วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

A) Word of God : พระวจนะสำหรับคริสตชน

พระวจนะสำหรับคริสตชน

เดือนนี้เป็นเดือนกันยา่ยน นับได้ครบ 1 ปี นับแต่วันที่ผมเริ่มเขียนเรื่องลงบล็อกตอนไปประเทศอิสราเอลจนกระทั่งกลับมา แล้วก็ได้เขียนเรื่องต่างๆต่อเกี่ยวกับเรื่องที่สนใจและต้องการรู้  ดังนั้นในปีที่สองที่เขียนเรื่องลงบล็อกนี้คิดว่าจะศึกษาจากพระวจนะตอนต่างๆื แล้วนำมาแบ่งปันให้พี่น้องได้รับทราบเผื่อเป็นประโยชน์สำหรับใช้แบ่งปันให้กับผู้เชื่อนับแต่ผู้เชื่อใหม่จนไปถึงผู้เชื่อที่เชื่อมานานแล้ว  โดยจะได้เขียนตามโครงร่างข้างล่างนี้


เริ่มต้นตั้งแต่ชีวิตเก่าของเราในอดีตเป็นอย่างไร  ถ้าเรากลับใจใหม่แล้วจะส่งผลต่อชีวิตของเราอย่างไร ถ้าไม่กลับใจจะเกิดอะไรขึ้น  นอกจากนั้นเมื่อเรากลับใจใหม่ เราต้องขุดรากถอนโคนสิ่งใดในชีวิตของเราบ้าง เพื่อสิ่งนั้นจะไม่ผันผูกในชีวิตเรา ทำให้เราไม่สามารถเดินก้าวหน้าไปกับพระเจ้าได้อย่างเต็มขนาด

หลังจากนั้นก็มาดูกันว่า เมื่อเรากลับใจใหม่แล้วเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเรา เราควรวางคำสอนอะไรไว้ในชีวิตเพื่อเป็นรากฐานแห่งชีวิตของเรา  และเมื่อเรากลับใจแล้ว ใครเป็นผู้ช่วยเราในการดำเนินชีวิต

หลังจากกลับใจแล้ว ชีวิตคริสเตียนของเราจะเป็นอย่างไร  จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

และถ้าเราเชื่อฟังและทำตามพระวจนะพระเจ้า ชีวิตคริสเตียนของเราจะเต็มไปด้วยพระพร เพื่อเมื่อคนทั้งหลายได้เห็น เขาจะได้เชื่อและไว้วางใจองค์พระเยซูคริสต์

ถัดจากนั้นมา ชีวิตคริสเตียนของเราก็จะเติบโตขึ้นไปอีก เริ่มรับประทานอาหารแข็งเพิ่มมากขึ้น  เติบโตมากขึ้นโดยมีเป้าหมายไปสู่ความไพบูลย์ในพระคริสต์

ภาพแห่งการเติบโตขึ้นนี้ เราต้องมีส่วนร่วมรับใช้ในพระกาย  ยิ่งเรามีส่วนร่วมรับใช้ ก็เหมือนอวัยวะในพระวรกายได้ทำหน้าที่ ร่างกายก็ยิ่งทวีความเข้มแข็งมากขึ้นไปอีก

จนไปสู่ความไพบูลย์ในพระคริสต์สูงสุดเท่าที่เราจะทำได้โดยพระคุณของพระเจ้า

ในขณะเดียวกับที่เราทั้งหลายก็รอคอยการเสด็จกลับมาขององค์พระเยซูคริสต์ และเตรียมตนเองไว้ให้พร้อมสำหรับการเสด็จกลับมาของพระองค์

ครับนี่คือทั้งหมดที่เป็นโครงความคิดที่คิดจะเขียนแบ่งปันในบล็อกนี้ครับ  และในระหว่างที่เขียนเรื่องต่างๆเหล่านี้นั้น หากมีสิ่งใดที่พระเจ้าเปิดเผยให้ทราบให้เข้าใจ ก็จะนำมาแบ่งปันในบล็อกนี้เช่นเคยตามแต่โอกาสครับ  โดยหลักๆแล้ว วันเสาร์คงเป็นวันที่จะเขียนเรื่องที่อยู่ในแผนผังนี้เป็นเรื่องหลักครับ

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

A) Word of God : สวรรค์ เมืองบรมสุขเกษม นครเยรูซาเล็มใหม่

สวรรค์หรือเมืองบรมสุขเกษมคือสถานที่ที่เราจะไปอยู่เมื่อวิญญาณจิตเราแยกออกจากร่างกายยามเราล่วงหลับไปแล้ว สำหรับคริสเตียนเรามีความแน่ใจ มั่นใจได้ว่าเราล่วงหลับแล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน อย่างที่บอกไปแล้วครั้งก่อนว่า สำหรับคนที่ไม่เชื่อ เขาเกิดหนึ่งครั้ง และตายสองครั้ง ตายครั้งแรกเมื่อจิตวิญญาณออกจากร่างกาย และตายครั้งที่สองเป็นการตายนิรันดร์ เมื่อต้องถูกพิพากษาที่หน้าบัลลังภ์พระคริสต์ วิวรณ์ 20:13-15 แต่สำหรับเราผู้เชื่อ เราเกิดสองครั้ง แต่ตาย(ล่วงหลับ)ครั้งเดียว เกิดครั้งแรกจากครรภ์มารดา และเกิดครั้งที่สองเมื่อเราบังเกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณ หลังจากนั้นเมื่อเราล่วงหลับ จิตวิญญาณของเราไปอยู่กับพระเจ้า


พระเยซูคริสต์ได้จัดเตรียมที่อยู่ให้กับเราเหล่าผู้เชื่อแล้ว

ยอห์น 14:1-3
1 "อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลย ท่านวางใจในพระเจ้า {หรือ จงวางใจในพระเจ้า} จงวางใจในเราด้วย
2 ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีที่อยู่เป็นอันมาก ถ้าไม่มีเราคงได้บอกท่านแล้ว เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย
3 เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกรับท่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนท่านทั้งหลายจะได้อยู่ที่นั่นด้วย

เมื่อเราล่วงหลับไปจิตวิญญาณของเราจะไปอยู่กับพระเจ้า ก็คงคล้ายการหลับไปจริงๆตื่นขึ้นมาอีกทีก็ไปอยู่ในสถานที่สภาพใหม่แล้ว แต่ตอนนี้เราคงอยู่ในสภาพจิตวิญญาณอยู่ จนกระทั่งพระเยซูเสด็จกลับมาครั้งที่สองจิตวิญญาณของเราจะมากับพระองค์ด้วยและสวมสภาพใหม่กลายเป็นกายวิญญาณแบบพระเยซูคริสต์

1 เธสะโลนิกา 4:13-18
1Thess 4:13 แต่พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านไม่ทราบถึงเรื่องคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่เป็นทุกข์โศกเศร้าอย่างคนอื่นๆที่ไม่มีความหวัง
1Thess 4:14 เพราะถ้าเราเชื่อว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ และทรงคืนพระชนม์แล้ว เช่นเดียวกันบรรดาคนที่ล่วงหลับไปในพระเยซูนั้น พระเจ้าจะทรงนำคนเหล่านั้นมากับพระองค์ด้วย
1Thess 4:15 ในข้อนี้เราขอบอกให้ท่านทราบตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า เราผู้ยังเป็นอยู่และเหลืออยู่จนถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะล่วงหน้าไปก่อนคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้วก็หามิได้
1Thess 4:16 ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเองจะเสด็จมาจากสวรรค์ ด้วยเสียงกู่ก้อง ด้วยสำเนียงของเทพบดี และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งปวงที่ตายแล้วในพระคริสต์จะเป็นขึ้นมาก่อน
1Thess 4:17 หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่และเหลืออยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น เพื่อจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละเราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์
1Thess 4:18 เหตุฉะนั้นจงปลอบใจกันและกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด

กายวิญญาณแบบพระเยซูคริสต์เป็นเช่นไร ดูจาก 1 โครินธ์ บทที่ 15 จากกายธรรมชาติหรือร่างกายของเรา(natural body) ไปเป็นกายวิญญาณ (spiritual body) :44 เมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชมม์ ร่างกาย(natural body)ของพระองค์อยู่ในอุโมงค์ แต่วิญญาณของพระองค์ลงไปเบื้องล่างไปป่าวประกาศแก่คนที่อยู่ในอกอับราฮาม ไปกับพระองค์ด้วย เมื่อพระองค์ฟื้นขึ้นมาจากความตาย(พระเยซูตายจริงๆ พระคัมภีร์ไม่ได้ใช้คำว่าล่วงหลับเหมือนอย่างเรา บทที่ 15) ร่างกาย(natural body)ของพระองค์เปลี่ยนแปลงใหม่เป็นกายวิญญาณ(spiritual body) พระคัมภีร์ ข้อ 23 บอกเราว่าการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูคริสต์เป็นผลแรก คือพระองค์ก่อนแล้วต่อมาก็คือพวกเราด้วย เพียงแต่ว่าตอนนี้เรายังอยู่ในสภาวะจิตวิญญาณที่อยู่กับพระองค์ จนเมื่อพระองค์เสด็จกลับมาจิตวิญญาณของเราก็จะรวมกับผงธุลีร่างกายของเรากลายเป็นกายวิญญาณแบบพระเยซูคริสต์ เมื่อย้อนกลับมาดูสมัยพระองค์เข้ามาบังเกิดในโลก ข้อ 45 อาดัมผู้มาภายหลังคือพระเยซูคริสต์เป็นวิญญาณผู้ประสาทชีวิต พระองค์บังเกิดโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ในครรภ์ของมนุษย์ วิญญาณของพระองค์จากสวรรค์มาบังเกิดในมนุษย์ดินเป็นองค์พระเยซูคริสต์ เมื่อพระองค์ออกจากโลกมนุษย์ดินนั้นเปลี่ยนกลับกลายเป็นกายวิญญาณ ข้อ 50 เนื้อและเลือดจะมีส่วนในแผ่นดินพระเจ้าไม่ได้ เมื่อเราไปสวรรค์ เราไม่มีเนื้อและเลือดแล้วเป็นกายใหม่กายวิญญาณ(เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมารับเรา) เราสามารถดูจากกายของพระเยซูคริสต์เมื่อเป็นขึ้นมาได้ว่าเป็นอย่างไร ลูกา 24:31 พระเยซูมาปรากฏและก็หายไปได้ ไม่ถูกจำกัดด้วยมิติสถานที่เหมือนมนุษย์โลก ลูกา 24:39 คลำดูได้ จับต้องพระองค์ได้ ลูกา 24:43 กินอาหารให้พวกเขาดูได้ ข้าพเจ้าคิดว่าพระองค์ต้องการแสดงให้พวกเขาไม่กลัวพระองค์

ที่นี่เมื่อเราเห็นสภาพของเราในสภาวะใหม่แล้ว เราจะไปดูกันว่าที่ที่เราจะไปอยู่นั้นเป็นอย่างไร

เปาโลบอกว่าเขารู้จักคนที่ไปสวรรค์ชั้นสาม

2โครินธ์ 12:1-4
1 ข้าพเจ้าจำจะต้องอวด ถึงแม้จะไม่มีประโยชน์อะไร แต่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไป ถึงนิมิตและการสำแดงซึ่งมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
2 ข้าพเจ้าได้รู้จักชายคนหนึ่งผู้เลื่อมใสในพระคริสต์สิบสี่ปีมาแล้ว เขาถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม (แต่จะไปทั้งกายหรือไปโดยไม่มีกายข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงทราบ)
3 ข้าพเจ้าทราบ (แต่จะไปทั้งกายหรือไม่มีกายข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงทราบ) ว่าคนนั้นถูกรับขึ้นไปยังเมืองบรมสุขเกษม
4 และได้ยินวาจาซึ่งจะพูดเป็นคำไม่ได้ และมนุษย์จะออกเสียงก็ต้องห้าม

จากตอนนี้จะเห็นว่าสวรรค์หรือเมืองบรมสุขเกษมคือที่เดียวกัน หรืออาจจะเป็นอย่างนี้ก็ได้ว่าสวรรค์ชั้นที่สามนั่นคือเมืองบรมสุขเกษม เป็นที่ที่พระเจ้าและผู้ที่มาอยู่ล้อมรอบบัลลังภ์ของพระเจ้าอยู่ แต่สวรรค์ชั้นหนึ่งหรือสองนั้น ไม่ใช่เมืองบรมสุขเกษม เพราะภาษากรีกท้องฟ้าหรือสวรรค์ใช้คำคำเดียวกัน

นั่นแสดงว่าสวรรค์มีหลายชั้นหรืออย่างไร เรื่องนี้นักอธิบายพระคัมภีร์ได้อธิบายว่า สวรรค์มีสามชั้นจริง โดยแบ่งเป็น

ชั้นที่1 ได้แก่บรรยากาศที่หุ้มห่อโลกนี้ที่นกบินไปมา และ มีเมฆปกคลุมอยู่ ที่ภาษาไทยเรียกว่า "ฟ้า" ปฐก.1: 4,21

ชั้นที่2 อยู่นอกบรรยากาศออกไป เป็นที่อยู่ของหมู่ดาวแกแลคซี่ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวต่าง ๆ ปฐก. 1 :14- 17 ,สดด.4: 3

ชั้นที่ 3 เป็นที่ประทับของพระเจ้า เป็นสวรรค์ที่เรากำลังศึกษาอยู่ เราเรียกกันว่า " เมืองบรมสุขเกษม "
ในพระคัมภีร์ได้บรรยายถึงเรื่องของสวรรค์อย่างซับซ้อน ยากแก่การเข้าใจ ได้กล่าวถึง สวรรค์ (ท้องฟ้า)ใหม่ แผ่นดินโลกใหม่ และกรุงเยรูซาเล็มใหม่

เมื่อดูจากคำว่าสวรรค์ในพระคัมภีร์ เราเห็นว่าก็แปลได้ว่าท้องฟ้าหรือสวรรค์ก็ได้

G3772 οὐρανός ouranos (ou-ran-os') n.
1. the sky
2. (by extension) heaven (as the abode of God)
3. (by implication) happiness, power, eternity
4. (specially) the Gospel (Christianity)
[perhaps from an obsolete oro "to rise or rear up" (perhaps akin to G142) through the idea of elevation]
KJV: air, heaven(-ly), sky
See also: G3735, G142

2 เปโตร 3:7 และโดยพระวจนะเดียวกันนั้นเอง ท้องฟ้าและแผ่นดินโลกที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ ก็มีไว้สำหรับให้ไฟเผาผลาญ คือเก็บไว้จนกว่าจะถึงวันทรงพิพากษาและวันพินาศแห่งบรรดาทุรชน

ภาษาอังกฤษใช้คำว่าheaven ส่วนภาษาไทยใช้คำว่าท้องฟ้า จากข้อนี้บอกว่าในอนาคตท้องฟ้าและแผ่นดินโลกจะถูกไฟเผาพลาญ ดังที่เคยเขียนไว้แล้ว และสำหรับเมืองบรมสุขเกษมก็จะเป็นที่เดียวกันกับโลกนี้ที่จะถูกเปลี่ยนใหม่

วิวรณ์ 21:1-2
1 ข้าพเจ้าได้เห็นท้องฟ้าใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ เพราะท้องฟ้าเดิมและแผ่นดินโลกเดิมนั้นหายไปหมดสิ้นแล้ว และทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว
2 ข้าพเจ้าได้เห็นวิสุทธนคร คือนครเยรูซาเล็มใหม่ เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์และจากพระเจ้า นครนี้ได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว เหมือนอย่างเจ้าสาวแต่งตัวไว้สำหรับสามี

สรุปอีกครั้งว่า เมื่อเราล่วงหลับไป จิตวิญญาณของเราจะไปอยู่กับพระเจ้าในเมืองบรมสุขเกษม และเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา จิตวิญญาณของผู้ที่ล่วงหลับไปแล้วจะมากับพระองค์ด้วย แล้วหลังจากนั้นพวกเขาจะเป็นขึ้นมาใหม่เป็นกายวิญญาณ เสร็จแล้วผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่จะขึ้นไปพบกับพระองค์บนท้องฟ้าและเปลี่ยนสภาพกายใหม่และไปอยู่กับพระองค์ในเมืองบรมสุขเกษม เสร็จแล้วก็จะกลับมาครอบครองโลกร่วมกับพระองค์พันปี แล้วจึงจะถึงช่วงเวลาของท้องฟ้าใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ นครเยรูซาเล็มใหม่ ซึ่งท่านอ่านได้จากวิวรณ์ บทที่ 21 และ 22


สุดท้ายมีแบบสอบถามของต่างประเทศมาให้ทำกันครับ

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

A) Word of God : นรก ที่ขุมขัง แดนมรณา แดนคนตาย


จากเรื่องยุคเก่าที่ได้เขียนไปแล้วนั้นจะขอต่อด้วยเรื่องนรกกับสวรรค์ที่มนุษย์ทุกคนต้องไป  ทุกคนจะมีผลปลายทางหลังจากจบชีวิตของตนเองไปแล้ว สำหรับคนที่ไม่เชื่อ ปลายทางของเขาคือแดนมรณา ที่คุมขัง แดนคนตาย หรือนรก  สำหรับคนที่เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ปลายทางของพวกเขาคือเมืองบรมสุขเกษม หรือแผ่นดินสวรรค์นั่นเอง

แล้วสำหรับคนก่อนสมัยยุคที่พระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดและสิ้นพระขนม์เขาต้องเผชิญกับอะไร  มาดูจากพระธรรมลูกา บทที่ 16 กัน เรื่องของเศรษฐีกับลาซารัส ข้อ 19-31

19   "ยังมีเศรษฐีคนหนึ่งนุ่งห่มผ้าสีม่วงและผ้าป่านเนื้อดี  รับประทานอาหารอย่างประณีตทุกวันๆ
20   และมีคนขอทานคนหนึ่งชื่อลาซารัส  เป็นแผลทั้งตัว  นอนอยู่ที่ประตูรั้วบ้านของเศรษฐี
21   และเขาใคร่จะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐีนั้น  แม้สุนัขก็มาเลียแผลของเขา
22   อยู่มาคนขอทานนั้นตาย  และเหล่าทูตสวรรค์ได้นำเขาไปไว้ที่อกของอับราฮัม  ฝ่ายเศรษฐีนั้นก็ตายด้วย  และเขาก็ฝังไว้
23   แล้วเมื่ออยู่ในแดนมรณาเป็นทุกข์ทรมานยิ่งนัก  เศรษฐีนั้นจึงแหงนดูเห็นอับราฮัมอยู่แต่ไกล  และลาซารัสอยู่ที่อกของท่าน
24   เศรษฐีจึงร้องว่า  "อับราฮัมบิดาเจ้าข้า  ขอเอ็นดูข้าพเจ้าเถิด  ขอใช้ลาซารัสมา  เพื่อจะเอาปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นของข้าพเจ้าให้เย็น  ด้วยว่าข้าพเจ้าตรำทุกข์ทรมานอยู่ในเปลวไฟนี้"
25   แต่อับราฮัมตอบว่า  "ลูกเอ๋ย  เจ้าจงระลึกว่าเมื่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่  เจ้าได้ของดีสำหรับตัว  และลาซารัสได้ของเลว  แต่เดี๋ยวนี้เขาได้รับความเล้าโลม  แต่เจ้าได้รับความแสนระทม
26   นอกจากนั้น  ระหว่างพวกเรากับพวกเจ้ามีเหวใหญ่ตั้งขวางอยู่  เพื่อว่าถ้าผู้ใดปรารถนาจะข้ามไปจากที่นี่ถึงเจ้าก็ไม่ได้  หรือถ้าจะข้ามจากที่นั่นมาถึงเราก็ไม่ได้"
27   เศรษฐีนั้นจึงว่า  "บิดาเจ้าข้าถ้าอย่างนั้นขอท่านใช้ลาซารัสไปยังบ้านบิดาของข้าพเจ้า
28   เพราะว่าข้าพเจ้ามีพี่น้องห้าคน  ให้ลาซารัสเป็นพยานแก่เขา  เพื่อมิให้เขามาถึงที่ทรมานนี้"
29   แต่อับราฮัมตอบเขาว่า  "เขามีโมเสสและพวกผู้เผยพระวจนะนั้นแล้ว  ให้เขาฟังคนเหล่านั้นเถิด"
30   เศรษฐีนั้นจึงว่า  "มิได้  อับราฮัมบิดาเจ้าข้า  แต่ถ้าคนหนึ่งจากหมู่คนตายไปหาเขา  เขาคงจะกลับใจเสียใหม่"
31   อับราฮัมจึงตอบเขาว่า  "ถ้าเขาไม่ฟังโมเสสและพวกผู้เผยพระวจนะ  แม้คนหนึ่งจะเป็นขึ้นมาจากความตาย  เขาก็จะยังไม่เชื่อ""

จะเห็นว่าสองคนนี้เมื่อเสียขีวิตพวกเขาไปอยู่ในที่แตกต่างกัน ลาซารัสอยู่ที่อกอับราฮัม เศรษฐีอยู่ที่แดนมรณา  ลาซารัสคงเป็นคนที่ดำเนินชีวิตตามธรรมบัญญัติจึงไปอยู่กับอับราฮัมผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งความเชื่อ ส่วนเศรษฐีแม้มีชีวิตดีบนโลก มีความสมบูรณ์ แต่ในชีวิตหลังความตายเขาต้องทนทุกข์อยู่ที่แดนมรณา  จะเห็นได้ว่าสถานที่สองแห่งนี้คงอยู่ใกล้เคียงกัน มีเพียงหุบเหวขวางกั้นไว้เท่านั้น เพราะเศรษฐีเห็นอับราฮัม และร้องขอให้ช่วย  จะเห็นจากอับราฮัมพูดว่าที่อกอับราฮัมนั้นเป็นที่ที่ได้รับความเล้าโลม  ส่วนแดนมรณาคนที่อยู่ในนั้นทนทุกข์จากเปลวไฟแผดเผาและหิวกระหายน้ำ  จากเรื่องนี้ ข้อคิดสำหรับเราคือสำหรับคนที่ไม่คิดจะเชื่อ ต่อให้คนตายเป็นขึ้นจากตายไปบอกเขา เขาก็ยังไม่เชื่อ

พระคัมภีร์อีกตอนหนึ่งในเอเฟซัส บทที่ 4:8-10  ซึ่งผมได้เทศน์ไปแล้วบอกว่า เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์พระองค์ได้มาป่าวประกาศข่าวแห่งการปลดปล่อยให้กับเชลยที่ติดอยู่ในแดนคนตายนั้น และนำเชลยที่อยู่ที่อกอับราฮัมไปกับพระองค์ด้วย  อีกข้อหนึ่งคือ  1 เปโตร 3:14-19

ดังนั้นในสมัยนี้ อกอับราฮัมไม่มีแล้ว คงมีเพียงแดนมรณาที่สำหรับคนที่ไม่เชื่อ หรือคนที่ทำผิดบาป และเมืองบรมสุขเกษมสำหรับคนที่เชื่อเท่านั้น

 สำหรับคนที่ไม่เชื่อหรือคนที่เชื่อแต่หลงไปทำผิดบาป พระคัมภีร์ได้บอกเราว่าทุกคนจะได้ผลแห่งการกระทำที่อยู่ในโลกแล้วแต่จะดีหรือชั่วทุกคน 2 โครินธ์ 5:10
10   เพราะว่าจำเป็นที่เราทุกคนจะต้องปรากฏตัวที่หน้าบัลลังก์ของพระคริสต์  เพื่อทุกคนจะได้รับสมกับการที่ได้ประพฤติในร่างกายนี้  แล้วแต่จะดีหรือชั่ว

เดี๋ยวตอนท้ายผมจะให้ท่านได้รับข่าวสารเรื่องราวของศบ.ดาเนียล ที่ฟื้นขึ้นมาจากความตายหลังจากตายไปแล้ว 2 วัน ว่าเขาได้ไปเห็นอะไรมาบ้างทั้งบนสวรรค์และในแดนมรณานั้น

จะเห็นว่าคนที่อยู่ในแดนมรณานั้น เขาได้รับผลแห่งการกระทำของเขาจริงๆ ทั้งคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียนแต่ไม่รักษาชีวิตและคนที่ไม่ใช่คริสเตียน

ใครบ้างที่ต้องรับผลไม่เพียงแต่ในแดนมรณาเท่านั้น แต่ในบึงไฟนรกด้วย วิวรณ์ 21:8
8   แต่คนขลาด  คนไม่เชื่อคนที่น่าเกลียดน่าชัง  คนที่ฆ่ามนุษย์  คนล่วงประเวณี  คนใช้เวทมนตร์  คนไหว้รูปเคารพ  และคนทั้งปวงที่พูดมุสานั้น  มรดกของเขาอยู่ที่ในบึงไฟและกำมะถันที่กำลังไหม้อยู่นั้น  นั่นคือความตายครั้งที่สอง"

กาลาเทีย 5:19-21
19   การงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัด  คือการล่วงประเวณี  การโสโครก  การลามก
20   การนับถือรูปเคารพ  การถือวิทยาคม  การเป็นศัตรูกัน  การวิวาทกัน  การริษยากัน  การโกรธกัน  การใฝ่สูง  การทุ่มเถียงกัน  การแตกก๊กกัน
21   การอิจฉากัน  การเมาเหล้า  การเล่นเป็นพาลเกเร  และการอื่นๆในทำนองนี้อีกเหมือนที่ข้าพเจ้าได้เตือนท่านมาก่อน  บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนกับที่เคยเตือนมาแล้วว่า  คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า

1 โครินธ์ 6:9-10
9   ท่านไม่รู้หรือว่า  คนอธรรมจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า  อย่าหลงเลย  คนล่วงประเวณี  คนถือรูปเคารพ  คนผิดผัวเมียเขา  ลูกสวาท  ชายเล่นลูกสวาท
10   คนขโมย  คนโลภ  คนขี้เมา  คนปากร้าย  คนฉ้อโกง  จะไม่ได้รับส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า

เมื่ออ่านดูอย่างนี้แล้วก็ทำให้ต้องตระหนักและให้ความเอาจริงเอาจังในการดำเนินชีวิตมากขึ้น ไม่ปล่อยให้สิ่งต่างๆเหล่านี้เกาะกุมอยู่ในชีวิตเราโดยเราไม่สำนึกในความผิดบาปและเข้าไปหาพระเจ้า ขอพระคุณของพระองค์ทรงโปรดอภัยความผิดบาปเหล่านี้ให้

มนุษย์เราที่ไม่เชื่อเกิดหนึ่งครั้ง แต่ตายสองครั้ง ครั้งแรกวิญญาณจิตแยกออกจากร่าง ถูกนำไปคุมขังไว้ที่แดนมรณานั้น และเมื่อถึงวันพิพากษาหน้าบัลลังภ์พระคริสต์ ทะเลก็ส่งคืนคนตายที่ทะเล ความตายและแดนมรณาก็ส่งคืนคนที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตไปที่บึงไฟ   วิวรณ์ 20:13-15
13   ทะเลก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่ตายในทะเล  ความตายและแดนมรณาก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่อยู่ในแดนนั้น  และคนทั้งหลายก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของตนหมดทุกคน
14   แล้วความตาย  และแดนมรณาก็ถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟ  บึงไฟนี่แหละเป็นความตายครั้งที่สอง
15   และถ้าผู้ใดที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือชีวิต  ผู้นั้นก็ถูกทิ้งลงไปในบึงไฟ

นี่คือความตายครั้งที่สองซึ่งเป็นความตายนิรันดร์ ซึ่งในตอนนั้นพญามารและสมุนของมันก็ต้องไปที่บึงไฟมรณาด้วยกันทั้งหมด  วิวรณ์ 20:10
10   ส่วนพญามารที่ล่อลวงเขาเหล่านั้นก็ถูกโยนลงไปในบึงไฟและกำมะถัน  ที่สัตว์ร้ายและคนที่ปลอมตัวเป็นผู้เผยพระวจนะตกอยู่ในนั้น  และมันต้องทนทุกข์ทรมานทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดไปเป็นนิตย์

ความตายนิรันดร์นี่แหละเป็นความทรมาณตลอดนิรันดร์  มัทธิว 25:40-46
40   แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสกับเขาว่า  "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า  ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้  ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร  ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย"
41   พระองค์จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ของพระองค์ว่า  "ท่านทั้งหลายผู้ต้องแช่งสาปจงถอยไปจากเรา  เข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์  ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารร้ายและสมุนของมันนั้น
42   เพราะว่าเมื่อเราหิวท่านก็มิได้ให้เรากิน  เรากระหายน้ำท่านก็มิได้ให้เราดื่ม
43   เราเป็นแขกแปลกหน้า  ท่านก็ไม่ได้ต้อนรับเราไว้  เราเปลือยกาย  ท่านก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม  เราเจ็บป่วยและต้องจำอยู่ในพันธนาคาร  ท่านไม่ได้เยี่ยมเรา"
44   เขาทั้งหลายจะทูลว่า  "พระองค์เจ้าข้า  ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ  หรือทรงเป็นแขกแปลกหน้าหรือเปลือยพระกาย  หรือประชวร  หรือต้องจำอยู่ในพันธนาคาร  และข้าพระองค์มิได้ปรนนิบัติพระองค์นั้นแต่เมื่อไร"
45   เมื่อนั้นพระองค์จะตรัสกับเขาว่า  "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า  ซึ่งท่านมิได้กระทำแก่ผู้ต่ำต้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้  ก็เหมือนท่านมิได้กระทำแก่เราด้วย"
46   และพวกเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์  แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์"
 
ชีวิตคริสเตียนจึงเป็นชีวิตที่ดำเนินตามพระวิญญาณจริงๆ มีพระวิญญาณคอยเตือนใจเรา มีความสนิทสนมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ก็จะสอนเรา ชี้แนะให้กับเรา ปกป้องเราไว้จากสิ่งทั้งหลายที่คอยมาล่อลวงเรา
ชีวิตคริสเตียนที่ดำเนินชีวิตเป็นเหมือนศาสนาๆหนึ่ง จึงเป็นชีวิตที่อันตรายมาก เพราะเราไม่ได้พึงพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่คอยสอนเรา เปลี่ยนแปลงเรา แต่เราพึงพาแต่กำลังของเราเอง  เห็นเรื่องพระเยซูคริสต์เป็นเหมือนกับศาสนาๆหนึ่งเท่านั้น

ขอพระเจ้าปกป้องเราทั้งหลายไว้ให้พ้นจากมารร้ายทีคอยมาล่อลวงเรา  ขอพระเจ้าช่วยเราไม่ทำตามเนื้อหนังหรือความปรารถนาของเนื้อหนัง  แต่ขอพระเจ้าช่วยเราให้มีชีวิตที่ดำเนินตามพระวิญญาณบริสุทธิ์

โรม 8:6   ด้วยว่าซึ่งปักใจอยู่กับเนื้อหนัง  ก็คือความตาย  และซึ่งปักใจอยู่กับพระวิญญาณก็คือชีวิตและสันติสุข



 http://www.jaisamarn.org/webboard/question.asp?QID=3893 คำพยานดาเนียลภาษาไทยฟื้นจากความตาย




เรื่องราวตอนหนึ่ง




เรื่องราวตอนสอง



เรื่องราวตอนสาม



เรื่องราวตอนสี่



เรื่องราวตอนห้า

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

A) Word of God : Great Tribulation และการสรุปความคิดทั้งหมด

Great Tribulation และการสรุปความคิดทั้งหมด


มีอีกเรื่องหนึ่งครับคือเรื่องความทุกข์เวทนาหรือGreat tribulationเริ่มตอนไหน สรุปว่า เริ่มตอนที่พระวิหารหลังที่ 3 สร้างเสร็จแล้ว และเวลาในสัปตะสุดท้าย สัปตะที่ 70 หรือสัปดาห์ที่ 70 ได้เริ่มต้นนับ Great tribulation ก็เป็นช่วงสัปตะสุดท้ายนั่นเอง

ในภาษากรีกใช้คำนี้ครับ Tribulation หรือ thlipsis

G2347 θλίψις thlipsis (thlip'-sis) n.

1. pressure

{literally or figuratively}

[from G2346]

KJV: afflicted(-tion), anguish, burdened, persecution, tribulation, trouble

Root(s): G2346

[?]

 มาดูพระคัมภีร์ข้อต่างๆที่พูดถึงGreat tribulationกันครับ

มัทธิว 24:21 ด้วยว่าในคราวนั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง อย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มโลกมาจนถึงทุกวันนี้ และในเบื้องหน้าจะไม่มีต่อไปอีก

วิวรณ์ 2:22 นี่แน่ะ เราจะโยนหญิงนั้นไว้บนเตียงคนไข้ และคนทั้งหลายที่ล่วงประเวณีกับนาง เราก็จะทิ้งไว้ให้ผจญกับความระทมทุกข์(Great Tribulation) เว้นไว้แต่ว่าคนเหล่านั้นจะสำนึกในความประพฤติชั่วของนาง (คจ.ที่เมืองธิยาทิรา)

 นี่เป็นคำเตือนที่มีมาถึงคริสตจักรที่เมืองธิยาทิรา คริสเตียนที่ทำผิดบาปจะต้องเผชิญความระทมทุกข์ แสดงว่าคริสเตียนที่รักษาชีวิตอย่างดีไม่ต้องเผชิญหรืออย่างไร?

วิวรณ์ 7:14-17

14 ข้าพเจ้าตอบท่านว่า "ท่านเจ้าข้าท่านก็ทราบอยู่แล้ว" ท่านจึงบอกข้าพเจ้าว่า "คนเหล่านี้คือคนที่มาจากความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่ พวกเขาได้ชำระล้างเสื้อผ้าของเขาในพระโลหิตของพระเมษโปดก จนเสื้อผ้านั้นขาวสะอาด

15 เพราะเหตุนั้นเขาทั้งหลายจึงได้อยู่หน้าพระที่นั่งของพระเจ้า และปรนนิบัติพระองค์ในพระวิหารของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน และพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งจะทรงสถิตด้วย และปกป้องคุ้มครองเขา

16 พวกเขาจะไม่หิวกระหายอีกเลย แสงแดดและความร้อนจะไม่ส่องต้องเขาอีกต่อไป

17 เพราะว่าพระเมษโปดก ผู้ทรงอยู่กลางพระที่นั่งนั้นจะคุ้มครองดูแลเขา และจะทรงนำเขาไปให้ถึงน้ำพุแห่งชีวิต และพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเขาเหล่านั้น"

 จากข้อนี้บอกว่าคริสเตียนต้องผ่านการผจญทุกข์เวทนา และนี่คือผลแห่งการผ่านช่วงทุกข์เวทนามาได้
 มีอะไรเกิดขึ้นบ้างในช่วงทุกขเวทนาครั้งใหญ่ ข้าพเจ้าไม่ทราบ ทราบแต่ว่าทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

จะเป็นสิ่งต่างๆในคำพยากรณ์ได้ไหม ที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เช่น ที่เคยเขียนไว้แล้ว

1. คนมาอ้างนามว่าตัวเขาเป็นพระคริสต์

2. ข่าวลือเรื่องสงคราม

3. การต่อสู้กันระหว่างประชาชาติและราชอาณาจักร

4. การกันดารอาหารและแผ่นดินไหว

5. การอายัดกันและกัน

6. ประชาชาติเกลียดชัง

7. คนเป็นอันมากจะถดถอย

8. ผู้เผยพระวจนะปลอม ล่อลวงคนให้หลง

9. ความรักของคนส่วนมากจะเยือกเย็นลง

10. ความอธรรมแผ่กว้างออกไป

11. ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินพระเจ้าจะได้ประกาศออกไปทั่วโลก

12. เกิดสิ่งอันน่าสะอิดสะเอียนตั้งอยู่ในสถานที่บริสุทธิ์

13. เกิดความทุกข์ลำบากยิ่งใหญ่

14. มีพระคริสต์เทียมเท็จ ผู้ทำนายเทียมเท็จหลายคนเกิดขึ้น ทำหมายสำคัญการอัศจรรย์ ล่อลวงแม้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลง

15. เป็นเหมือนสมัยของโนอาห์

 คำเผยพระวจนะ 15 อย่างนี้มาจากมัทธิวบทที่ 24

 อื่นๆอีก เช่น ชนชาติอิสราเอลจะรวมตัวกันเป็นประเทศใหม่ , จะมีโรคระบาดและโรคร้ายที่รุนแรงเกิดขึ้นในโลก , ความรู้ของมนุษย์จะทวีมากขึ้น

 มีที่เขียนเป็นความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ เช่น เรื่องโลกร้อน , เรื่องพายุสุริยะระดมถล่มโลก , เรื่องน้ำทะเลสูงขึ้นท่วมที่ดินชายฝั่งหายไป แผ่นที่โลกเปลี่ยน ที่อยู่อาศัยเปลี่ยน เพียงแต่ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ความรู้เท่านั้นแต่เกิดขึ้นจริง

 นอกจากนั้นที่ผมเขียนไว้ในบล็อกไปแล้ว เช่น เรื่องปฏิปักษ์พระคริสต์มาทำการอัศจรรย์ต่างๆนานา , เรื่องสงครามโลกครั้งที่3 , เรื่องเลข666ที่จะบังคับให้อยู่ในร่างกายเรา ถ้าไม่มีก็ซื้อขายไม่ได้

 สุดท้ายก็คงเป็นเรื่องการทำลายโลกธาตุนี้ด้วยไฟ หรือที่คาดเดาว่าเป็นอุกกาบาตพุ่งชนโลก

ถ้าดูจากทั้งหมดนี้ มีอะไรบ้างที่เป็นไปได้ ลองเลือกมาเรียงให้ดู ทั้งนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์ที่ยังไม่ได้เขียนที่นี่นะครับ

1. สงครามโลก ถ้ามีเกิดขึ้นครั้งนี้คงเป็นสงครามเทคโนโลยี สงครามชีวภาพ แบบที่เราไม่เคยเจอมาก่อน


2. การกันดารอาหารที่จะมีการทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะประชากรในโลกมากขึ้น แต่อาหารกลับน้อยลง เพราะเอามาทำเชื้อเพลิงส่วนหนึ่ง


3. แผ่นดินไหวที่จะยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก จากสภาวะเปลือกโลกที่ไม่คงตัว อันเนื่องมาจากปัจจัยภายในโลก และปัจจัยจากนอกโลก


4. มีโรคระบาดและโรคร้ายชนิดใหม่ๆรุนแรงมากขึ้นไปอีก


5. ความเป็นอยู่ในโลกจะยิ่งทวีความยากลำบากมากขึ้นในการดำรงชีวิต ทั้งจากภัยธรรมชาติ จากสิ่งที่มนุษย์กระทำให้เกิดขึ้นเอง ผู้คนอยู่ในโลกแออัดมากขึ้น การดำรงชีพยากมากขึ้น


6. คริสเตียนที่อยู่ในโลกจะลำบากมากขึ้นจากการถูกบังคับให้ประทับตรา 666


7. ฯลฯ จากสิ่งที่เราเห็นในพระคัมภีร์ แต่ดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องที่พระเจ้าทำในหนังสือวิวรณ์ เกี่ยวกับตรา แตร ขัน ซึ่งน่าจะเกี่ยวกับคนที่ไม่เชื่อที่เหลืออยู่ในโลกมากกว่า วิวรณ์ 6:16-17 วิวรณ์ 7:3 บอกเราว่าอย่าทำอันตรายแก่ต้นไม้ ฯลฯ จนกว่าจะได้ประทับตราไว้ที่หน้าผากผู้รับใช้เสียก่อน

 ดังนั้น Great tribulation 7 ปีนั้น ข้าพเจ้าเชื่อว่าเกิดกับคริสเตียนด้วยสามปีครึ่งแรก และที่เหลืออีกสามปีครึ่งหลังเกิดกับประชากรในโลกที่เหลือจากการถูกรับขึ้น ดังที่พระคัมภีร์กล่าวถึง ตรา แตร ขัน ในหนังสือวิวรณ์

 หรือว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงสามปีครึ่งแรก เพราะวิวรณ์ 9:4 บอกไม่ให้ทำอันตรายแก่คนของพระเจ้าที่ประทับตราไว้ แต่ว่า วิวรณ์ 9:20-21 บอกว่าคนเหล่านี้แม้เจอภัยพิบัติแต่ไม่ยอมกลับใจใหม่ ทำให้เห็นภาพเหมือนกับว่าไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่คอยดลใจคนให้กลับใจใหม่อยู่ในโลกแล้ว ก็น่าจะเป็นช่วงสามปีครึ่งหลังมากกว่า แต่ว่าก็ยังมีผู้เชื่อเหลืออยู่ด้วยในโลกนี้ซึ่งไม่ได้ถูกรับไป

 ที่ยังไม่ได้เขียนเช่นลูกเห็บหนัก 50 กิโลกรัม ตกลงมาจากฟ้า วิวรณ์ 16:21 แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทำ

มัทธิว 24:21-22

21 ด้วยว่าในคราวนั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง อย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มโลกมาจนถึงทุกวันนี้ และในเบื้องหน้าจะไม่มีต่อไปอีก

22 ถ้ามิได้ทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า จะไม่มีมนุษย์รอดได้เลย แต่เพราะทรงเห็นแก่ผู้เลือกสรร จึงทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า

 ผู้เชื่อจะต้องผ่านช่วงนี้ไปให้ได้ ข้อ 22 บอก เพราะเห็นแก่ผู้เลือกสรร แสดงว่าเราต้องผ่านช่วงทุกข์เวทนาแน่ แต่ผ่านในช่วงสามปีครึ่งแรก (ให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้าแทนที่จะเป็น 7 ปี) เพราะพยานสองคนนั้นก็จะเป็นพยานสามปีครึ่งเหมือนกัน ซึ่งคงอยู่ในช่วงแรกแล้วก็ฟื้นขึ้นมาและถูกรับไป

วิวรณ์ 11

1 ท่านผู้หนึ่งจึงเอาไม้อ้อท่อนหนึ่งให้ข้าพเจ้ารูปร่างเหมือนไม้วัด แล้วสั่งข้าพเจ้าว่า "จงลุกขึ้นไปวัดพระวิหารของพระเจ้า และแท่นบูชาและคำนวณคนทั้งหลายซึ่งนมัสการในนั้น

2 แต่ไม่ต้องวัดลานชั้นนอกพระวิหารนั้น เพราะว่าที่นั่นได้มอบให้แก่คนต่างชาติแล้ว และเขาจะเหยียบย่ำวิสุทธนคร ตลอดสี่สิบสองเดือน

3 และเราจะให้ฤทธิ์อำนาจแก่พยานทั้งสองของเรา เพื่อให้เผยพระวจนะตลอดพันสองร้อยหกสิบวัน และให้เขาแต่งตัวด้วยผ้ากระสอบ

4 พยานทั้งสองนั้นคือต้นมะกอกเทศสองต้น และคันประทีปสองคันที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าพระเจ้าผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งแผ่นดินโลก

5 ถ้าผู้ใดทำร้ายพยานทั้งสองนั้น ไฟก็จะพลุ่งออกจากปากเผาผลาญศัตรูผู้นั้น ถ้าผู้ใดทำร้ายพยานทั้งสอง ผู้นั้นก็จะต้องตาย

6 พยานทั้งสองมีฤทธิ์ปิดท้องฟ้าได้ เพื่อไม่ให้ฝนตกในระหว่างวันเหล่านั้นที่เขากำลังเผยพระวจนะ และมีฤทธิ์ทำให้น้ำกลายเป็นเลือดได้ และมีฤทธิ์บันดาลให้ภัยพิบัติต่างๆกระหน่ำโลกกี่ครั้งก็ได้ตามความปรารถนา

7 และเมื่อเสร็จสิ้นการเป็นพยานแล้ว สัตว์ร้ายที่ขึ้นมาจากบาดาลก็จะสู้รบกับเขา จะชนะเขาและจะฆ่าเขาเสีย

8 และศพของเขาจะอยู่ที่ถนนในมหานครนั้น ซึ่งตามอุปมาเรียกว่าเมืองโสโดม และเมืองอียิปต์ อันเป็นเมืองซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาถูกตรึง

9 คนหลายชาติ หลายเผ่า หลายภาษา หลายประชาชาติ จะเพ่งดูศพเขาตลอดสามวันครึ่ง และจะไม่ยอมให้เอาศพนั้นใส่อุโมงค์เลย

10 คนทั้งหลายซึ่งอยู่ในแผ่นดินโลกจะยินดีเพราะเขาและจะสนุกสนานรื่นเริง จะให้ของขวัญแก่กัน เพราะว่าผู้เผยพระวจนะทั้งสองนี้ได้ทรมานคนเหล่านั้นที่อยู่ในโลก"

11 เมื่อเวลาผ่านไปสามวันครึ่งแล้ว ลมปราณจากพระเจ้าก็เข้าสู่ศพของเขาอีก และเขาก็ลุกขึ้นยืน คนทั้งหลายที่ได้เห็นเขาก็มีความหวาดกลัวเป็นอันมาก

12 คนทั้งหลายได้ยินพระสุรเสียงดังมาจากสวรรค์ ตรัสแก่เขาว่า "จงขึ้นมาที่นี่เถิด" และพวกศัตรูก็เห็นเขาขึ้นไปในหมู่เมฆสู่สวรรค์

13 และในเวลานั้นก็เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ และเมืองนั้นก็ถล่มลงเสียหนึ่งในสิบส่วน มีคนตายเพราะแผ่นดินไหวเจ็ดพันคน และคนที่เหลืออยู่นั้นมีความหวาดกลัวยิ่ง และได้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าแห่งสวรรค์

 เป็นช่วงสามปีครึ่งแรกที่พวกเขาเป็นพยาน ช่วงนั้นพระวิหารสร้างเสร็จแล้ว และลานข้างนอกไม่ต้องวัดเพราะมอบให้แก่คนต่างชาติสามปีครึ่งแล้ว ช่วงสามปีครึ่งแรกนั้น (พันสองร้อยหกสิบวัน)เป็นช่วงที่พวกเขาทำให้เกิดภัยพิบัติต่างๆกระหน่ำโลก ผีมารซาตานทำ พยานสองคนของพระเจ้าก็ทำเช่นกัน

พยานสองคนนั้นเป็นใคร?  บางทัศนะก็ว่าเป็นโมเสสกับเอลียาห์  บางทัศนะก็ว่าเป็นอิสราเอลและคริสตจักร


 พยานสองคนที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์เดิม

เศคาริยาห์ 4

Zech 4:1 และทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้ามาอีก และปลุกข้าพเจ้าเหมือนคนที่เพิ่งตื่นจากการนอนของเขา

Zech 4:2 และท่านถามข้าพเจ้าว่า “เจ้าเห็นอะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นเชิงตะเกียงทำด้วยทองคำล้วนอันหนึ่งมีชามอยู่ที่ยอด และมีตะเกียงอยู่บนนั้นเจ็ดดวง และมีท่อเจ็ดท่อนำไปยังตะเกียง ซึ่งอยู่บนยอดนั้นดวงละท่อ

Zech 4:3 และมีต้นมะกอกเทศสองต้นอยู่ข้างๆ อยู่ข้างขวาชามนั้นต้นหนึ่ง อยู่ข้างซ้ายต้นหนึ่ง”

Zech 4:4 และข้าพเจ้าถามทูตสวรรค์ผู้ที่สนทนากับข้าพเจ้าว่า “เจ้านายเจ้าข้า นี่คืออะไร”

Zech 4:5 ทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้าตอบข้าพเจ้าว่า “นี่คืออะไรเจ้าไม่ทราบหรือ” ข้าพเจ้าตอบว่า “นายเจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่ทราบ”

Zech 4:6 แล้วท่านจึงตอบข้าพเจ้าว่า “นี่เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่ให้ไว้กับเศรุบบาเบลว่า มิใช่ด้วยกำลังมิใช่ด้วยฤทธานุภาพ แต่ด้วยวิญญาณของเรา พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ

Zech 4:7 โอ ภูเขาใหญ่ เจ้าเป็นอะไรเล่า ต่อหน้าเศรุบบาเบล เจ้าจะเป็นที่ราบ และท่านจะนำศิลาก้อนที่อยู่ยอดออกมาท่ามกลางการโห่ร้องว่า “งามจริง พระวิหาร งามจริง”

Zech 4:8 ยิ่งกว่านั้นพระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้ากล่าวว่า

Zech 4:9 “มือของเศรุบบาเบลได้วางรากฐานของพระนิเวศนี้ และมือของเขาจะสร้างให้สำเร็จ” แล้วเจ้าจึงจะทราบว่า พระเจ้าจอมโยธาได้ใช้ข้าพเจ้ามาหาเจ้าทั้งหลาย

Zech 4:10 เพราะว่าผู้ใดที่ดูหมิ่นวันแห่งการเล็กน้อยเราจะเปรมปรีดิ์ และจะได้เห็นสายดิ่งที่อยู่ในมือของเศรุบบาเบล “ทั้งเจ็ดนี้คือบรรดาพระเนตรของพระเจ้าซึ่งมองอยู่ทั่วพิภพ”

Zech 4:11 แล้วข้าพเจ้าจึงถามท่านว่า “ต้นมะกอกเทศ สองต้นที่อยู่ข้างขวาและข้างซ้ายของเชิงตะเกียงนั้นคืออะไร”

Zech 4:12 และข้าพเจ้าถามท่านเป็นครั้งที่สองว่า “กิ่งทั้งสองของต้นมะกอกเทศ ซึ่งอยู่ข้างท่อทองคำทั้งสอง ซึ่งเทน้ำมันออกนั้นคืออะไร”

Zech 4:13 ท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า “เจ้าไม่ทราบหรือ เหล่านี้คืออะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “เจ้านายเจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่ทราบ”

Zech 4:14 แล้วท่านจึงกล่าวว่า “ทั้งสองนี้คือผู้ที่ได้รับการเจิมเป็นผู้ยืนอยู่ข้างพระเจ้าแห่งพิภพทั้งสิ้น”

 ดังนั้นช่วง 7 ปีนั้น ซึ่งสำหรับเราคงเป็นสามปีครึ่งแรก เป็นช่วง Great tribulation พอพระวิญญาณบริสุทธิ์จากไป สามปีครึ่งหลังก็คงเป็นช่วงร่าเริงของปฏิปักษ์พระคริสต์ ผีมารซาตานอยู่กับสมุนของมัน ใครที่ได้ถูกรับไปก็เป็นสุข ใครที่ไม่ติดตามพระเจ้าจริงจัง เชื่อพระเจ้าด้วยปาก ในช่วงสามปีครึ่งหลังนี้ หากจะกลับใจใหม่ติดตามพระเจ้า หมายความถึงเขาต้องยอมสละชีวิตของตนเพื่อติดตามพระเจ้าในช่วงสามปีครึ่งหลังนี้ เพราะช่วงนั้นไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าที่คอยช่วยเหลือ คอยดลใจเรา คอยห้ามปรามทัดทานอำนาจมืด พอไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์คอยทัดทาน มันก็จะทำงานของมันอย่างเต็มที่ และในช่วงสามปีครึ่งหลังนี้ก็จะเป็นGreat tribulationสำหรับคนที่เหลืออยู่บนโลกด้วยซึ่งมีหลายสิ่งที่พระเจ้าทำให้เกิดขึ้นซึ่งกล่าวถึงในหนังสือวิวรณ์

ผู้ที่คอยหน่วงเหนี่ยว

2Thess 2:1 บัดนี้ พี่น้องทั้งหลาย เรื่องการซึ่งพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะเสด็จมา และที่พระองค์จะทรงรวบรวมเราทั้งหลายไปเป็นของพระองค์นั้น เราขอวิงวอนท่านว่า

2Thess 2:2 อย่าให้ใจของท่านหวั่นไหวง่าย หรือเป็นทุกข์ร้อนไป ไม่ว่าจะเป็นโดยทางวิญญาณ หรือโดยทางคำพูด หรือโดยทางจดหมายเป็นเชิงว่ามาจากเรา อ้างว่าวันของพระคริสต์มาถึงแล้ว

2Thess 2:3 อย่าให้ผู้หนึ่งผู้ใดล่อลวงท่านโดยทางหนึ่งทางใดเลย เพราะว่าวันนั้นจะไม่มาถึง เว้นแต่จะมีการล้มลงเสียก่อน และคนแห่งการบาปนั้นจะประจักษ์แจ้ง คือลูกแห่งความพินาศ

2Thess 2:4 ผู้กีดกั้นขัดขวางและยกตัวขึ้นต่อสู้อะไรๆที่ได้ชื่อว่าเป็นพระเจ้า หรืออะไรๆที่เขาไหว้นมัสการนั้น แล้วมันก็นั่งในพระวิหารของพระเจ้าเหมือนอย่างพระเจ้า ประกาศตัวว่าเป็นพระเจ้า

2Thess 2:5 ท่านทั้งหลายจำไม่ได้หรือว่าเมื่อข้าพเจ้ายังอยู่กับท่าน ข้าพเจ้าได้บอกเรื่องนี้ให้ท่านทราบแล้ว

2Thess 2:6 และท่านก็รู้จักผู้นั้นที่กำลังหน่วงเหนี่ยวมันไว้ในขณะนี้ เพื่อมันจะปรากฏออกมาได้ต่อเมื่อถึงเวลาของมัน

2Thess 2:7 เพราะว่าอำนาจลึกลับนอกกฎหมายนั้นก็เริ่มทำงานอยู่แล้ว เพียงแต่ผู้ที่คอยหน่วงเหนี่ยวเดี๋ยวนี้นั้นจะยังหน่วงเหนี่ยวอยู่ จนกว่าผู้ที่คอยหน่วงเหนี่ยวนั้นจะถูกพาออกไปเสีย

2Thess 2:8 ขณะนั้นคนนอกกฎหมายนั้นจะปรากฏตัวขึ้น และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงประหารมันด้วยลมพระโอษฐ์ของพระองค์ และจะทรงผลาญให้สูญไปด้วยการปรากฏแห่งการเสด็จมาของพระองค์

2Thess 2:9 คือผู้นั้นที่มาโดยการดลบันดาลของซาตาน พร้อมกับบรรดาการอิทธิฤทธิ์และหมายสำคัญ และการมหัศจรรย์แห่งความเท็จ

2Thess 2:10 และอุบายอธรรมทั้งหลายสำหรับคนเหล่านั้นที่พินาศอยู่ เพราะเขาทั้งหลายไม่ได้รับความรักแห่งความจริงไว้เพื่อจะรอดได้

2Thess 2:11 เพราะเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงให้ความลุ่มหลงมาครอบงำเขา ให้เขาเชื่อสิ่งที่เท็จ

2Thess 2:12 เพื่อคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อความจริง แต่ยินดีในการไม่ชอบธรรม จะได้ถูกลงพระอาชญาทุกคน

 แสดงว่าพระวิญญาณจะอยู่และคอยหน่วงเหนี่ยวคนนอกกฏหมายไว้จนกว่าจะมีการสร้างพระวิหารเสร็จ มีช่วงเวลาแห่งสนธิสัญญาสันติภาพ 3ปีครึ่งแล้วมันก็หักพันธสัญญานั้น แล้วมันก็เข้าไปนั่งในพระวิหาร

 พระเยซูคริสต์ก็กลับมาในเมฆมารับผู้เชื่อที่ล่วงหลับไปแล้วและผู้เชื่อที่ยังเป็นอยู่ไปพบกับพระองค์บนท้องฟ้า

1Thess 4:13 แต่พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านไม่ทราบถึงเรื่องคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่เป็นทุกข์โศกเศร้าอย่างคนอื่นๆที่ไม่มีความหวัง

1Thess 4:14 เพราะถ้าเราเชื่อว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ และทรงคืนพระชนม์แล้ว เช่นเดียวกันบรรดาคนที่ล่วงหลับไปในพระเยซูนั้น พระเจ้าจะทรงนำคนเหล่านั้นมากับพระองค์ด้วย

1Thess 4:15 ในข้อนี้เราขอบอกให้ท่านทราบตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า เราผู้ยังเป็นอยู่และเหลืออยู่จนถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะล่วงหน้าไปก่อนคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้วก็หามิได้

1Thess 4:16 ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเองจะเสด็จมาจากสวรรค์ ด้วยเสียงกู่ก้อง ด้วยสำเนียงของเทพบดี และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งปวงที่ตายแล้วในพระคริสต์จะเป็นขึ้นมาก่อน

1Thess 4:17 หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่และเหลืออยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น เพื่อจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละเราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์

1Thess 4:18 เหตุฉะนั้นจงปลอบใจกันและกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด

 แล้วก็มีช่วงสุดท้ายก่อนเข้าสู่ยุคพันปีหลังสามปีครึ่ง ที่พระเยซูจะมายืนอยู่ที่ภูเขามะกอกเทศ เพื่อทำสงครามกับคนทั้งหลายที่มาต่อสู้พระองค์ และมาร ฯลฯ ก็ถูกขังไว้พันปี แสดงว่าพระเยซูมารับเราในช่วงสามปีครึ่งนั้นมาในเมฆ แล้วหลังจากนั้นพระเยซูมาที่ภูเขามะกอกเทศเพื่อทำสงครามครั้งสุดท้าย ก่อนโยนพวกผีมารซาตานเข้าไปในที่คุมขัง ขังไว้พันปี ซึ่งตรงนี้เดี๋ยวจะดูต่อไป พญามารอยู่ในเหวที่ไม่มีก้นเหว ส่วนสัตว์ร้ายและผู้พยากรณ์เท็จอยู่ในบึงไฟที่ไหม้ด้วยกำมะถัน

Zech 14:4 ในวันนั้นพระบาทของพระองค์จะยืนอยู่ที่ภูเขามะกอกเทศ ซึ่งอยู่หน้าเมืองเยรูซาเล็มด้านตะวันออก และภูเขามะกอกเทศนั้นจะแยกออกตรงกลางจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก โดยมีหุบเขากว้างมากคั่นอยู่ ภูเขาครึ่งหนึ่งจึงจะถอยไปทางเหนือ และอีกครึ่งหนึ่งจะถอยไปทางใต้

Zech 14:5 และท่านทั้งหลายจะหนีไปยังหุบเขาแห่งบรรดาภูเขา เพราะว่าหุบเขาแห่งบรรดาภูเขาจะมาจดอาซาลและท่านทั้งหลายจะต้องหนีไป อย่างที่หนีจากแผ่นดินไหวสมัยอุสซียาห์กษัตริย์ประเทศยูดาห์ แล้วพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าจะเสด็จมา และพวกวิสุทธิชนทั้งสิ้นจะมากับพระองค์

Zech 14:6 ต่อมาในวันนั้นแสงสว่างจะไม่แจ่มใสหรือจะไม่มืดมัว

Zech 14:7 แต่จะเป็นวันหนึ่งที่พระเยโฮวาห์ทรงทราบแล้ว ไม่ใช่วันหรือคืน แต่ต่อมาเวลาเย็นจะมีแสงสว่าง

Zech 14:8 ในวันนั้นน้ำแห่งชีวิตจะไหลออกจากเยรูซาเล็ม ครึ่งหนึ่งจะไหลไปสู่ทะเลด้านตะวันออก และครึ่งหนึ่งจะไหลไปสู่ทะเลด้านตะวันตก ในฤดูร้อนก็จะไหลเรื่อยไปดังในฤดูหนาว

Zech 14:9 และพระเยโฮวาห์จะทรงเป็นกษัตริย์เหนือพิภพทั้งสิ้น ในวันนั้นพระเยโฮวาห์จะทรงเป็นเอก และพระนามของพระองค์ก็เป็นเอก

Zech 14:10 แผ่นดินทั้งสิ้นจะกลายเป็นที่ราบจากเกบาถึงริมโมนใต้เยรูซาเล็ม แต่เยรูซาเล็มจะดำรงสูงเด่นอยู่ในที่ตั้งของเมืองนั้น จากประตูเบนยามินถึงสถานที่ที่เป็นประตูเก่า ถึงประตูมุมและจากหอคอยฮานันเอล ถึงบ่อย่ำองุ่นของกษัตริย์

Zech 14:11 และจะมีผู้คนอาศัยอยู่เพราะไม่มีการทำลายเสียสิ้นอีกแล้ว แต่เยรูซาเล็มจะอาศัยอยู่ได้อย่างปลอดภัย

Zech 14:12 ต่อไปนี้เป็นภัยพิบัติซึ่งพระเยโฮวาห์จะทรงใช้โจมตีบรรดาชนชาติทั้งหลายที่ทำสงครามกับเยรูซาเล็ม คือเนื้อของเขาจะเน่าไปเมื่อเขายังยืนอยู่ได้ ตาของเขาจะเน่าคาเบ้าตา และลิ้นของเขาจะเน่าคาปาก

Zech 14:13 ต่อมาในวันนั้นการสับสนอลหม่านอย่างใหญ่โตจากพระเยโฮวาห์จะอยู่ท่ามกลางเขาทั้งหลาย เพราะฉะนั้นคนหนึ่งจะจับกุมเพื่อนบ้านของตน และเขาจะยกมือขึ้นต่อสู้กันและกัน

Zech 14:14 แม้ว่ายูดาห์ก็จะต่อสู้กันที่เยรูซาเล็ม ทรัพย์สมบัติของประชาชาติทั้งสิ้นที่อยู่ล้อมรอบจะถูกเก็บ มีทองคำ เงิน และเสื้อผ้ามากมาย

Zech 14:15 และภัยพิบัติอย่างหนึ่งที่เหมือนภัยพิบัติอย่างนี้จะบังเกิดแก่ม้า ล่อ อูฐ ลา และไม่ว่าสัตว์ชนิดใดซึ่งมีอยู่ในเต็นท์เหล่านั้น

Zech 14:16 และอยู่มาบรรดาคนที่เหลืออยู่ในประชาชาติทั้งปวงซึ่งยกขึ้นมาสู้รบกับเยรูซาเล็ม จะขึ้นไปนมัสการกษัตริย์ปีแล้วปีเล่า คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา และจะถือเทศกาลอยู่เพิง

Zech 14:17 ถ้าครอบครัวใดในพื้นพิภพไม่ขึ้นไปยังเยรูซาเล็มเพื่อนมัสการกษัตริย์ คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา ฝนก็จะไม่ตกเหนือเขาเหล่านั้น

Zech 14:18 และถ้าครอบครัวแห่งอียิปต์ ซึ่งขาดฝนแล้ว ไม่ขึ้นไปปรากฏตัวที่นั่น ก็จะบังเกิดภัยพิบัติด้วย ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงใช้โจมตีประชาชาติอื่นๆซึ่งไม่ขึ้นไปถือเทศกาลอยู่เพิง

Zech 14:19 ที่กล่าวนี้จะเป็นการลงทัณฑ์อียิปต์และเป็นการลงทัณฑ์ประชาชาติทั้งสิ้น ซึ่งไม่ขึ้นไปถือเทศกาลอยู่เพิง

Zech 14:20 และในวันนั้นลูกพรวนที่ผูกม้าจะมีคำจารึกว่า "บริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์" และหม้อซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์จะเป็นเหมือนชามซึ่งอยู่หน้าแท่นบูชา

Zech 14:21 เออ และหม้อทุกลูกในเยรูซาเล็มและยูดาห์จะเป็นของบริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์จอมโยธา เพื่อว่าทุกคนที่มาถวายสัตวบูชาจะเอาหม้อไปบ้าง และจะต้มเนื้อในหม้อเหล่านั้น ในวันนั้นจะไม่มีคนคานาอันในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์จอมโยธาอีกต่อไป

 อีกตอนหนึ่งที่พูดถึงการเสด็จกลับมาทำสงครามบนแผ่นดินโลกของพระเมษโปดก ซึ่งในที่นี่พระองค์มีนามว่า ”สัตย์ซื่อและสัตย์จริง” ตอนนี้พระเยซูมาด้วยฤทธานุภาพแล้ว ไม่ได้มาเหมือนสมัยแรกเป็นลูกแกะ พระนามพระองค์ก็เปลี่ยนไปเป็น “สัตย์ซื่อและสัตย์จริง”

Rev 19:11 แล้วข้าพเจ้าได้เห็นสวรรค์เปิดออก และดูเถิด มีม้าขาวตัวหนึ่ง พระองค์ผู้ทรงม้านั้นมีพระนามว่า "สัตย์ซื่อและสัตย์จริง" พระองค์ทรงพิพากษาและกระทำสงครามด้วยความชอบธรรม

Rev 19:12 พระเนตรของพระองค์ดุจเปลวไฟ และบนพระเศียรของพระองค์มีมงกุฎหลายอัน และพระองค์ทรงมีพระนามจารึกไว้ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้จักเลย นอกจากพระองค์เอง

Rev 19:13 พระองค์ทรงฉลองพระองค์ที่จุ่มเลือด และพระนามที่เรียกพระองค์นั้นคือ "พระวาทะของพระเจ้า"

Rev 19:14 เหล่าพลโยธาในสวรรค์สวมอาภรณ์ผ้าป่านเนื้อละเอียด ขาวและสะอาด ได้นั่งบนหลังม้าขาวตามเสด็จพระองค์ไป

Rev 19:15 มีพระแสงคมออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ เพื่อพระองค์จะได้ทรงฟันฟาดบรรดานานาประชาชาติด้วยพระแสงนั้น และพระองค์จะทรงครอบครองเขาด้วยคทาเหล็ก พระองค์จะทรงเหยียบบ่อย่ำองุ่นแห่งพระพิโรธอันเฉียบขาดของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด

Rev 19:16 พระองค์ทรงมีพระนามจารึกที่ฉลองพระองค์ และที่ต้นพระอูรุของพระองค์ว่า "พระมหากษัตริย์แห่งมหากษัตริย์ทั้งปวงและเจ้านายแห่งเจ้านายทั้งปวง"

Rev 19:17 แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งยืนอยู่บนดวงอาทิตย์ ท่านร้องประกาศแก่นกทั้งปวงที่บินอยู่ในท้องฟ้าด้วยเสียงอันดังว่า "จงมาประชุมกันในการเลี้ยงของพระเจ้ายิ่งใหญ่

Rev 19:18 เพื่อจะได้กินเนื้อกษัตริย์ เนื้อนายทหาร เนื้อคนมีบรรดาศักดิ์ เนื้อม้า และเนื้อคนที่นั่งบนม้า และเนื้อประชาชน ทั้งไทยและทาส ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย"

Rev 19:19 และข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายนั้น และบรรดากษัตริย์บนแผ่นดินโลก พร้อมทั้งพลรบของกษัตริย์เหล่านั้น มาประชุมกันจะทำสงครามกับพระองค์ผู้ทรงม้า และกับพลโยธาของพระองค์

Rev 19:20 สัตว์ร้ายนั้นถูกจับพร้อมด้วยผู้พยากรณ์เท็จ ที่ได้กระทำการอัศจรรย์ต่อหน้าสัตว์ร้ายนั้น และใช้การอัศจรรย์นั้นล่อลวงคนทั้งหลายที่ได้รับเครื่องหมายของสัตว์ร้ายนั้น และบูชารูปของมัน สัตว์ร้ายและผู้พยากรณ์เท็จถูกทิ้งทั้งเป็นลงในบึงไฟที่ไหม้ด้วยกำมะถัน

Rev 19:21 และคนที่เหลืออยู่นั้น ก็ถูกฆ่าด้วยพระแสงที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ผู้ทรงม้านั้นเสีย และนกทั้งปวงก็กินเนื้อของคนเหล่านั้นจนอิ่ม

 การคุมขังพญามารไว้พันปี แล้วต้องถูกปล่อยออกมาเพื่อมาทำสงครามครั้งสุดท้าย มันไปล่อลวงคนจากทั่วโลก พันปีที่ไม่มีพญามารอยู่ ไม่มีความผิดบาป บัดนี้เจ้าผู้ก่อการได้ออกมาแล้ว มาล่อลวงคนทั้งหลายไปเป็นพวกของมัน จำนวนคนที่มาเข้าพวกมากมายดุจเม็ดทรายชายทะเล น่าสงสาร น่าเสียดายคนพวกนี้ที่ยอมให้ถูกล่อล่วงไปได้ ทั้งที่ได้ครอบครองร่วมกับพระเมษโปดก ได้อยู่ในสภาพที่ไม่มีบาป กลับยอมถูกล่อลวงไปทำกิจกรรมร่วมกับอำนาจความบาปอีก มันใช้กลเม็ดเดิมเหมือนในสมัยอาดัมกับฮาวา คือ ล่อลวง

 สังเกตว่าสัตว์ร้ายพร้อมกับผู้พยากรณ์เท็จถูกทิ้งลงในบึงไฟที่ไหม้ด้วยกำมะถัน 19:20 ส่วนพญามารถูกทิ้งลงไปในเหวที่ไม่มีก้นเหวขังไว้พันปี เมื่อมันออกมาทำสงครามไฟจากสวรรค์ได้มาเผาทำลาย และมันถูกจับทิ้งในบึงไฟที่ไหม้ด้วยกำมะถันที่พวกสัตว์ร้ายและผู้พยากรณ์เท็จอยู่นั้น 20:10

Rev 20:1 แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ท่านถือลูกกุญแจของเหวที่ไม่มีก้นเหวนั้นและถือโซ่ใหญ่

Rev 20:2 และท่านได้จับพญานาค ซึ่งเป็นงูดึกดำบรรพ์ ผู้ซึ่งเป็นพญามารและซาตาน และล่ามมันไว้พันปี

Rev 20:3 แล้วทิ้งมันลงไปในเหวที่ไม่มีก้นเหวนั้น แล้วได้ลั่นกุญแจประทับตรา เพื่อไม่ให้มันล่อลวงบรรดาประชาชาติได้อีกต่อไป จนครบกำหนดพันปีแล้วหลังจากนั้นจะต้องปล่อยมันออกไปชั่วขณะหนึ่ง

Rev 20:4 ข้าพเจ้าได้เห็นบัลลังก์หลายบัลลังก์ และผู้ที่นั่งบนบัลลังก์นั้น ทรงมอบให้เป็นผู้ที่จะพิพากษา และข้าพเจ้ายังได้เห็นดวงวิญญาณของคนทั้งปวงที่ถูกตัดศีรษะ เพราะเป็นพยานของพระเยซู และเพราะพระวจนะของพระเจ้า และเป็นผู้ที่ไม่ได้บูชาสัตว์ร้ายนั้นหรือรูปของมัน และไม่ได้รับเครื่องหมายของมันไว้ที่หน้าผากหรือที่มือของเขา คนเหล่านั้นกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ และได้ครอบครองร่วมกับพระคริสต์เป็นเวลาพันปี

Rev 20:5 แต่คนอื่นๆที่ตายแล้วไม่ได้กลับมีชีวิตอีกจนกว่าจะครบกำหนดพันปี นี่แหละคือการฟื้นจากความตายครั้งแรก

Rev 20:6 ผู้ใดที่ได้มีส่วนในการฟื้นจากความตายครั้งแรกก็เป็นสุขและบริสุทธิ์ ความตายครั้งที่สองจะไม่มีอำนาจเหนือคนเหล่านั้น แต่เขาจะเป็นปุโรหิตของพระเจ้าและของพระคริสต์ และจะครอบครองร่วมกับพระองค์ตลอดเวลาพันปี

Rev 20:7 ครั้นพันปีล่วงไปแล้ว ก็จะปล่อยซาตานออกจากคุกที่ขังมันไว้

Rev 20:8 และมันจะออกไปล่อลวงบรรดาประชาชาติทั้งสี่ทิศของแผ่นดินโลก คือโกกและมาโกก ให้คนมาชุมนุมกันทำศึกสงคราม จำนวนคนเหล่านั้นมากมายดุจเม็ดทรายที่ทะเล

Rev 20:9 และคนเหล่านั้นยกขบวนออกไปทั่วแผ่นดินโลก และล้อมกองทัพของพวกวิสุทธิชน และเมืองอันเป็นที่รักนั้นไว้ แต่ไฟได้ตกลงมาจากพระเจ้าออกจากสวรรค์ เผาผลาญคนเหล่านั้น

Rev 20:10 ส่วนพญามารที่ล่อลวงเขาเหล่านั้นก็ถูกโยนลงไปในบึงไฟและกำมะถัน ที่สัตว์ร้ายและผู้พยากรณ์เท็จอยู่นั้น และมันต้องทนทุกข์ทรมานทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดไปเป็นนิตย์



หลังจากนี้แล้วก็เป็นเรื่องท้องฟ้าใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ซึ่งจะเอามาเขียนต่อในครั้งต่อๆไปครับ



ให้ดูคลิปที่มีคนทำไว้

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

C) Experience : เขาบอกว่า "จุดจบของโลก"

ลองมาฟังเรื่องที่นักวิชาการนำมาเล่าให้เราฟังกันครับ

จากดร.สมิทธ ตอนหนึ่ง นำมาเล่าให้ฟังจากข้อมูลของดร.ก้องภพ ซึ่งทำงานที่องค์การนาซ่า




ตอนสอง





ดร.สมิทธ มาพูดอีกเรื่องหนึ่งเรื่องแผ่นดินไหว ตอนหนึ่ง




ตอนสอง





ดร.สธน มาให้ข่าวเรื่องดาวเรียงตัวว่าไม่มีผลต่อโลก ตอนหนึ่ง




ตอนสอง






คำสัมภาษณ์ดร.ก้องภพ เรื่องปี 2012