต้นไม้นั้น  นี่เป็นเล่เหลี่ยมของผีมารซาตาน มันพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว ทำให้เราเข้าใจผิด สิ่งเดียวที่มันสามารถทำได้ในปัจจุบันนี้คือการล่อลวงเรา ใช้ความจริงเพียงบางส่วนหลอกล่อเรา ทำให้เราทำผิดทำบาปต่อพระเจ้า ไม่จริงหรอก.. ไม่เป็นไรหรอก.. โกหกได้ด้วยใจบริสุทธิ์... คอรัปชั่นได้เพื่อเอาไปช่วยคนอื่น... ฯลฯ นี่คือสิ่งที่ผีมารซาตานชอบใช้พูดล่อลวงให้เราคิดเหมือนที่ฮาวาคิดตามงูนั้น ไม่ตายจริงหรอก ปฐมกาล บทที่ 3

     ไม่มีสิ่งใดทำอันตรายแก่เราได้ ขอบคุณพระเจ้า แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือการหลอกลวง การล่อลวง การใช้อุบายทำให้คนเข้าใจตีความพระวจนะของพระเจ้าผิด จำไว้นะครับว่า John 8:44 ท่าน​ทั้ง​หลาย​มา​จาก​พ่อ​ของ​ท่าน​คือ​มาร และ​ท่าน​ใคร่​จะ​ทำ​ตาม​ความ​ปรารถนา​ของ​พ่อ​ท่าน มัน​เป็น​ผู้​ฆ่า​คน​ตั้งแต่​ปฐม​กาล และ​มิได้​ตั้งอยู่​ใน​สัจจะ เพราะ​มัน​ไม่​มี​สัจจะ เมื่อ​มัน​พูด​เท็จ​มัน​ก็​พูด​ตาม​สันดาน​ของ​มัน​เอง เพราะ​มัน​เป็น​ผู้​มุสา​และ​เป็น​พ่อ​ของ​การ​มุสา​     มัีนเป็นพ่อของการมุสา เล่เหลี่ยมในการมุสาของมันมีมากมาย และมันก็ต้องการล่อคริสเตียนเสียด้วยให้ไม่ติดตามพระเจ้า ให้ทิ้งทางพระเจ้า ให้หมดความเชื่อในพระเจ้า ให้ไม่ขอบคุณพระเจ้า ให้ไม่ภักดีกับพระเจ้า ให้ชุมชนแตกแยกกัน ให้คนมีเรื่องต่อกัน ให้คนหมดความไว้วางใจกัน ฯลฯ อีกมากมาย


     ขอให้เราทั้งหลายได้ยืนในจุดยืนที่ถูกต้อง ขอพระเจ้าประทานให้ท่านมีความสว่างแก่ใจจะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย อะไรถูกต้อง อะไรเป็นการล่อลวงที่มาจากผีมารซาตาน ขอพระเจ้าอวยพระพรท่านในปีใหม่ที่กำลังจะถึงนี้ให้ชีวิตของท่านเจริญขึ้นเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เจ้าอีกปีหนึ่ง ให้ท่านมีพระพรเปี่ยมล้นทั้งต่อชีวิตของท่านเองและต่อเพื่อนบ้านของท่าน ในพระนามพระเยซูเจ้า อาเมน.

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ชีวิตพระเยซูคริสต์ : เตือนให้รู้ว่าโทษของผู้ที่ได้ยินข่าวประเสริฐแต่ไม่กลับใจใหม่จะหนักกว่า

รวมบทความชีวิตพระเยซูคริสต์

จาำกแผนที่จะเห็นเมืองโคราซิน เบธไซดา และคาเปอรนาอูม อยู่รอบๆไม่ไกลจากทะเลสาบกาลิลี ขณะที่ ไทระอยู่ไกลออกไป

     เมื่อสัปดาห์ที่แล้วไปต่างจังหวัดเลยลืมเขียนไปสัปดาห์หนึ่ง ขอแบ่งปันต่อนะครับ ครั้งนี้เป็นตอนที่ต่อมาจากครั้งที่แล้ว หลังจากพระเยซูส่งสาวกออกไปเจ็ดสิบคนแล้ว ตอนท้ายได้กล่าวถึงเมืองที่ไม่รับรองหรือไม่ต้อนรับพวกสาวกที่มาประกาศแผ่นดินของพระเจ้าว่าโทษของเมืองโสโดมจะเบากว่าโทษของเมืองนั้น เมืองโสโดมคือเมืองที่พระเจ้าทำลายเพราะชาวเมืองโสโดมเป็นคนชั่วช้าทำบาปผิดต่อพระเจ้าเป็นอันมาก ปฐมกาล 13:13 ตอนทูตสวรรค์ของพระเจ้าสององค์ไปที่เมืองนั้น ชาวเมืองก็พากันมารุมล้อมบ้านให้ส่งตัวสองคนนั้นออกมาเพื่อจะได้สมสู่กับพวกเขา ปฐมกาล บทที่ 19 ความบาปผิดช่างชั่วร้ายยิ่ง พระเจ้าได้ให้ไฟและกำมะถันตกมาจากฟ้าทำลายเมืองโสโดมและโกโมราห์เสีย ปฐมกาล 19:24
นี่คือเมืองที่พระเจ้าบอกว่าโทษจะเบากว่าเมืองที่ไม่ต้อนรับคนที่มาประกาศข่าวประเสริฐ ผมว่าก็จริงนะครับ เพราะคนที่ไม่ได้ต้อนรับพระเจ้ามรดกของเขาคือที่บึงไฟตลอดไปเป็นนิตย์ วิวรณ์ 21:8 โสโดมนั้นไฟลงมาครั้งเดียว แต่นี่ไฟไหม้ตลอดไปเป็นนิตย์   ต่อมาพระคัมภีร์ได้พูดถึงชื่อเมืองต่างๆในข้อต่อๆมาอีก

Luke 10:13 “วิบัติ​แก่​เจ้า ​เมือง​โค​รา​ซิน วิบัติ​แก่​เจ้า ​เมือง​เบธ​ไซ​ดา ถ้า​การ​มหัศจรรย์​ซึ่ง​ได้​กระทำ​ท่ามกลาง​เจ้า​ได้​กระทำ​ใน​เมือง​ไท​ระ​และ​เมือง​ไซ​ดอน ​ คน​ใน​เมือง​ทั้ง​สอง​คง​ได้​นุ่ง​ห่ม​ผ้า​กระสอบ นั่ง​บน​ขี้เถ้า กลับ​ใจ​เสีย​ใหม่​นาน​มา​แล้ว​
Luke 10:14 แต่​ใน​วัน​พิพากษา​นั้น โทษ​เมือง​ไท​ระ​และ​เมือง​ไซ​ดอน​จะ​เบา​กว่า​โทษ​ของ​เจ้า​
Luke 10:15 ฝ่าย​เจ้า​เมือง​คาเปอร​นาอุม เจ้า​จะ​ถูก​ยกขึ้น​เทียม​ฟ้า​หรือ มิได้ เจ้า​จะต้อง​ลง​ไป​ถึง​แดน​คน​ตาย​ต่างหาก

     ในตอนนี้ได้พูดถึงโทษของเมืองไทระและเมืองไซดอนว่าจะเบากว่าโทษของเมืองโคราซินและเมืองเบธไซดา เมืองไทระอาจจะมีโทษเพราะชาวเมืองนั้นได้นำสินค้ามาขายในวันสะบาโตที่เยรูซาเล็ม ซึ่งวันสะบาโตเป็นข้อห้ามของชาวยิวในการทำงานในวันนั้น เนหะมีย์ 13:15-17 และพระเจ้าได้กล่าวโทษเมืองไทระไว้ใน เอเสเคียล 26:2-6 เอเสเคียล บทที่ 26-28 เมืองไซดอน คนอิสราเอลก็กระทำชั่วอีก ไปปรนนิบัติพระของเมืองไซดอน ผู้วินิจฉัย 10:6  คำพยากรณ์กล่าวโทษเมืองไซดอน เอเสเคียล 28:21-23  และพระคัมภีร์ยังได้บอกว่าถ้าการอัศจรรย์ที่ได้ทำเช่นเดียวกันในเมืองโคราซินและเมืองเบธไซดาได้ทำในเมืองนี้ คนในเมืองนี้คงกลับใจใหม่นานแล้ว เมืองไทระและเมืองไซดอนเป็นเมืองของคนต่างชาติ อยู่ในฟินีเซีย ทางเหนือของกาลิลี ซึ่งไม่มีโอกาสได้เห็นการอัศจรรย์ของพระเยซูและไม่ได้ยินคำเทศนาของพระองค์อย่างคนที่อยู่ในกาลิลี

     เราจะเห็นว่าหลังจากที่พระเยซูกล่าวในพระคัมภีร์ตอนนี้แล้ว พระองค์ก็เข้าไปที่เมืองไทระและไซดอน มัทธิว 15:21 และเราได้เห็นคนตอบสนองพระกิตติคุณออกมาหาพระเยซูกันมากมายใน มาระโก 3:7-8

     เมืองโคราซินถูกอ้างถึงในพระคัมภีร์เพียงสองครั้ง อยู่ใกล้ทะเลกาลิลี ห่างจากคาเปอรนาอูมไปทางเหนือ 3.2 กม. เมืองเบธไซดา ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลกาลิลี แถบดินแดนที่พระเยซูใช้ชีวิตอยู่ พวกเขาย่อมต้องเห็นหมายสำคัญการอัศจรรย์และคำสั่งสอนของพระเยซูมากกว่าเมืองไทระและไซดอนที่ยังไม่เคยได้ยินพระกิตติคุณ พระเยซูถึงบอกว่าถ้าสองเมืองนี้ได้ิยินแล้วไม่กลับใจใหม่ โทษจะหนักกว่าผู้ที่ยังไม่เคยได้ิยินแน่

     ส่วนเมืองคาเปอรนาอูมหมู่บ้านริมทะเลสาบกาลิลียิ่งใกล้พระเยซูเข้าไปใหญ่  เมืองนี้คือเมืองที่พระเยซูใช้บ้านของเปโตร เป็นศูนย์กลางขณะพระองค์ขยายพันธกิจของพระองค์ในกาลิลี


บ้านเปโตรที่คาเปอร์นาอูม ปัจจุบันถูกสร้างโบสถ์คล่อมลงไป
ซากหมู่บ้านคาเปอรนาอูมริมทะเลสาบกาลิลี

     โดยสรุึปของคำเตือนจากพระเยซูก็คือว่าถ้าผู้ใดได้ใกล้ชิดพระวจนะ ได้ใกล้ชิดพระเยซู ได้เห็นการอัศจรรย์ต่างๆแล้วไม่กลับใจใหม่ โทษจะหนักกว่าผู้ที่ยังไม่เคยได้ยินข่าวประเสริฐ

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ชีวิตพระเยซูคริสต์ : ส่งสาวกไปประกาศและรักษา

รวมบทความชีวิตพระเยซูคริสต์
 
     สวัสดีครับพี่น้องทุกท่าน ขอพระเจ้าชูกำลังพี่น้องทุกคนที่ยังประสบสภาวะน้ำท่วมอยู่ในเวลานี้นะครับ มาอ่านพระวจนะกันต่อครับ

Luke 10:1 ภายหลัง​เหตุการณ์​เหล่า​นั้น ​พระ​เยซู​ทรง​ตั้ง​สาวก​อื่น​อีก​เจ็ด​สิบ​คน​ไว้ และ​ใช้​เขา​ออกไป​ที​ละ​สอง​คนๆ ให้​ล่วงหน้า​พระ​องค์​ไป​ก่อน ให้​เข้า​ไป​ทุก​เมือง​และ​ทุก​ตำบล​ที่​พระ​องค์​จะ​เสด็จ​ไป​นั้น​
Luke 10:2 ​พระ​องค์​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “ข้าว​ที่​ต้อง​เกี่ยว​นั้น​มี​มาก​แต่​คนงาน​ยัง​น้อย​อยู่ เหตุ​ฉะนั้น พวก​ท่าน​จง​อ้อน​วอน​พระ​องค์​ผู้​ทรง​เป็น​เจ้า​ของ​นา ให้​ส่ง​คนงาน​มา​เ​ก็​บ​เกี่ยว​พืชผล​ของ​พระ​องค์
Luke 10:3 ไป​เถอะ ดู​เถิด เรา​ใช้​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ไป​ดุจ​ลูก​แกะ​อยู่​ท่ามกลาง​ฝูง​สุนัข​ป่า
Luke 10:4 อย่า​เอา​ไถ้​เงิน หรือ​ย่าม หรือ​รองเท้า​ไป และ​อย่า​คำนับ​ผู้ใด​ตาม​ทาง​
Luke 10:5 ถ้า​จะ​เข้า​ไป​ใน​เรือน​ใดๆ จง​พูด​ก่อน​ว่า ‘ให้​ความ​สุข​มี​แก่​เรือน​นี้​เถิด’
Luke 10:6 ถ้า​ลูก​แห่ง​สันติ​สุข​อยู่​ที่​นั่น สันติ​สุข​ของ​ท่าน​จะ​อยู่​กับ​เขา ถ้า​หา​ไม่ สันติ​สุข​ของ​ท่าน​จะ​กลับ​อยู่​กับ​ท่าน​อีก​
Luke 10:7 จง​อาศัย​อยู่​ใน​เรือน​นั้น กิน​และ​ดื่ม​ของ​ซึ่ง​เขา​จะ​ให้​นั้น ด้วย​ว่า​ผู้​ทำงาน​สมควร​จะ​ได้รับ​ค่าจ้าง​ของ​ตน อย่า​เที่ยว​จาก​เรือน​นี้​ไป​เรือน​โน้น​
Luke 10:8 ถ้า​ท่าน​จะ​เข้า​ไป​ใน​เมือง​ใดๆ และ​เขา​รับรอง​ท่าน​ไว้​จง​กิน​ของ​ที่​เขา​ตั้ง​ให้​
Luke 10:9 และ​จง​รักษา​คน​ป่วย​ใน​เมือง​นั้น​ให้​หาย และ​แจ้ง​แก่​เขา​ว่า ‘แผ่นดิน​ของ​พระ​เจ้า​มา​ใกล้​ท่าน​ทั้ง​หลาย​แล้ว​’
Luke 10:10 ถ้า​ท่าน​จะ​เข้า​ไป​ใน​เมือง​ใดๆ และ​เขา​ไม่​รับรอง​ท่าน​ไว้ จง​ออกไป​ที่​กลาง​ถนน​เมือง​นั้น​กล่าว​ว่า​
Luke 10:11 ‘ถึงแม้​ผง​คลี​ดิน​แห่ง​เมือง​ของ​เจ้า​ทั้ง​หลาย​ที่​ติด​อยู่​กับ​เท้า​ของ​เรา เรา​ก็​สะบัด​ออกเป็น​ที่​แสดง​ว่า เรา​ไม่​เห็น​พ้อง​กับ​เจ้า แต่​เจ้า​ทั้ง​หลาย​จง​เข้า​ใจความ​นี้​เถิด คือ​แผ่นดิน​ของ​พระ​เจ้า​มา​ใกล้​แล้ว​’
Luke 10:12 เรา​บอก​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ว่า โทษ​ของ​เมือง​โสโดม​ใน​วัน​นั้น​จะ​เบา​กว่า​โทษ​ของ​เมือง​นั้น

     เรื่องส่งสาวกเจ็ดสิบคนนี้เป็นตอนที่หลังจากพระองค์่ส่งออกไปสิบสองคนแล้ว ครั้งก่อนใช้ไปประกาศแผ่นดินของพระเจ้าและรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย ครั้งนี้ใช้ให้ออกไปคู่ๆเช่นเคย ให้เข้าไปทุกเมืองและทุกตำบลก่อนที่พระองค์จะเสด็จเข้าไป เป็นเหมือนผู้เตรียมทางก่อนพระองค์จะเสด็จมา เป็นเหมือน ยอห์น บัพติศโตมาเตรียมทางก่อนพระเยซูจะมา และว่าข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากแต่คนงานยังน้อยอยู่ จงขอต่อเจ้าของนาให้ส่งคนงานเข้ามาทำการเก็บเกี่ยว

     ในการใช้เจ็ดสิบคนนี้ดูแตกต่างหน่อยหนึ่งจากการใช้สิบสองคนซึ่งเป็นอัครทูตของพระองค์ สิบสองคนนั้นออกไปประกาศและรักษา พวกเขาก็ออกไปและกลับมาเล่าสิ่งที่ได้เกิดขึ้นระหว่างออกไปกระทำและสั่งสอน แต่ในพวกเจ็ดสิบคนนี้ได้เตือนให้ไปด้วยความระมัดระวังด้วย เหมือนลูกแกะอยู่ท่ามกลางฝูงสุนัขป่า มีความแตกต่างกันหรือไม่ในกลุ่มคนสองกลุ่มนี้ กลุ่มแรกพวกอัครทูต กลุ่มที่สองกลุ่มเจ็ดสิบคน จะเปรียบเหมือนกลุ่มคนที่มีภาระใจห้าวหาญเหมือนอย่างกลุ่มอัครทูต กับกลุ่่มสมาชิกต่างๆได้หรือไม่ ที่เมื่อไปพระเยซูได้เตือนว่าใช้ไปดุจลูกแกะอยู่ท่ามกลางฝูงสุนัขป่า ความจริงแล้วไม่ว่าใคร ไม่ว่าผู้นำระดับไหน ล้วนแล้วแต่ต้องระมัดระวังตัวทั้งสิ้น ไม่ว่าใครล้วนถูกโจมตีจากฝูงสุนัขป่าได้ทั้งสิ้น

     ถัดจากนั้นก็เป็นคำสั่งสอนในเรื่องต่าง เช่น ไปด้วยการพึ่งพาพระเจ้า ไม่เอาสิ่งใดติดตัวไป , ก่อนไปขึ้นเรือนใดให้อวยพรเรือนนั้น , อยู่กินกับผู้ที่ต้อนรับ , ให้รักษาคนเจ็บป่วยและประกาศแผ่นดินของพระเจ้า และสะบัดผงคลีดินแสดงการไม่เห็นด้วยหากเมืองนั้นไม่ต้อนรับ เพราะโทษของเมืองโสโดมที่ถูกไฟพระเจ้าเผายังเบากว่าโทษของเมืองนั้นที่ไม่ต้อนรับสาวกที่ออกไปประกาศ เพราะไม่ต้อนรับคนเล็กน้อยก็เหมือนไม่ต้อนรับองค์พระเยซูด้วย ไฟที่เผาเมืองโสโดมยังอยู่ชั่วคราว แต่ไฟในนรกจะเผาไปตลอดนิรันดร์ นี่คือโทษที่พระเยซูคริสต์กล่าว

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ชีวิตพระเยซูคริสต์ : การติดตามพระเยซู



Luke 9:57 เมื่อ​พระ​องค์​กับ​เหล่า​สาวก​กำลัง​เดินทาง​ไป มี​คน​หนึ่ง​ทูล​พระ​องค์​ว่า “​พระ​องค์​เสด็จ​ไป​ทาง​ไหน ข้า​พระ​องค์​จะ​ตาม​พระ​องค์​ไป​ทาง​นั้น”
Luke 9:58 ​พระ​เยซู​ตรัส​แก่​เขา​ว่า “หมา​จิ้งจอก​ยัง​มี​โพรง​และ​นก​ใน​อากาศ​ก็​ยัง​มี​รัง แต่​บุตร​มนุษย์​ไม่​มี​ที่​ที่​จะ​วาง​ศีรษะ”
Luke 9:59 ​พระ​องค์​ตรัส​แก่​อีก​คน​หนึ่ง​ว่า “จง​ตาม​เรา​มา​เถิด” แต่​คน​นั้น​ทูล​ตอบ​ว่า “​พระ​องค์​เจ้า​ข้า ขอ​ทรง​โปรด​ให้​ข้า​พระ​องค์​ไป​ฝัง​ศพ​บิดา​ข้า​พระ​องค์​ก่อน”
Luke 9:60 ​พระ​เยซู​จึง​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “ปล่อย​ให้​คน​ตาย​ฝัง​คน​ตาย​ของ​เขา​เอง​เถิด แต่​ส่วน​ท่าน จง​ไป​ประกาศ​แผ่นดิน​ของ​พระ​เจ้า”
Luke 9:61 อีก​คน​หนึ่ง​ทูล​ว่า “​พระ​องค์​เจ้า​ข้า ข้า​พระ​องค์​จะ​ตาม​พระ​องค์​ไป แต่​ขอ​อนุญาต​ให้​ข้า​พระ​องค์​ไป​ลา​คน​ที่​อยู่​ใน​บ้าน​ของ​ข้า​พระ​องค์​ก่อน”
Luke 9:62 ​พระ​เยซู​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “ผู้ใด​เอา​มือ​จับ​คัน​ไถ​แล้ว หัน​หน้า​กลับ​เสีย ผู้​นั้น​ก็​ไม่​สมควร​กับ​แผ่นดิน​ของ​พระ​เจ้า”
   
     วันนี้จะมาดูเรื่องการติดตามพระองค์ เพราะมีสาวกของพระองค์มาบอกว่าพระองค์ไปทางไหน เขาจะไปทางนั้นด้วย พระองค์จึงกำลังสอนว่าเมื่อจะติดตามพระองค์นั้นต้องไม่พะวงอยู่กับที่อยู่อาศัย พระองค์บอกว่าแม้สุนัขจิ้งจอกและนกยังมีโพรงมีรังที่พำนักอาศัยแต่พระองค์ไม่มีที่จะพำนักพักผ่อน เพราะพระองค์เดินทางไปตามที่ต่างๆ ไปทำพระราชกิจของพระบิดา

     อีกคนหนึ่งเมื่อพระเยซูเรียกให้ติดตามพระองค์ เขาก็พะวงอยู่กับเรื่องญาติสนิทของเขา สิ่งที่พระเยซูสอนในตอนนี้ให้ละความพะวงนั้นไว้เพื่อไปประกาศแผ่นดินของพระเจ้า


     ส่วนอีกคนหนึ่งก่อนจะติดตามพระองค์ขอไปลาคนในบ้านก่อน คนนี้พะวงอยู่กับเรื่องคนที่อยู่ในบ้านเดียวกัน

     เส้นทางในการติดตามพระเยซูคริสต์ 1. ไม่พะวงอยู่กับเรื่องที่อยู่อาศัย  2. ไม่พะวงอยู่กับเรื่องญาติสนิทของตนเอง  3. ไม่พะวงเกี่ยวกับเรื่องคนที่อาศัยอยู่ด้วยกัน

     พระเยซูถึงได้พูดว่า ถ้าผู้ใดเอามือจับคันไถ เริ่มต้นทำหน้าที่แล้ว แต่หันหน้ากลับเสีย ไม่ทำต่อไปแล้ว เหมือนบริบทในตอนนี้ ถ้าผู้ใดกำลังติดตามเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ ต้องรู้ว่าเขาจะเผชิญสิ่งใด และเขาต้องผ่านสิ่งนั้น บททดสอบนั้นให้ได้ ถ้าผู้ใดหันหน้ากลับเสีย เริ่มแล้วแต่ไม่ไปต่อให้ตลอด ผู้นั้นก็ไม่สมควรกับแผ่นดินของพระเจ้า

     ขอพระเจ้าดูแลเราทั้งหลายทุกคนที่ได้ติดตามพระเจ้า ให้ติดตามด้วยความหนักแน่นมั่นคง ไม่โลเลเหลาะแหละ เดินทางทิ้งชีวิตเก่าออกมาจากโลกนี้แล้ว ให้จุดโฟกัสของเขาเหล่านั้นมุ่งหน้าต่อไป สายตาความสนใจจับจ้องไปที่องค์พระเยซูคริสต์ผู้เป็นความหวังใจของเราทั้งหลาย ผู้เป็นความบริบูรณ์สำหรับเราทั้งหลาย ฯลฯ แล้วก็ก้าวต่อไป ผ่านขวากหนาม ผ่านสิ่งต่างๆที่ต้องเผชิญไปให้ได้โดยพระคุณของพระเจ้าที่ทรงช่วยเรา เราไม่ได้ดำเนินชีวิตอยู่เพียงลำพังแต่เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเราตลอดเวลา เป็นผู้คอยให้กำลัง ความหวัง การช่วยเหลือ การปลอบประโลม ฯลฯ อยู่ตลอดเวลา ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน..

คำแบ่งปันจากพระวจนะ 19 พ.ย. 11


วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

คำแบ่งปันจากพระวจนะ 12 พ.ย. 11


ชีวิตพระเยซูคริสต์ : มิได้มาเพื่อทำลายชีวิตแต่เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด

ดูต่อครับ

ฉบับ1971
Luke 9:51 ครั้น​จวน​เวลา​ที่​พระ​องค์​จะ​ทรง​ถูก​รับ​ขึ้น​ไป ​พระ​องค์​ทรง​ตั้ง​พระ​ทัย​แน่ว​ไป​ยัง​กรุง​เยรูซาเล็ม​
Luke 9:52 และ​พระ​องค์​ทรง​ใช้​ทูต​ล่วงหน้า​ไป​ก่อน เขา​ก็​เข้า​ไป​ใน​หมู่​บ้าน​แห่ง​หนึ่ง​ของ​ชาว​สะมาเรีย เพื่อ​จะ​เตรียม​ไว้​ให้​พระ​องค์​
Luke 9:53 ชาว​บ้าน​นั้น​ไม่​รับรอง​พระ​องค์​เพราะ​พระ​องค์​กำลัง​เสด็จ​ไป​ยัง​กรุง​เยรูซาเล็ม​
Luke 9:54 เมื่อ​สาวก​ของ​พระ​องค์ คือ​ยากอบ​และ​ยอห์น​ได้​เห็น​ดังนั้น เขา​ทูล​พระ​องค์​ว่า “​พระ​องค์​เจ้า​ข้า ​พระ​องค์​พอ​พระ​ทัย​จะ​ให้​ข้า​พระ​องค์​ขอ​ไฟ​ลง​มา​จาก​สวรรค์​เผา​ผลาญ​เขา​เสีย​อย่าง​เอลียาห์​ได้​กระทำ​นั้นหรือ”
Luke 9:55 แต่​พระ​องค์​ทรง​เหลียว​มา​ห้าม​ปราม​เขา​​พระ​องค์​ตรัส​ว่า “ท่าน​ไม่​รู้​ว่า ท่าน​มี​จิตใจ​ทำนอง​ใด
Luke 9:56 เพราะ​ว่า​บุตร​มนุษย์​มิ​ได้มา​เพื่อ​ทำลาย​ชีวิต​มนุษย์ แต่​มา​เพื่อ​ช่วย​เขา​ทั้ง​หลาย​ให้​รอด” แล้ว​พระ​องค์​กับ​เหล่า​สาวก​ก็​เลย​ไป​ที่​หมู่​บ้าน​อีก​แห่ง​หนึ่ง​

ฉบับไทยคิงเจมส์
Luke 9:51 ต่อมาครั้นจวนเวลาที่พระองค์จะทรงถูกรับขึ้นไป พระองค์ทรงมุ่งพระพักตร์แน่วไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
Luke 9:52 และพระองค์ทรงใช้ผู้ส่งข่าวล่วงหน้าไปก่อน เขาก็เข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของชาวสะมาเรียเพื่อจะเตรียมไว้ให้พระองค์
Luke 9:53 ชาวบ้านนั้นไม่รับรองพระองค์ เพราะดูเหมือนว่าพระองค์กำลังทรงมุ่งพระพักตร์ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
Luke 9:54 และเมื่อสาวกของพระองค์ คือยากอบและยอห์นได้เห็นดังนั้น เขาทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์พอพระทัยจะให้ข้าพระองค์ขอไฟลงมาจากสวรรค์ เผาผลาญเขาเสียอย่างเอลียาห์ได้กระทำนั้นหรือ"
Luke 9:55 แต่พระองค์ทรงเหลียวมาห้ามปรามเขา และตรัสว่า "ท่านไม่รู้ว่าท่านมีจิตใจทำนองใด
Luke 9:56 เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อทำลายชีวิตมนุษย์ แต่มาเพื่อช่วยเขาทั้งหลายให้รอด" แล้วพระองค์กับเหล่าสาวกก็เลยไปที่หมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง

     วันนี้นำทั้งสองเล่มนี้มาดูด้วยกันเพื่อเราจะได้เห็นสิ่งที่พระคัมภีร์เขียนไว้ได้ชัดเจนขึ้นจากการเปรียบดูในแต่ละฉบับ ในข้อ 51 มุ่งพระพักตร์แน่วไปยังกรุงเยรูซาเล็ม คือ มีความตั้งใจแน่วแน่ตรงไปที่กรุงนั้น ความตั้งใจของพระองค์ตรงไปยังกรุงเยรูซาเล็ม สถานที่ที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์เพื่อเป็นค่าไถ่แก่มนุษย์เป็นอันมาก สถานที่ที่พระองค์จะถูกรับขึ้นไป

     ใจของพระองค์แน่วแน่ไปที่นั่น ในอีกข้อหนึ่งได้บอกไว้  Luke 18:31 ​พระ​องค์​จึง​ทรง​พา​สาวก​สิบ​สอง​คน​ไป​แล้ว​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “ดู​เถิด เรา​ทั้ง​หลาย​จะ​ขึ้น​ไป​ยัง​กรุง​เยรูซาเล็ม​และ​จะ​สำเร็จ​ตาม​สิ่ง​สารพัด ซึ่ง​เหล่า​ผู้เผย​พระ​วจนะ​ได้​เขียน​ไว้​ว่า​ด้วย​บุตร​มนุษย์​

     ในข้อ 52, 53 เราจะเห็นว่าพระองค์ส่งคนเข้าไปในหมู่บ้านชาวสะมาเรีย ซึ่งไม่ถูกกับชาวกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อจะเตรียมไว้ให้พระองค์ เตรียมสิ่งใดพระคัมภีร์ไม่ได้บอกไว้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าคือเตรียมปัสกาไว้สำหรับพระองค์เพื่อจะกินร่วมกับพวกสาวก ดังได้ปรากฏในพระธรรม  Luke 22:8 ​พระ​องค์​จึง​ทรง​ใช้​เปโตร​และ​ยอห์น​ไป สั่ง​เขา​ว่า “จง​ไป​จัดเตรียมปัสกา​ให้​เรา​ทั้ง​หลาย​กิน”    กินเพื่อระลึกถึงพระองค์ที่จะมอบร่างกายและเลือดเพื่อคนทั้งปวง  พระองค์บอกว่าจะไม่กินปัสกาอีกจนกว่าจะสำเร็จความหมายของปัสกา  Luke 22:16 ด้วย​เรา​บอก​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ว่า​เรา​จะ​ไม่​กินปัสกา​นี้​อีก จนกว่า​จะ​สำเร็จ​ความ​หมาย​ของปัสกา​นั้น​ใน​แผ่นดิน​ของ​พระ​เจ้า”   ทุกสิ่งในความตั้งใจของพระองค์ล้วนทำเพื่อจะให้สิ่งที่พระบิดาใช้พระองค์เข้ามาในโลกได้สำเร็จ  ในฉบับ 1971 บอกว่า "ตั้งพระทัยแน่ว"  ในฉบับไทยคิงเจมส์ บอกว่า "มุ่งพระพักตร์แน่ว" อ่านแล้วได้ใจความ ได้ความรู้สึก ได้สัมผัสถึงความแน่วแน่ในจุดประสงค์ที่พระองค์เข้ามาในโลกนี้เพื่อจะทำให้สิ่งนั้นที่เป็นจุดประสงค์การเข้ามาในโลกสำเร็จ    ขอพระเจ้าได้ทรงประทานความตั้งใจแบบนี้ให้สำเร็จในตัวข้าพเจ้าและคนทั้งหลายเช่นกัน  พระองค์ใช้ข้าพเจ้าและคนทั้งหลายในชีวิตนี้อย่างไร ขอพระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จ  สำหรับข้าพระองค์สิ่งที่พระองค์บอกข้าพระองค์ไว้ว่า เตรียมข้าพระองค์ไว้สำหรับการฟื้นฟูประเทศไทย ข้าพระองค์ขอมอบชีวิตนี้ให้อยู่ในน้ำพระทัยและเวลาของพระองค์ ขอถวายพระเกียรติแด่พระองค์ด้วยชีวิตนี้ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน.. 

     ที่นี้พอชาวสะมาเรียรู้ว่าใจพระองค์แน่วแน่ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาเลยไม่ต้อนรับพระองค์ ยากอบและยอห์นก็ช่างใจร้อนดีแท้ เห็นว่าพวกเขาไม่ต้อนรับพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ก็จะขอไฟจากสวรรค์ลงมาทำลายพวกเขาเหมือนกับที่เอลียาห์ได้ทำ ใน 2พงศ์กษัตริย์ 1:10, 12 ที่กษัตริย์ได้ใช้ทหารไปตามเอลียาห์มีนายห้าสิบและทหารอีกห้าสิบคน บอก "ลงมา" แต่เอลียาห์บอกว่าถ้าท่านเป็นคนของพระเจ้าให้ไฟลงมาจากสวรรค์เผาผลาญพวกเขา และก็เป็นเช่นนี้ถึงสองครั้ง ที่นี่พวกสาวกจะเอาแบบนี้บ้าง ทูลถามพระเยซูจะให้เรียกไฟลงมาจากสวรรค์ไหม

    คำตอบสุดท้ายของพระเยซูในข้อ 55, 56 ได้บอกให้เราเห็นถึงพระทัยเมตตากรุณาของพระองค์ พระองค์ห้ามปรามเขา และได้บอกให้รู้จิตใจของพวกเขาว่าเป็นเช่นไร แต่สำหรับพระเยซูคริสต์แล้วพระองค์ไม่ได้มาทำลายมนุษย์ แต่พระองค์มาเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดได้ นี่คือจุดประสงค์ของพระองค์ที่พระบิดาใช้พระองค์เข้ามาในโลก

     ขอพระเยซูคริสต์ได้ประทานให้ใจข้าพเจ้าและใจพวกท่านทั้งหลายเป็นดั่งเช่นใจของพระเยซูคริสต์ครับ ขอพระเจ้าเสริมกำลังท่านทั้งหลายทุกคน แล้วพบกันใหม่ครับ

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

น้ำเริ่มเอ่อซอยในบ้าน

     น้องน้ำค่อยๆเอ่อขึ้นในมาซอยบ้านถนนศรีนครินทร์มาหลายวันแล้วครับ สังเกตุได้ว่าเพิ่มวันละเล็กละน้อย แต่ที่แปลกคือน้ำที่ขึ้นมาที่ซอยไหลลงไปในท่อระบายน้ำ แสดงว่าน้ำีที่ในท่อต่ำกว่า



ประตูระบายน้ำแถวบ้าน ฝั่งนี้ยังต่ำกว่าฝั่งโน้นอยู่เป็นฟุต แต่ว่าผมคิดว่าไม่มีประโยชน์หรอกครับ ถ้าน้ำมาเต็มที่แล้ว น้องน้ำก็วิ่งมาตามถนนได้

ถนนศรีนครินทร์แถวบ้านหน้าปากซอย มีน้ำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทุกวัน วันนี้เริ่มมีน้ำเอ่อเ่ข้าไปที่ถนน

สรุปว่าได้ยินคนต่างๆพูดกันว่าน้ำมาตามท่อระบายน้ำ แต่ที่บ้านผมนี่น้ำมาบนซอยแล้วบ่าไปลงท่อระบายน้ำ ไหลลงไปตามที่ต่ำตรงไหนต่ำกว่าที่อื่นน้ำถึงผุดขึ้นมาจากท่อระบายน้ำ ผมเข้าใจว่าน้ำนี้คงมาจากคลองระบายน้ำเช่นคลองประเวศบุรีรมย์ที่อยู่ไม่ไกลจากแถวนี้  เพราะหัวน้ำยังอยู่อีกไกลพอควรคือคลองบางซื่อและถนนเสรีไทย แต่นี้มีน้ำท่วมเอ่อขึ้นมาแล้วแสดงว่าน้ำมาจากคลองผันน้ำ  จบข่าวครับ รายงานจากถนนศรีนครินทร์ บริเวณสี่แยกมอเตอร์เวย์

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

คำแบ่งปันจากพระวจนะ 5 พ.ย.

     อย่างที่ท่านทั้งหลายได้ทราบไปแล้วนะครับถ้าไม่ได้โทรไปหาท่าน ถ้าผมแบ่งปันพระวจนะในวันเสาร์ ก็หมายความว่าคริสตจักรยังมีได้ปกติในวันรุ่งขึ้น



ชีวิตพระเยซูคริสต์ : สอนให้มีความคิดที่ถูกต้อง

     ต่อครับ


(Luke 9:46 [TBS1971])
แล้ว​เหล่า​สาวก​ก็​เกิด​เถียง​กัน​ว่า​ใน​พวก​เขา​ใคร​เป็น​ใหญ่

(Luke 9:47 [TBS1971])
ฝ่าย​พระ​เยซู​ทรง​หยั่ง​รู้​ความ​คิด​ใน​ใจ​ของ​เขา​จึง​ให้​เด็ก​คน​หนึ่ง​ยืน​อยู่​ใกล้​พระ​องค์​

(Luke 9:48 [TBS1971])
แล้ว​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “ถ้า​ผู้ใด​จะ​รับ​เด็ก​เล็กๆ คน​นี้​ใน​นาม​ของ​เรา ผู้​นั้น​ก็​ได้รับ​เรา และ​ผู้ใด​ได้รับ​เรา ผู้​นั้น​ก็​ได้รับ​พระ​องค์​ผู้​ทรง​ใช้​เรา​มา เพราะ​ว่า​ใน​พวก​ท่าน​ทั้ง​หลาย ผู้ใด​เป็น​ผู้น้อย​ผู้​นั้น​แหละ​เป็น​ผู้ใหญ่”

(Luke 9:49 [TBS1971])
ฝ่าย​ยอห์น​ทูล​พระ​องค์​ว่า “​พระ​อาจารย์​เจ้า​ข้า พวก​ข้า​พระ​องค์​เห็น​ผู้​หนึ่ง​ขับ​ผี​ออก​ใน​พระ​นาม​ของ​พระ​องค์​และ​ข้า​พระ​องค์​ห้าม​เขา​เสีย เพราะ​เขา​ไม่​ตาม​พวก​เรา​มา”


(Luke 9:50 [TBS1971])
​พระ​เยซู​ตรัส​แก่​เขา​ว่า “อย่า​ห้าม​เขา​เลย เพราะ​ว่า​ผู้ใด​ไม่​เป็น​ฝ่าย​ต่อสู้​ท่าน ​ก็​เป็น​ฝ่าย​ท่าน​แล้ว”


     ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้พูดถึงเหตุการณ์สองเหตุการณ์ เหตุการณ์แรกเรื่องใครเป็นใหญ่ สิ่งที่พวกสาวกพูดเถึยงกันนั้นเป็นส่ิงที่ขัดแย้งกับชีวิตในแผ่นดินพระเจ้า ชีวิตในพระเจ้าไม่มาคอยกังวลว่าใครจะใหญ่กว่าใคร นั่นเป็นความคิดแบบมนุษย์ที่สนใจเรื่องชื่อเสียง เกียรติยศ อำนาจ ฯลฯ เหมือนตอนนี้ที่สนใจว่าในบรรดาสาวก 12 คนนั้น ใครเป็นใหญ่กว่าใคร แต่ในแผ่นดินพระเจ้าสนใจท่าทีที่ถูกต้องในใจของมนุษย์มากกว่าสนใจว่าใครจะใหญ่กว่าใคร ดังนั้นพี่น้องที่อ่านพระคัมภีร์มาถึงตอนนี้แล้ว จะได้มีความสนใจในสิ่งที่ถูกต้องมากกว่าการสนใจในอำนาจ หน้าที่ ฯลฯ พระเยซูได้สอนไว้ว่าให้ดูเด็กเล็กๆ ถ้าเราอยากให้พระเจ้าใช้มากๆให้เราเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ  เด็กเล็กๆใสซื่อใช่ไหมครับ เด็กเล็กๆไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนไม่เหมือนอย่างพวกผู้ใหญ่เหล่านี้ใช่ไหมครับ ที่คอยคิดถึงกันแต่เรื่องเกียรติและอำนาจ สิ่งที่ควรคิดกลับไม่คิด ทำอย่างไรจะนำคนกลับมาหาพระเจ้า อธิษฐานขอพระเจ้านำคนกลับมาหาพระองค์ อธิษฐานขอให้เราต้อนรับคนทั้งหลายได้ เหมือนเราต้อนรับเด็กเล็กๆที่ดูด้อยกว่าเราในสายตามนุษย์ พระเยซูได้บอกไว้ในตอนท้ายของข้อ 48 ว่าใครผู้ใดเป็นผู้น้อยผู้นั้นแหละเป็นผู้ใหญ่  ขอให้เราเป็นดั่งเช่นนั้นแหละ ขอให้เราสนใจผู้อื่นแทนที่จะสนใจแต่ตัวเองว่าใครจะใหญ่กว่าใคร เราจะเป็นอะไรก็ได้ในแผ่นดินพระเจ้าขอบคุณพระเจ้า เพราะพระเจ้าเป็นผู้มอบหมายบทบาทหน้าที่ที่สมกับตลันท์และของประทานที่พระเจ้าใส่ไว้ในชีวิตเรา เราจะเป็นอะไรก็ได้ ขอพระเจ้าทรงนำหน้าชีวิตของเรา อย่ามั่วมุ่งแต่สนใจตัวเราว่าใครมีอำนาจหน้าที่ใหญ่กว่าใคร แต่ให้เราสนใจว่าจะมีคนเข้าแผ่นดินพระเจ้าอย่างไร สนใจว่าคนมากมายจะมาหาพระเจ้าได้อย่างไร เราได้ทำในสิ่งที่เป็นที่ถวายพระเกียรติพระเจ้าอย่างสมควรหรือยัง เราถ่อมจิตถ่อมใจยกผู้อื่นขึ้นหรือยัง ฯลฯ

     อีกเหตุการณ์หนึ่งคือคำสอนว่าด้วยเรื่องการแสดงความยินดีกับคนอื่นที่ไม่ใช่พวกเดียวกับเรา แต่เขาได้รับใช้พระเจ้าด้วยพระนามพระเยซูเช่นเดียวกับเรา พระเยซูสอนให้รู้ว่าผู้ใดไม่ต่อสู้เราก็เป็นฝ่ายเราแล้ว ดังนั้นจากเรื่องนี้เราควรมีความยินดีที่เห็นแผ่นดินพระเจ้าแพร่ขยายออกไปแม้เขาไม่ได้มาร่วมงานกับเรา แต่ถ้าเขานั้นทำสิ่งดีเช่นเดียวกับเราแล้ว ก็ให้ขอบคุณพระเจ้าเพราะเขาเป็นฝ่ายเราแล้ว มีใครกลุ่มใดพวกใดคริสตจักรใดกำลังใช้พระนามพระเยซูเพื่อประโยชน์แก่แผ่นดินพระเจ้าแล้ว แม้ไม่ตามเรามา แม้ไม่มารวมเป็นพวกเดียวกับเรา แต่เขาเหล่านั้นก็เป็นฝ่ายเดียวกับเราแล้ว ขอบคุณพระเจ้า

     ทั้งสองเรื่องดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความคิดที่ถูกต้องของเรา ขอพระเยซูอวยพรเราให้มีความคิดที่เปลี่ยนไปเป็นแบบพระวจนะมากขึ้นเรื่อยๆครับ

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เยี่ยมเยียนสมาชิกน้ำท่วม

     วันนี้ได้ไปเยี่ยมสมาชิกที่อยู่กับน้ำที่บางศรีเมือง จ.นนทบุรี มีภาพและวีดีโอบางส่วนมาลงให้ดูครับ
ทางที่เราจะไปบางศรีเมืองนั้น เราใช้ทางด่วนลงที่งามวงศ์วาน แล้วไปนนทบุุรี ข้ามสะพานพระราม7 ซึ่งถ้ามาทางแยกเกษตร-งามวงศ์วานเราคงไปไม่ได้แน่  ระหว่างทางไปก็เห็นรถจอดกันเต็มไปหมดบนทางด่วน
เมื่อเราลงทางด่วนที่งามวงศ์วานเราก็แปลกใจมาก ไม่เห็นมีน้ำท่วมที่นนทบุรี จนกระทั่งเราข้ามสะพานพระราม7มาแล้ว ถึงเริ่มเห็นน้ำบนถนน
เราเลี้ยวตามรถคันนี้เข้ามาในซอยนี้ น้ำแค่นี้สบายมาก รถที่เรามานั้นเป็นรถโฟร์วีลยกสูงครับ ผู้ร่วมเดินทางคือคุณแต๋น คุณเจี๊ยบสารถี อ.จำเนียรและผม 4 คนครับ
สิ่งมีชีวิตที่อยู่บนถนนในซอยนี้ครับ ถ้าเวลามีน้ำท่วมขึ้นมาแล้ว และท่านมีรถขับ ท่านต้องระมัดระวังการขับของท่านให้มากๆครับ ช้าถึงช้าที่สุดเพราะแรงขับเคลื่อนรถจะทำให้เกิดคลื่นกระทบบ้านคนแถวนั้นครับ คนละแวกนี้ยังอยู่กันในบ้านนะครับ น้ำอาจจะไม่สูงมากอีกทั้งในเมืองมีตลาดให้ไปจับจ่ายซื้อของได้ คนยังอยู่กันเต็ม แ่ต่ว่าอาชีพใหม่คือเรือครับ มีทั้งเรือมีเครื่อง เรือลาก โฟมลอยน้ำ กาละมัง ฯลฯ ตามแต่ที่จะหาได้
วิ่งมาพักใหญ่ๆก็มาถึงถนนทางเอกที่แห้ง เราจอดรถไว้ตรงบริเวณนี้ แล้วขนของสัมภาระต่า่งๆเท่าที่จำได้ เชื้อชีวภาพกำจัดกลิ่น ขนม อาหาร ฯลฯ แล้วก็ไปต่อเรือ


ก็นั่งเรือกันไปแบบนี้ละครับ

รูปนี้เอามาจากกล้องคุณแต๋นครับ นั่งเรือกันไปคนละลำ ผมไปกับคุณเจี๊ยบ คุณแต๋นไปกับอ.จำเนียร

นั่งเรือมาเสร็จก็มาถึงที่นี่แหละครับร้านคุณJacky ที่เรานั่งเรือมาก็นั่งมาตามถนนที่มีแต่น้ำนี่แหละครับ เวลามาก็ต้องรู้เวลาน้ำขึ้นน้ำลงด้วยนะครับ ถ้าเรามาผิดเวลาแล้วน้ำขึ้นเต็มที่ละ็ก็ เราก็คงต้องติดอยู่ในนี้แหละครับ
บริเวณหน้าบ้านครับ จะเห็นว่าน้ำยังไม่มี พอเวลาน้ำขึ้นแล้วตรงนี้ก็เต็มไปด้วยน้ำครับ
ขากลับครับ นั่งออกมา น้ำเริ่มขึ้นแล้วครับ ผมนั่งหันหน้าเข้ามาเจอเรือเจอรถสวน ตูม.. น้ำเต็มแผ่นหลังผมละครับ มานี่ก็ได้รู้ได้ทราบอะไรหลายๆอย่าง ได้ลงพื้นที่จริง ฯลฯ ขอบคุณพระเจ้าครับ
บริเวณที่เราจอดรถไว้แถวนี้ที่แห้งครับ  

ครับ มีโอกาสไปที่อื่นๆอีกแล้วจะนำรูปต่างๆมาให้ชมอีกครับ


วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คำแบ่งปันจากพระวจนะ 29 ต.ค. 11

     สวัสดีครับ วันนี้เริ่มบันทึกวีดีโอคำแบ่งปันพระวจนะจากที่คจ.ได้แจกให้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนะครับ (เผยแพร่วันเสาร์ที่ 29 ก็แสดงว่าวันพรุ่งนี้มีประชุมปกติครับ) อัดเองครับ มือสมัครเล่นเพื่อพี่น้องทั้งหลายที่อยู่ต่างจังหวัด อยู่ในกทม. ปริมณฑล หรือติดน้ำท่วมอยู่ในเวลานี้ครับ ขอพระเจ้าเสริมกำลังทุกท่านครับ

ชีวิตพระเยซูคริสต์ : ตักเตือนคนที่ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว

ต่อครับ ลูกา 9:37-45

37 ต่อมาวันรุ่งขึ้นเมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกลงมาจากภูเขาแล้ว มีคนมากมายมาพบพระองค์ 38 ดูเถิด มีชายคนหนึ่งในหมู่ประชาชนนั้นร้องว่า "อาจารย์เจ้าข้า ขอพระองค์ทรงโปรดทอดพระเนตรบุตรชายของข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้ามีบุตรคนเดียว 39 และ ดูเถิด ผีมักจะเข้าสิงเขา เด็กก็โห่ร้องขึ้นทันที ผีทำให้เด็กนั้นชักดิ้น น้ำลายฟูมปาก ทำให้ตัวฟกช้ำ ไม่ใคร่ออกจากเขาเลย 40 ข้าพเจ้าได้ขอเหล่าสาวกของพระองค์ให้ขับมันออกเสีย แต่เขากระทำไม่ได้" 41 พระเยซูตรัสตอบว่า "โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว เราจะต้องอยู่กับเจ้าทั้งหลายและอดทนเพราะพวกเจ้านานเท่าใด จงพาบุตรของท่านมาที่นี่เถิด" 42 เมื่อเด็กนั้นกำลังมา ผีก็ทำให้เขาล้มชักดิ้นใหญ่ แต่พระเยซูตรัสสำทับผีโสโครกนั้นและทรงรักษาเด็กให้หาย แล้วส่งคืนให้บิดาเขา 43 คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนักเพราะฤทธิ์เดชอันใหญ่ยิ่งของพระเจ้า แต่เมื่อเขาทั้งหลายยังประหลาดใจอยู่เพราะเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งพระเยซูได้ทรงกระทำนั้น พระองค์จึงตรัสแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า 44 จงให้คำเหล่านี้เข้าหูของท่าน เพราะว่าบุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือมนุษย์ 45 แต่คำเหล่านั้นสาวกหาได้เข้าใจไม่ ความก็ถูกซ่อนไว้จากเขา เพื่อเขาจะไม่ได้เข้าใจ และเขาไม่กล้าถามพระองค์ถึงคำนั้น


     นี่เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งเกี่ยวกับคนถูกผีเข้าที่มาขอให้พระเยซูช่วยขับผีให้เพราะพวกสาวกขับไม่ออก สาวกนี้อาจเป็นสาวกคนอื่นๆนอกเหนือจากพวกสาวก 12 คนก็เป็นได้ พวกสาวก 12 คนนั้น พระเยซูได้ส่งไปประกาศแผ่นดินพระเจ้าและกระทำการอัศจรรย์ในพระนามพระเยซูเจ้ามาก่อนหน้านี้ แต่พวกสาวกที่กล่าวถึงตรงนี้อาจเป็นพวกสาวกอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้ที่อยู่ใกล้ชิดพระเยซู เพราะสาวกคือผู้ที่เป็นลูกศิษย์ เป็นผู้ติดตาม ได้เรียนรู้ ได้เห็นการอัศจรรย์ต่างๆนานา ในบทที่ 8 ก็ได้เห็นการขับผี รักษาโรค และทำให้คนที่ตายแล้วเป็นขึ้นมาจากความตาย แต่กลัีบไม่สามารถอธิษฐานขับผีได้  พระเยซูจึงบอกว่า "ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว"


     "ขาดความเชื่อ" ทั้งๆที่อยู่กับพระเยซูได้เห็นสิ่งต่างๆบังเกิดขึ้นผ่านกิจการที่พระเยซูคริสต์ไ้ด้ทำ ความเชื่อเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของผู้เชื่อ พระวจนะได้บอกไว้ว่า  Rom 1:17 เพราะ​ว่า​ใน​ข่าว​ประเสริฐ​นั้น ความ​ชอบธรรม​ของ​พระ​เจ้า​ก็​ได้​สำแดง​ออก โดย​เริ่มต้น​ก็​ความ​เชื่อ สุดท้าย​ก็​ความ​เชื่อ ตาม​ที่​พระ​คัมภีร์​มี​เขียน​ไว้​ว่า คน​ชอบธรรม​จะ​มี​ชีวิต​ดำรง​อยู่​โดย​ความ​เชื่อ   ชีิวิตคริสเตียนเป็นชีวิตที่อาศัยความเชื่อ  คนทั่วไปจะบอกว่า ทำให้เห็นก่อนแล้วจะเชื่อ  แต่พระคัมภีร์ว่า  เชื่อก่อนแล้วจึงจะเห็น  เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์เราจะเห็นพระวจนะที่หนุนใจให้เรามีความเชื่อในตอนต่างๆ  ขอบคุณพระเจ้าที่ให้เรามีีความเชื่อ เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ เขื่อในพระเจ้าที่ทรงดูแลเราตลอดเวลา  แม้ไม่เห็นแต่เชื่อก็เป็นสุข  ยอห์น 20:29  พระ​เยซู​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “เพราะ​ท่าน​ได้​เห็น​เรา​ท่าน​จึง​เชื่อ​หรือ ผู้​ที่​ไม่​เห็น​เรา​แต่​เชื่อ​ก็​เป็น​สุข”

     "มีทิฐิชั่ว" คือ คนที่อยู่ในยุคหรือรุ่นที่บิดเบี้ยวไป แปลความผิดๆ มีสิ่งเจือปนในชีวิต นี่คือสิ่งที่พระเยซูพูด เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนในสมัยยุคพระเยซู  มาดูคำนี้ในที่อื่นๆบ้างครับ   Acts 13:8 แต่​เอ​ลี​มาส​คน​ทำ​วิทยาคม (​เพราะ​ชื่อ​ของ​เขา​หมาย​อย่าง​นั้น​) ได้​คัดค้าน​ขัดขวาง​บารนาบัส​กับ​เซาโล​ หวัง​จะ​ไม่ให้​ผู้ว่า​ราชการ​เมือง​เชื่อ​     ตรงนี้บอก คัดค้านขัดขวาง     Acts 13:10 และ​พูด​ว่า “เจ้า​เป็น​คน​เต็ม​ไป​ด้วย​อุบาย และ​ใจ​ร้าย​ทุก​อย่าง ลูก​ของ​มาร​ร้าย เป็น​ศัตรู​ต่อ​บรรดา​ความ​ชอบธรรม เจ้า​จะ​ไม่​หยุด​พยายาม​ทำ​ทางตรง​ของ​พระ​เจ้า​ให้​เขว​ไป​หรือ​   ตรงนี้ใช้คำว่า ทำให้เขว   จากตัวอย่างคำนี้ในพระคัมภีร์ตอนอื่นๆ คงพอทำให้เข้าใจสิ่งที่พระเยซูกำลังบอกเรื่องลักษณะของคนในยุคพระเยซูได้บ้าง   ถามว่าคนในยุคเรามีลักษณะเช่นนั้นบ้างหรือไม่ พยายามทำให้เรื่องแห่งความจริงไขว้เขวไป  ทำให้ความจริงเรื่องพระคริสต์บิดเบือนไป  หรืออาจจะเป็นเรื่องอื่นๆก็ตามแต่ ทำให้ความจริงบิดเบี้ยวไป  ถ้าลักษณะคนเป็นอย่างนี้ แน่นอนเขาไม่มีทางขับผีออกได้ ไม่เพียงไม่เชื่อในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า แต่ยังมีลักษณะบางอย่างในชีวิตที่คิด ทำให้เรื่องต่างๆบิดเบี้ยวไปอีกด้วย

     คนของพระเจ้าต้องเป็นคนที่สัตย์ซื่อ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอันใด ดำเนินชีวิตตรงไปตรงมา ไม่มีเล่ห์เพทุบาย ไม่เป็นคนที่ทำให้ความจริงของพระเจ้าเขวไป ขอพระเจ้าชำระล้างชีวิตของเราทั้งหลายให้สะอาดทุกคน ให้กระแสน้ำที่มาท่วมประเทศไทยเป็นเหมือนสายน้ำที่มาชำระล้างสิ่งสกปรกโสโครกออกไปจากชีวิตคนไทยทุกคนในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน.

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คำแบ่งปันจากพระวจนะ

ทดสอบครับ สำหรับใช้เวลาน้ำท่่วมไปไหนไม่ได้ ก็ดูกัีนทางนี้ละครับ(ถ้ามีไฟฟ้าใช้นะครับ) ทุกวันอาทิตย์  แต่ถ้าวันอาทิตย์โบสถ์เปิดนมัสการได้ ก็จะนำมาลงไว้วันเสาร์สำหรับท่่านที่มาโบสถ์ไม่ได้นะครับ



ชีวิตพระเยซูคริสต์ : จำแลงพระกาย

ต่อครับ

Luke 9:28 ภายหลัง​พระ​องค์​ได้​ตรัส​คำ​เหล่า​นั้น​ประมาณ​แปด​วัน ​พระ​องค์​จึง​ทรง​พา​เปโตร ​ยอห์น​ และ​ยากอบ​ขึ้น​ไป​บน​ภูเขา​เพื่อ​จะ​อธิษฐาน​
Luke 9:29 เมื่อ​พระ​องค์​กำลัง​อธิษฐาน​อยู่ วรรณพ​ระ​พักตร์​ของ​พระ​องค์​ก็​เปลี่ยนไป และ​ฉลอง​พระ​องค์​ก็​ขาว​เป็น​มัน​ระยับ​
Luke 9:30 ดู​เถิด มี​สอง​คน​สนทนา​อยู่​กับ​พระ​องค์ คือ​โมเสส​และ​เอลียาห์​
Luke 9:31 ผู้​มา​ปรากฏ​ด้วย​ศักดิ์ศรี และ​กล่าวถึง​การ​จาก​ไป​ของ​พระ​องค์ ซึ่ง​จะ​สำเร็จ​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม​
Luke 9:32 ฝ่าย​เปโตร​กับ​คน​ที่​อยู่​ด้วย​นั้น​ก็​ง่วง​เหงา​หาวนอน แต่​เมื่อ​เขา​ตา​สว่าง​ขึ้น​แล้ว เขา​ก็​ได้​เห็น​พระ​สิริ​ของ​พระ​องค์ และ​เห็น​สอง​คน​นั้น​ที่​ยืน​อยู่​กับ​พระ​องค์​
Luke 9:33 เมื่อ​สอง​คน​นั้น​กำลัง​ลา​ไป​จาก​พระ​องค์ เปโตร​จึง​ทูล​พระ​เยซู​ว่า “​พระ​อาจารย์​เจ้า​ข้า ซึ่ง​เรา​อยู่​ที่นี่​ก็​ดี ให้​พวก​ข้า​พระ​องค์​ทำ​เพิง​สาม​หลัง​สำหรับ​พระ​องค์​หลัง​หนึ่ง สำหรับ​โมเสส​หลัง​หนึ่ง สำหรับ​เอลียาห์​หลัง​หนึ่ง” เปโตร​ไม่​รู้สึกตัว​ว่า​ได้​พูด​อะไร​
Luke 9:34 เมื่อ​เขา​กำลัง​พูด​คำ​เหล่า​นี้ มี​เมฆ​มา​คลุม​เขา​ไว้ และ​เมื่อ​เขา​อยู่​ใน​เมฆ​นั้น​เขา​ก็​กลัว​
Luke 9:35 มี​พระ​สุรเสียง​ออกมา​จาก​เมฆ​นั้น​ว่า “ผู้​นี้​เป็น​บุตร​ของ​เรา เป็น​ผู้​ถูก​เลือกสรร​ไว้ จง​เชื่อ​ฟัง​ท่าน​เถิด”
Luke 9:36 เมื่อ​พระ​สุรเสียง​นั้น​สงบ​แล้ว ​พระ​เยซู​ทรง​สถิต​อยู่​องค์​เดียว เขา​ทั้ง​สาม​ก็​นิ่ง​อยู่ และ​ใน​กาลครั้ง​นั้น​เขา​มิได้​บอก​เหตุการณ์​ซึ่ง​เขา​ได้​เห็น​แก่​ผู้ใด​

     ภายหลังจากที่พระองค์ตรัสคำเหล่านั้นได้แปดวัน คำเหล่านั้นคือคำกล่าวก่อนหน้านี้ที่พระองค์พูดถึงการสิ้นพระชนม์ การถูกฝัง และการฟื้น พอมาถึงตรงนี้ที่พระเยซูได้ไปอธิษฐานกับพวกสาวกสามคน มีสองคนมาปรากฏคือโมเสสและเอลียาห์ได้พูดสิ่งที่ต่อเนื่องกันกับสิ่งที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ คือเรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูซึ่งจะสำเร็จในกรุงเยรูซาเล็ม

     สองคนที่มาปรากฏคือโมเสสกับเอลียาห์ สองคนนี้สำคัญอย่างไร โมเสสเป็นผู้ที่พระเจ้าใช้ให้พาชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ เปรียบเป็นภาพการพาคนออกมาจากอาณาจักรแห่งการเป็นทาสในอียิปต์ เอลียาห์เป็นบุคคลที่พระเจ้าใช้ในการทำการอัศจรรย์มากมาย ที่มีชื่อเสียงที่สุดเห็นจะเป็นการเรียกไฟจากสวรรค์ลงมาเผาเครื่องบูชาในการเผชิญหน้ากับพวกพระบาอัล นอกจากนั้นเอลียาห์ยังเป็นคนที่พระเจ้ารับขึ้นไปบนสวรรค์ทั้งเป็น และให้ฤทธิ์เดชแบบเอลียาห์ตกอยู่บนเอลีชาต่อไปด้วย

     บุคคลที่มาสนทนากับพระเยซูคริสต์ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่พระเจ้าใช้ทำการต่างๆในโลกอย่างยิ่งใหญ่ และสองคนนี้ได้มาสนทนากับพระเยซูถึงสิ่งที่่พระเยซูจะทำอย่างยิ่งใหญ่ต่อไปคือด้วยความตายขององค์พระเยซูคริสต์ จะเห็นว่าขณะพระองค์กำลังอธิษฐาน วรรณพระพักตร์ของพระองค์ก็เปลี่ยนไป ในขณะใกล้ชิดสนิทสนมกับพระบิดา ในช่วงเวลาแห่งการอธิษฐานนั้นก็มีการสำแดงสิ่งต่างๆจากพระเจ้า เช่น สภาพกายของพระองค์เปลี่ยนไปเต็มด้วยสง่าราศี สภาพเครื่องนุ่งหมพระองค์เปลี่ยนไปขาวเป็นมันระยับ มีคนของพระเจ้าแต่โบราณมาปรากฏ ฯลฯ ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าสิ่งต่างๆในการสำแดงของพระเจ้าจะสำแดงแก่เราเช่นกันเมื่อเราอธิษฐานแสวงหาพระเจ้า

     เมื่อเปโตรตื่นขึ้นมาเห็นเหตุการณ์นี้ด้วยความตื่นเต้นด้วยความกลัว (มาระโก 9:6) จึงได้พูดบางสิ่งออกไปโดยไม่ได้กลั่นกรองออกมาจากสมอง นี่ก็เป็นข้อคิดให้เราได้เวลาเราตื่นเต้นไม่มีสติ เราอาจพูดอะไรบางอย่างออกไปได้โดยไม่รู้ตัวว่าได้พูดออกไปเหมือนเปโตรเช่นกัน

     เมื่อสนทนากันถึงเรื่องนี้พวกสาวกได้ทูลถามเรื่องเอลียาห์ พระเยซูได้ตรัสตอบใน มัทธิว 17:10-13 ได้บอกว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อนพระเยซูตามพระธรรม มาลาคี 4:5 เอลียาห์ในตอนนี้คือยอห์นบัพติศโตนั่นเอง (เข้าใจว่ามาด้วยวิญญาณแบบเอลียาห์)

     และนี่เป็นข้อพระคัมภีร์อีกตอนที่เปโตรได้เขียนกล่าวถึงเหตุการณ์ในวันนั้น   2Pet 1:17 เพราะ​ว่า​คราว​เมื่อ​พระ​องค์​ได้​ทรง​รับ​เกียรติ​และ​สง่า​ราศี​จาก​พระ​บิดา และ​พระ​สุรเสียง​จาก​พระ​สิริ​อัน​ยิ่งใหญ่​ได้​มาถึง​พระ​องค์ ตรัส​แก่​พระ​องค์​ว่า “ท่าน​ผู้​นี้​เป็น​บุตร​ที่​รัก​ของ​เรา เรา​ชอบ​ใจ​ท่าน​ผู้​นี้​มาก”


     ขอพระเจ้าได้ประทานให้เราได้สัมผัส ได้เห็นสง่าราศีของพระเยซูคริสต์ในขณะที่เราทั้งหลายยังอยู่ในโลกนี้ ขอพระองค์มาสำแดงมาปรากฏมาหนุนใจเราทั้งหลาย ขอพระเจ้าช่วยให้เราเชื่อและขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งยิ่งใหญ่สง่าราศีของพระเจ้าที่รอเราอยู่ในอนาคต ขอพระเจ้าช่วยให้เราไม่ทิ้งความเชื่อ ขอให้เรามีความเชื่อยิ่งใหญ่ ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี อาเมน.

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ชีวิตพระเยซูคริสต์ : ผู้ใดใคร่ตามพระเยซู ให้เอาชนะตัวเอง แบกกางเขนของตนทุกวัน และตามพระองค์ไป

รวมบทความชีวิตพระเยซูคริสต์
     ดูต่อครับ

Luke 9:21 ​พระ​องค์​จึง​กำชับ​สั่ง​เขา​มิ​ให้​บอก​ความ​นี้​แก่​ผู้ใด​
Luke 9:22 และ​ตรัส​ว่า “บุตร​มนุษย์​จะต้อง​ทน​ทุกข์​ทรมาน​หลาย​ประการ พวก​ผู้ใหญ่ พวก​มหา​ปุโรหิต​และ​พวก​ธรรมาจารย์​จะ​ไม่​ยอมรับ​พระ​องค์ ใน​ที่สุด​พระ​องค์​จะต้อง​ถึง​ถูก​ประหาร​ชีวิต แต่​ใน​วันที่​สาม​พระ​องค์​จะ​ทรง​ถูก​ชุบ​ให้​เป็น​ขึ้น​มา​ใหม่”
Luke 9:23 ​พระ​องค์​จึง​ตรัส​แก่​คน​ทั้ง​หลาย​ว่า “ถ้า​ผู้ใด​ใคร่​ตาม​เรา​มา ให้​ผู้​นั้น​เอาชนะ​ตัวเอง และ​รับ​กางเขน​ของ​ตน​แบก​ทุก​วัน และ​ตาม​เรา​มา
Luke 9:24 เพราะ​ว่า​ผู้ใด​ใคร่​จะ​เอา​ชีวิต​รอด ผู้​นั้น​จะ​เสียชีวิต แต่​ผู้ใด​จะ​เสียชีวิต​เพราะ​เห็น​แก่​เรา ผู้​นั้น​จะ​ได้​ชีวิต​รอด
Luke 9:25 เพราะ​ถ้า​ผู้ใด​จะ​ได้​สิ่งของ​สิ้น​ทั้ง​โลก แต่​ต้อง​เสีย​ตัว​ของ​ตนเอง​ผู้​นั้น​จะ​ได้​ประโยชน์​อะไร​
Luke 9:26 เพราะ​ถ้า​ผู้ใด​มี​ความ​อาย​เพราะ​เรา​และ​ถ้อยคำ​ของ​เรา บุตร​มนุษย์​ก็​จะ​มี​ความ​อาย​เพราะ​ผู้​นั้น เมื่อ​ท่าน​จะ​มา​ด้วย​พระ​สิริ​ของ​ท่าน​เอง ของ​พระ​บิดา และ​ของ​เหล่า​ทูตสวรรค์​บริสุทธิ์​
Luke 9:27 แต่​เรา​กล่าว​ความ​จริง​แก่​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ว่า มี​บาง​คน​ที่​ยืน​อยู่​ที่นี่​ซึ่ง​ยัง​จะ​ไม่​รู้​รส​ความ​ตาย จนกว่า​จะ​ได้​เห็น​แผ่นดิน​ของ​พระ​เจ้า”

     หลังจากพวกสาวกได้กล่าวถูกต้องว่าพระเยซูคริสต์คือผู้รับการเจิมของพระเจ้า และงานของพระผู้ไถ่ พระผู้ช่วยให้รอด คือเข้ามาในโลกเพื่อมารับโทษทัณฑ์ความผิดบาปมาเพื่อสิ้นชีวิตแทนคนทุกคนในโลกดังที่พระเยซูได้กล่าวไว้ในข้อ 22 พระเยซูเป็นบุตรหัวปี  Rom 8:29 เพราะ​ว่า​ผู้​หนึ่ง​ผู้ใด​ที่​พระ​องค์​ได้​ทรง​ทราบ​อยู่​แล้ว ผู้​นั้น​พระ​องค์​ได้​ทรง​ตั้ง​ไว้​ให้​เป็น​ตาม​ลักษณะ​พระ​ฉาย แห่ง​พระ​บุตร​ของ​พระ​องค์ เพื่อ​พระ​บุตร​นั้น​จะ​ได้​เป็น​บุตร​หัวปี​ท่ามกลาง​พวก​พี่​น้อง​เป็น​อัน​มาก​    ดังนั้นพระองค์จึงบอกไว้ในข้อ 23 ผู้ใดใคร่ตามพระองค์ไป ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง แบกกางเขนของตนทุกวัน (กางเขนของตนนะครับ ไม่ใช่กางเขนของคนอื่น และต้องแบกทุกวันด้วย) แล้วก็ตามพระองค์ไป

     กางเขนของพระเยซูคือการรับแบกความผิดบาปของคนทั้งโลก  กางเขนของท่านคืออะไร ท่านคงต้องคิดเองและถามพระเจ้า  เพราะกางเขนของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน หน้าที่ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เราจะเอามาทดแทนกันไม่ได้ พระเจ้าเรียกเรามาแต่ละคนไม่เหมือนกัน 1Cor 3:5 อปอล​โล​คือ​ผู้ใด ​เปาโล​คือ​ผู้ใด คือ​ผู้รับ​ใช้ ซึ่ง​ได้​สอน​พวก​ท่าน​ให้​เชื่อ เรา​แต่​ละ​คน​ได้รับ​ใช้​ตาม​ที่​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ได้​ทรง​กำหนดให้​

     ที่แน่ๆคือพระองค์เป็นบุตรหัวปีของเรา พระองค์เผชิญสิ่งใด พวกเราทั้งหลายคงเผชิญเหมือนดังสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้เผชิญเช่นกัน ข้อเตือนใจของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ข้อ 24 เป็นต้นไป ถ้าจะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่พระเยซู ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด เหมือนพระเยซูเสียชีวิตเพื่อให้คนในโลกได้รับความรอด สำหรับข้อความตอนนี้ก็เป็นตอนที่ชี้ให้เราเห็นว่า ถ้าเราทำสิ่งใดในโลกนี้ด้วยความเสียสละหรือแม้แต่กระทั่งเสียชีวิตจริงๆ แต่ในจิตวิญญาณของเขาได้รับความรอดแล้ว  แต่คนที่ไม่ได้แสวงหาพระคริสต์ หวังเพียงตนเองจะไ้ด้ชีวิตรอด หวังเพียงสิ่งของที่อยู่ในโลกนี้ แต่จิตวิญญาณของเขาจะเสียไป  เหมือนข้อต่อไปข้อ 25 ได้บอกให้เป็นข้อคิดว่า ถ้าเราแสวงหาสิ่งของสิ้นทั้งโลกนี้ ได้มีสิ่งของสิ้นทั้งโลกนี้ ได้เพียงของในโลก แต่ไม่ได้สะสมไว้สำหรับของที่อยู่เบื้องบน สะสมเพียงของที่อยู่ในโลกจะได้ประโยชน์อะไร

     ดังนั้นถ้าเรายอมสละชีวิตเรา สละความเหนื่อยยากของเรา สละบางสิ่งบางอย่างในชีวิตเรา เพื่อผู้อื่นจะได้ชีิวิตนั่นก็เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก ข้อ 26 ได้บอกต่อว่า ในชีวิตคริสเตียนของเรา ถ้าเราอายมนุษย์ ไม่กล้ายอมรับต่อหน้าคนทั้งปวงว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ไม่กล้ากล่าวยอมรับพระคริสต์ต่อหน้าคนทั้งปวง พระคัมภีร์ข้อนี้บอกว่า พระองค์จะไม่กล่าวยอมรับเราต่อหน้าพระบิดาด้วย

อธิษฐาน : ข้าแต่พระคริสต์เจ้า ขอพระองค์ประทานกำลังเข้มแข็งให้กับคริสเตียนทุกคนในสภาวะการณ์เช่นยามนี้ ที่คนไทยทุกคนจะต้องช่วยเหลือกัน ขอพระเจ้าละลายใจคนไทยทุกคนให้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ให้เขาทั้งหลายได้เห็นประชาชนในยามทุกข์ยากและร่วมมือกัน ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวกอีกต่อไป และขอประทานช่องทางให้สมาชิกทั้งหลายมีส่วนช่วยเหลือสังคมในจุดต่างๆได้ ขอพระเจ้าเป็นกำลังเป็นเรี่ยวแรงเป็นผู้ปลอบประโลมพี่น้องบางส่วนที่ประสบภัยน้ำท่วมอยู่ในเวลานี้ด้วย ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน... 



วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ชีวิตพระเยซูคริสต์ : พระเยซูคือผู้ใด - พระคริสต์ ผู้รับการเจิม

รวมบทความชีวิตพระเยซูคริสต์

     แบ่งปันพระคัมภีร์ต่อครับ



Luke 9:18 เมื่อ​พระ​องค์​กำลัง​อธิษฐาน​อยู่​แต่​ลำพัง เหล่า​สาวก​อยู่​กับ​พระ​องค์ ​พระ​องค์​จึง​ตรัส​ถาม​เขา​ว่า “คน​ทั้ง​ปวง​พูด​กัน​ว่า​เรา​เป็น​ผู้ใด”
Luke 9:19 เหล่า​สาวก​ทูล​ตอบ​ว่า “เขา​ว่า​เป็น​ยอห์น​ผู้ให้​รับ​บัพติศมา บาง​คน​ว่า​เป็น​เอลียาห์ แต่​คน​อื่น​ว่า​เป็น​คน​หนึ่ง​ใน​พวก​ผู้เผย​พระ​วจนะ​โบราณ​เป็น​ขึ้น​มา​ใหม่”
Luke 9:20 ​พระ​องค์​จึง​ตรัส​ถาม​เขา​ว่า “แล้ว​พวก​ท่าน​เล่า​ว่า​เรา​เป็น​ใคร” เปโตร​ทูล​ตอบ​ว่า “เป็น​พระ​คริสต์​​ของ​พระ​เจ้า”

     พระเยซูมีเวลาที่จะอธิษฐานตามลำพังเสมอเพื่อสนทนากับพระบิดา แล้วพระองค์ตรัสถามพวกสาวกว่า "คนทั้งปวงพูดกันว่าเราเป็นผู้ใด" ซึ่งเราได้ดูเหตุก่อนหน้านี้ถึงข้อสงสัยว่า พระเยซูคือผู้ใด  วันนี้เรามาดูคำตอบกันครับ สิ่งที่เปโตรตอบได้นั้นคือคำตอบทีถูกต้อง เปโตรตอบว่า "เป็นพระคริสต์ของพระเจ้า"  ภาษาอังกฤษคือ  The Christ of God  ภาษากรีกคือ τὸν χριστὸν τοῦ θεοῦ.


     Χριστός Christos (khris-tos') พระคริสต์แปลว่า (ตามตัวอักษร) ผู้รับการเจิม , (ทับศัพท์) พระคริสต์ , (อย่างเหมาะสม)พระมาซีฮา , ผู้รับการเจิมของพระเจ้าของอับราฮาม อิสอัค และยาโคบ , (หน้าที่) พระผู้ไถ่ พระผู้ช่วยให้รอด
      θεός theos (theh-os') พระเจ้า (โดยปริยาย)ผู้พิพากษา


     พระเยซูถามว่าพระองค์คือผู้ใด เปโตรตอบว่าคือ Chirstos ของ Theos ผู้รับการเจิมของพระเจ้า เป็นพระผู้ไถ่ พระผู้ช่วยให้รอดของพระเจ้า มาเพื่อช่วยคนทั้งหลายที่ต้อนรับพระองค์ให้รอดพ้นจากความผิดบาป     Luke 2:11 เพราะ​ว่า​ใน​วันนี้​พระ​ผู้ช่วย​ให้​รอด​ของ​ท่าน​ทั้ง​หลาย คือ​พระ​คริสต​เจ้า มา​บังเกิด​ที่​เมือง​ดาวิด​   นี่เป็นคำพูดของทูตสวรรค์ที่มาแจ้งข่าวดีแก่คนเลี้ยงแกะ

    กลับมาที่คำพูดคำตอบของเปโตร ในพระธรรมมัทธิว  Matt 16:17 ​พระ​เยซู​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “ซีโมน​บุตร​โย​นาห์​เอ๋ย ท่าน​ก็​เป็น​สุข​เพราะ​ว่า​มนุษย์​มิได้​แจ้ง​ความ​นี้​แก่​ท่าน แต่​พระ​บิดา​ของ​เรา​ผู้​ทรง​สถิต​ใน​สวรรค์​ทรง​แจ้ง​ให้​ทราบ​    เป็นพระบิดาสำแดงความจริงนี้ให้แก่เปโตรได้ทราบ

     คนจะรู้ความจริงนี้ได้จึงต้องได้รับการเปิดเผยให้ทราบ    Rom 16:25 จง​ถวาย​พระ​เกียรติ​แด่​พระ​องค์​ผู้​ทรง​ฤทธิ์ อาจ​ให้​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ตั้ง​มั่นคง​ตาม​กิตติคุณ ซึ่ง​ข้าพเจ้า​ได้​ประกาศ​นั้น และ​ตาม​ที่​ได้​ประกาศ​เรื่อง​พระ​เยซู​คริสต์​ ตาม​การ​เปิด​เผย​ข้อความ​อัน​ล้ำ​ลึก ซึ่ง​ได้​ปิดบัง​ไว้​ตั้งแต่​อดีต​กาล​
Rom 16:26 แต่​มา​บัดนี้​ได้​เปิด​เผย​ให้​ปรากฏ​แล้ว และ​โดย​คัมภีร์​ผู้เผย​พระ​วจนะ​ทรง​ให้​ชน​ชาติ​ทั้ง​ปวง​เห็น​ประจักษ์ ตาม​ซึ่ง​พระ​เจ้า​ผู้​ทรง​ดำรง​ถาวร ได้​ทรง​บัญชา​ไว้​เพื่อให้​เขา​ได้​เชื่อ​
Rom 16:27 โดย​พระ​เยซู​คริสต์​ ขอ​พระ​สิริ​จง​มี​แด่​พระ​เจ้า​ผู้​ทรง​สัพพัญญู​แต่​องค์​เดียว​สืบๆ ไป​เป็น​นิตย์ อาเมน​    พระวจนะของพระองค์เป็นความจริงเปิดเผยข้อล้ำลึกให้คนทั้งปวงได้ทราบว่า พระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด

     ส่วนพระเจ้าของยุคนี้ได้ปิดบังตาใจของคนไว้เพื่อไม่ให้เขาถึงความรอด  2Cor 4:4 ส่วน​คน​ที่​ไม่​เชื่อ​นั้น ​พระ​ของ​ยุค​นี้​ได้​กระทำ​ใจ​ของ​เขา​ให้​มืด​ไป เพื่อ​ไม่ให้​เขา​ได้​เห็น​ความ​สว่าง​ของ​ข่าว​ประเสริฐ เรื่อง​พระ​สิริ​ของ​พระ​คริสต์​ผู้​เป็น​พระ​ฉาย​ของ​พระ​เจ้า​  เราถึงต้องอธิษฐานต่อสู้กับสิ่งที่ปิดบังตาใจ ขอพระเจ้าช่วยเปิดเผยพระองค์เองให้คนเหล่านี้ได้มาถึงความจริงของพระเจ้าว่า พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าผู้รับการเจิมมาช่วยคนในโลกมนุึษย์ให้รอดพ้นจากความผิดบาป

อธิษฐาน : ข้าแต่พระเจ้าของโปรดเปิดเผยสำแดงพระองค์เองให้คนทั้งหลายได้รู้จักพระเยซูคริสต์ผู้เป็นความจริง ขอเร้าใจพวกข้าพระองค์ทั้งหลายให้มีความกล้าหาญนำข่าวประเสริฐไปสู่คนทั้งหลายด้วยคำสั่งสอนและด้วยการกระทำหมายสำคัญการอัศจรรย์ ขอเชื่อพึ่งในพระองค์ว่าจะทรงอยู่ด้วยกับพวกข้าพระองค์ตลอดไป ขอบคุณพระองค์ ขอบคุณพระคริสต์ พระผู้ไถ่ พระผู้ช่วยให้รอด ผู้รับการเจิมเสด็จเข้ามาในโลกเพื่อช่วยคนทั้งหลายให้รับความรอด และขอทรงโปรดรักษาพวกข้าพระองค์ทั้งหลายไว้ในความจริงจนกว่าจะถึงวันที่พระองค์จะเสด็จกลับมารับพวกเราไปอยู่กับพระองค์ ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน...





วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ชีวิตพระเยซูคริสต์ : กระทำตามสิ่งที่พระเยซูบอกให้ทำด้วยความเชื่อ

รวมบทความชีวิตพระเยซูคริสต์

     จากเหตุการณ์ครั้งก่อนๆ พระเยซูทำพระราชกิจอยู่ที่เก-ราซา(ฝั่งขวาล่างของรูปGadara)รักษาคนเจ็บป่วย ขับผี ฯลฯ และพระเยซูได้ส่งสาวกไป 12 คน ไปสั่งสอนและกระทำการอัศจรรย์เช่นพระเยซูคริสต์ เมื่อพวกเขากลับมาแล้ว และได้เล่าถึงบรรดาการที่เขาได้กระทำแล้ว พระองค์จึงพาเขาไปต่อที่เบธไซดา (อยู่ริมทะเลสาบด้านภาพบนขวาBethsaida)





Luke 9:10 ครั้น​อัครทูต​กลับ​มา​แล้ว เขา​ทูล​พระ​องค์​ถึง​บรรดา​การ ซึ่ง​เขา​ได้​กระทำ​นั้น ​พระ​องค์​จึง​พา​เขา​ไป​แต่​ลำพัง​ถึง​เมือง​ที่​เรียก​ว่า​เบธ​ไซ​ดา​
Luke 9:11 แต่​เมื่อ​ประชาชน​รู้​แล้ว​จึง​ตาม​พระ​องค์​ไป ​พระ​องค์​ทรง​ต้อนรับ​เขา ตรัส​สั่ง​สอน​เขา​ถึง​แผ่นดิน​ของ​พระ​เจ้า และ​ทุก​คน​ที่​ต้อง​การ​ให้​หาย​โรค​พระ​องค์​ก็​ทรง​รักษา​ให้​
Luke 9:12 ครั้น​กำลัง​จะ​เย็น​แล้ว สาวก​สิบ​สอง​คน​มา​ทูล​พระ​องค์​ว่า “ขอ​ให้​ประชาชน​ไป​ตาม​บ้าน​ไร่​บ้าน​นา​ที่​อยู่​แถบ​นี้ หา​ที่​พัก​นอน​และ​หา​อาหาร​รับประทาน​เพราะ​ที่​เรา​อยู่​นี้​เป็น​ที่​เปลี่ยว”
Luke 9:13 แต่​พระ​องค์​ตรัส​แก่​เขา​ว่า “พวก​ท่าน​จง​เลี้ยง​เขา​เถิด” เขา​ทูล​ว่า “เรา​ไม่​มี​อะไร​มาก มี​แต่​ขนม​ปัง​ห้า​ก้อน​กับ​ปลา​สอง​ตัว เว้นเสียแต่​เรา​จะ​ไป​ซื้อ​อาหาร​สำหรับ​คน​ทั้ง​ปวง​นี้”
Luke 9:14 เพราะ​ว่า​คน​เหล่า​นั้น​นับ​แต่​ผู้ชาย​ประมาณ​ห้า​พัน​คน ​พระ​องค์​จึง​สั่ง​เหล่า​สาวก​ของ​พระ​องค์​ว่า “จง​ให้​คน​ทั้ง​ปวง​นั่ง​ลง​เป็น​หมู่ๆ ราว​หมู่​ละ​ห้า​สิบ​คน”
Luke 9:15 เขา​จึง​กระทำ​ตาม คือ​ให้​คน​ทั้ง​ปวง​เอน​กาย​ลง​
Luke 9:16 เมื่อ​พระ​องค์​ทรง​รับ​ขนม​ปัง​ห้า​ก้อน​กับ​ปลา​สอง​ตัว​นั้น​แล้ว ​ก็​แหงน​พระ​พักตร์​ดู​ฟ้า​สวรรค์​ขอ​พร แล้ว​หัก​ส่ง​ให้แก่​เหล่า​สาวก ให้​เขา​แจก​แก่​ประชาชน​
Luke 9:17 เขา​ได้​กิน​อิ่ม​ทุก​คน แล้ว​เขา​เ​ก็​บ​เศษ​อาหาร​ที่​ยัง​เหลือ​นั้น​ได้​สิบ​สอง​กระบุง​

     จะสังเกตุว่าตอนแรกพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูพาไปเบธไซดาแต่เพียงลำพัง แสดงว่าไม่มีประชาชนอยู่ด้วย มีเพียงพวกสาวกเหล่าอัครทูต ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระองค์ใช้เวลาสั่งสอนตามลำพังกับพวกสาวกของพระองค์ เล่าเหตุการณ์เรื่องต่่างๆที่เกิดขึ้นหลังจากสาวก 12 คนออกไปตามที่พระเยซูใช้ให้ไปด้วยอำนาจและสิทธิอำนาจ (ฉบับไทยคิงเจมส์  ภาษาไทยฉบับ1971แปลไม่กระจ่างเท่าคิงเจมส์) ผมเคยแบ่งปันเรื่องนี้นานมาแล้วว่า dunamisหรืออำนาจ นั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่ให้กับเราแล้ว ให้เรามีอำนาจรักษาคนเจ็บคนป่วย ฯลฯ ส่วนสิทธิอำนาจหรือexousia นั้น บางครั้งภาษาไทยก็แปลเป็นอำนาจเหมือนกันในบางทีซึ่งฉบับ1971 แปลทั้งสองคำในตอนนี้ว่า อำนาจ  ส่วนฉบับไทยคิงเจมส์แปลตามฉบับคิงเจมส์ซึ่งแปลตามภาษากรีก exousiaในตอนนี้คือสิทธิอำนาจที่พระเจ้าให้กับเราแล้วเช่นเดียวกัีน ผมเคยอธิบายว่า ตำรวจกับรถบรรทุกขนาดต่างกัน แต่รถบรรทุกต้องหยุดให้เมื่อตำรวจยกมือให้หยุด เพราะตำรวจมีสิทธิอำนาจ เช่นเดียวกันนี่คือสถานะของเราที่มีสิทธิอำนาจเหนือผีร้ายทั้งปวง   Luke 10:19 ดู​เถิด เรา​ได้​ให้​พวก​ท่าน​มี​อำนาจ​เหยียบ​งู​ร้าย​และ​แมง​ป่อง และ​มี​อำนาจ​ใหญ่​ยิ่ง​กว่า​กำลัง​ศัตรู ไม่​มี​สิ่ง​หนึ่ง​สิ่ง​ใด​จะ​ทำ​อันตราย​แก่​ท่าน​ได้​เลย​     เรามีอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่อง อำนาจในตอนนี้คือ exousia และมีอำนาจใหญ่ยิ่งกว่ากำลังศัตรู  อำนาจในตอนนี้คือ dunamis   ในภาษาอังกฤษคำนี้ก็เช่นกันแปลอย่างเดียวกันว่า power ซึ่งที่จริงควรจะเป็น authority และ power  ครับก็ให้ท่านทั้งหลายได้ดูเบื้องหลังคำ เพื่อท่านจะได้ลึกซึ้งในพระวจนะพระเจ้า และเข้าใจสถานะของเรามากขึ้น  คริสเตียนจึงควรดำเนินชีวิตให้ดีถวายพระเกีัยรติพระเจ้าเพื่อท่านจะได้มีความมั่นใจในอำนาจและสถานะที่พระเจ้าให้กับท่าน   ถ้าท่านไม่รักษาชีวิต ท่านจะมีความมั่นใจหรือ เมื่อท่านอธิษฐานเผื่อคนเจ็บป่วย หรือไปขับผี  เพราะว่าทุกสิ่งเราทำด้วยความเชื่อ ถ้าท่านไม่รักษาชีวิตของท่านไว้ให้อยู่ในอยู่โดยพระคุณของพระเจ้าตลอดเวลา แล้วท่านจะมีความเชื่อในฤทธิ์อำนาจการอัศจรรย์ของพระเจ้าหรือ เพราะบาปเป็นอุปสรรคขวางกั้นระหว่างท่านกับพระเจ้า ท่านจึงควรสำรวจตนเองเสมอ เผลอไปทำสิ่งใดผิดหรือเปล่า อธิษฐานสารภาพบาป ขอพระคุณพระเจ้าช่วยเหลือท่าน ชำระบาปท่าน และขอพระเจ้าช่วยท่าน เพื่อท่านจะไม่ทำสิ่งผิดนั้นอีกต่อไป  อย่าลืมว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องร่วมมือทั้งสองฝ่าย ฝ่ายพระเจ้าท่านขอพระเจ้าเมตตาช่วยท่าน แต่ฝ่ายท่านต้องร่วมมือด้วยความตั้งใจของท่านด้วยที่จะไม่ทำสิ่งผิดนั้นอีก

     ที่นี้พอประชาชนรู้แล้วว่าพระเยซูคริสต์อยู่ที่ไหนพวกเขาก็ตามพระองค์ไป ขอบคุณพระเยซู ข้อ 11 พระองค์ไม่เคยปฏิเสธประชาชนที่มาหาพระองค์ พระองค์ต้อนรับพวกเขาอยู่เสมอ  เช่นกันครับพระองค์ไม่เคยปฏิเสธพวกท่าน ความต้องการ ความอ่อนแอ ความผิดบาป ฯลฯ พระองค์ช่วยได้ ที่นี่เราเห็นอีกครั้งแล้วว่าพระองค์สั่งสอนเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าและรักษาโรคให้หาย เราเห็นอีกแล้วว่านี่คือตัวอย่างการรับใช้่แบบพระเยซูคริสต์ ทั้งสอนและกระทำ  เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมไปเทศน์ที่ปทุมฯ พระธรรมตอนที่ผมเทศน์ก็บอกพระราชกิจพระเยซูเช่นเดียวกัน คือ สั่งสอนและกระทำ  หวังใจว่านี่จะเป็นบทเรียนบทหนึ่งในการรับใช้พระเจ้าของท่านนะครับ ออกไปที่ใด ไปหาใคร สั่งสอนความจริงเรื่องแผ่นดินพระเจ้าและกระทำหมายสำคัญการอัศจรรย์ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า

     ชีวิตและการรับใช้ต้องไปด้วยกันครับ ชีวิตดีเราจะมีความกล้าหาญในการทำทุักสิ่งเพื่อพระคริสต์ครับ เหมือนอย่างเหตุการณ์ในตอนนี้ ถ้าชีวิตเราดี เราก็จะมีความเชื่อ พระเยซูสั่งให้ทำอะไร เราจะมีความกล้าหาญที่จะทำด้วยความเชื่อ อย่างในตอนนี้พระเยซูบอกให้พวกเขาทำอะไร พวกเขาก็กระทำตาม ข้อ 15  พวกสาวกนั้นยังมีความคิดที่เป็นแบบมนุษย์อยู่ ในสภาพมนุษย์ที่มีความจำกัด เมื่อเห็นว่าเย็นลงแล้ว พวกสาวกก็บอกพระเยซูให้ส่งพวกเขากลับไปเพื่อพวกเขาจะได้หาที่พักนอนและหาอาหารทาน แต่พระเยซูบอกให้เลี้ยงพวกเขา พวกสาวกบอกว่าไม่มีอาหารมาก ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวเท่านั้น เว้นแต่จะไปซื้อมา  แต่พระเยซูบอกให้พวกเขานั่งลงเป็นหมู่ๆ หมู่ละห้าสิบคน ท่านจะเห็นว่าพระเยซูมีการบริหารงานจัดแจงงานให้เป็นกลุ่มๆ แทนที่จะให้ทั้งห้าพันคนนั่งลงแบบสะเปะสะปะ แต่พระเยซูให้นั่งลงเป็นกลุ่มๆทำไม เพื่อเป็นการง่ายในการแจกขนมปังและปลา เป็นการบริหารในการแจก ไม่แจกโดยไม่มีทิศทาง แต่แจกโดยมียุทธศาสตร์ในการแจก(ภาษาการบริหาร) แจกแล้วไม่สับสน แจกลงไปในกลุ่มห้าสิบคน ก็จะมีทั้งหมดร้อยกลุ่ม พวกสาวกก็จะแจกได้โดยใช้เวลาแป๊ปเดียวแทนที่จะต้องแจกกับทุกคนห้าพันคน ก็มาแจกให้กับกลุ่มร้อยกลุ่มแทน และในกลุ่มนั้นก็มาแจกจ่ายกันไปต่ออีกห้าสิบคน   ตัวอย่้างการบริหารงานเราก็ได้เห็นแล้วที่นี่

     ดังนั้นในการดำเนินงานคจ. ในการรับใช้ เราคงไม่สามารถใช้เพียงความเชื่ออย่างเดียว แต่ใช้ความเชื่อพร้อมด้วยการจัดแจงจัดการด้วยว่าจะทำอย่างไรต่อไป  ในการดำเนินการคจ.และในการรับใช้ของเรา เราต้องฟังเสียงผู้เลี้ยงคือพระเยซูด้วยว่าพระองค์ประสงค์จะให้เราทำอย่างไร เมื่อพระองค์บอกเราก็กระทำตามด้วยความเชื่อ ไม่ขาดความเชื่อ ทำตามสิ่งที่พระเยซูบอกให้ทำด้วยความเชื่อ

คำอธิษฐาน : ข้าแต่พระเยซูคริสต์เจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงห่วงใยมนุษย์ทุึกคน พระองค์ทรงเฝ้าดูชีวิตของพวกเราทั้งหลายอยู่ ไม่มีสิ่งใดที่รอดพ้นสายพระเนตรของพระองค์ได้เพราะพระองค์ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้อยู่ในเรา โดยพระคุณพระเจ้าข้าพเจ้าขอตั้งใจด้วยสุดกำลังที่จะดำเนินชีวิตด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมตลอดไป ขอพระองค์ทรงเพิ่มพูนความเชื่อข้าพเจ้าให้มั่นคงไม่สั่้นคลอน ขอบคุณพระเจ้าขอนำหน้าข้าพระองค์ตลอดไป ข้าพเจ้าจะเชื่อและไว้วางใจในพระองค์ เมื่อพระองค์ตรัสบอก ข้าพระองค์จะเชื่อฟังและกระทำตาม ขอบพระคุณพระเยซูคริสต์เจ้าอาเมน

อีกครั้งหนึ่งให้ชมวีดีโอที่เคยมาฉายในคริสตจักรเรา

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

ชีวิตพระเยซูคริสต์ : พระเยซูคือผู้ใด

รวมบทความชีวิตพระเยซูคริสต์

แบ่งปันต่อครับ


Luke 9:7 ฝ่ายเฮโรดเจ้าเมืองได้ยินเรื่องเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งเกิดขึ้นนั้น จึงคิดสงสัยมาก เพราะบางคนว่ายอห์นเป็นขึ้นมาจากความตาย
Luke 9:8 บางคนว่าเป็นเอลียาห์มาปรากฏ คนอื่นว่าเป็นผู้เผยพระวจนะโบราณกลับเป็นขึ้นมาอีก
Luke 9:9 เฮโรดจึงว่า “​ยอห์นนั้นเราได้ตัดศีรษะแล้ว แต่คนนี้ที่เราได้ยินเหตุการณ์ของเขาอย่างนี้คือผู้ใดเล่าแล้วเฮโรดจึงหาโอกาสที่จะเห็นพระองค์

     เหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งเกิดขึ้นนั้นคือ เหตุการณ์เกี่ยวกับพระเยซูที่ทรงทำการอัศจรรย์ต่างๆ และตอนนี้ไม่เพียงพระเยซูเท่านั้นที่ทำ พวกสาวก 12 คนที่พระเยซูส่งออกไปก็ได้ทำด้วย
     เฮโรดเจ้าเมืองนี้เป็นคนละเฮโรดกับสมัยพระเยซูคริสต์มาบังเกิด เฮโรดสมัยพระเยซูมาบังเกิดได้ฆ่าเด็กผู้ชายอายุตั้งแต่สองขวบลงมา เฮโรดองค์นี้ชื่ออารเคลาอัสเป็นลูกของเฮโรดองค์ก่อน และเฮโรดองค์นี้ได้ประหารยอห์นตามคำขอของบุตรีของนางเฮโรเดียส ภรรยาของฟิลิปน้องชายของเฮโรด และเฮโรดกำลังสงสัยต่อสิ่งที่พระเยซูและพวกสาวกของพระองค์ทำการอัศจรรย์ บางคนว่าการอัศจรรย์เหล่านั้นเกิดขึ้นมาได้เพราะยอห์นเป็นขึ้นมาจากความตาย ซึ่งเป็นสิ่งที่เฮโรดเองก็เชื่อด้วย มัทธิว 14:1-2      Matt 14:1 ครั้งนั้นเฮโรดเจ้าเมืองได้ยินกิตติศัพท์ของพระเยซู
Matt 14:2 จึงกล่าวแก่พวกคนใช้ว่าผู้นี้แหละ เป็นยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา ท่านได้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว เหตุฉะนั้นท่านจึงกระทำการมหัศจรรย์ได้

บางคนก็ว่าเป็นเอลียาห์ คนอื่นว่าเป็นผู้เผยวจนะโบราณเป็นขึ้นมา  ดูเหมือนความคิดนี้อยู่ในใจของชาวยิวมาช้านาน ดูตอนที่ยอห์นยังมีชีวิตอยู่ พวกยิวสงสัยได้มาถามยอห์นว่ายอห์นคือผู้ใด พระคริสต์ เอลียาห์ หรือผู้เผยพระวจนะ  John 1:21 เขาทั้งหลายจึงถามว่าถ้าเช่นนั้นท่านเป็นใครเล่า ท่านเป็นเอลียาห์หรือท่านตอบว่าข้าพเจ้าไม่ใช่เอลียาห์” “ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะนั้นหรือและท่านตอบว่ามิได้

สำหรับเอลียาห์แล้ว มีคำเผยพระวจนะว่าเอลียาห์จะมานำหน้าพระคริสต์ ดังที่เขียนไว้ใน  Mark 9:11 เขาจึงทูลถามพระองค์ว่าเหตุไฉนพวกธรรมาจารย์ จึงว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อน
Mark 9:12 พระองค์ตรัสตอบเขาว่าเอลียาห์ต้องมาก่อนจริงและทำให้สิ่งทั้งปวงคืนสู่สภาพเดิม อนึ่งมีคำเขียนไว้อย่างไรถึงบุตรมนุษย์ว่า พระองค์จะต้องทนทุกข์เวทนาหลายประการ และคนจะดูหมิ่นละทิ้งพระองค์เสีย
Mark 9:13 แต่เราบอกแก่ท่านทั้งหลายว่า เอลียาห์นั้นได้มาแล้ว และซึ่งเขาใคร่ทำแก่ท่านอย่างไร เขาก็ได้กระทำแล้วตามที่มีคำเขียนกล่าวไว้ถึงท่าน

เอลียาห์มาแล้วคือยอห์นด้วยน้ำใจแห่งเอลียาห์    Luke 1:17 เขาจะนำหน้าพระองค์โดยน้ำใจและฤทธิ์เดชของเอลียาห์ ให้พ่อกลับคืนดีกับลูก และคนดื้อด้านให้กลับได้ปัญญาของคนชอบธรรม เพื่อจัดเตรียมชนชาติหนึ่งไว้ให้สมแก่พระเจ้า

อีกความคิดหนึ่งคือผู้เผยพระวจนะในสมัยโบราณเป็นขึ้นมาถึงมาทำการอัศจรรย์ต่างๆนาๆได้ สิ่งต่างๆเหล่านี้คือสิ่งที่คนต่างๆคิด แต่แท้ที่จริงแล้วพระเยซูคริสต์คือผู้ใด  ท่านทั้งหลายละครับ คิดว่าพระเยซูคือผู้ใด ดูคำเฉลยได้ในครั้งต่อๆไปข้อ 20 ครับ