วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

C) Experience : เล่าสู่กันฟัง

         สวัสดีครับ  ผมเพิ่งเดินทางกลับมาจากการไปร่วมงานประกาศคริสต์มาสที่แถบภาคอีสาน  ถือได้ว่านี่เป็นการเดินทางไปครั้งแรกตั้งแต่หายป่วย ไม่นับรวมการไปเยี่ยมครน.ชนเผ่าที่ไปเป็นประจำอยู่แล้ว  เห็นได้เลยว่าย่านฟ้าอากาศของหลายๆที่ในภาคอีสานเปิดแล้ว  มีคจ.หนึ่งฟื้นฟูมาก มีคนมาแสวงหาพระเจ้ามากมาย และสัมผัสได้ว่าเขาเหล่านั้นหิวกระหายหาพระเจ้าจริงๆ  อีกที่หนึ่งไปจัดงานประกาศกลางแจ้ง ผมตั้งใจเทศน์ให้คนที่วิ่งออกกำลังกายแถวนั้นได้ิยินพระกิตติคุณด้วย  และเมื่อนำต้อนรับพระเยซู เขาอธิษฐานตาม และท่องสถานที่ที่ผมบอกว่าเป็นที่ตั้งคจ.ให้เขาฟััง แล้วเขาก็วิ่งต่อไป  ขอบคุณพระเจ้า
          ในการไปที่อีสานนั้น ต้องขอบคุณพระเจ้าอีกสิ่งหนึ่งสำหรับการช่วยปกป้องของพระเจ้าให้พ้นจากอุบัติเหตุและพ้นภัย  คือว่ารถมอเตอร์ไซค์อยู่ดีดี ก็เบี่ยงขวาปาดหน้ารถผม เขาไม่ระวังเวลาจะเลี้ยวรถ พอหักรถมาแล้วถึงเห็นรถผม ขอบคุณพระเจ้าที่เขาชะงัก ส่วนผมก็หักหลบไป ดีที่เลนนั้นที่ไม่มีรถวิ่งสวนมา  ผ่านเหตุการณ์นี้ไปแล้ว ถึงได้เห็นmanifestationจากพระเจ้า  ว่าพระเจ้าส่งทูตสวรรค์มาปกป้องคุ้มครองเราจริงๆ
          ก็เล่าสู่กันฟังเล็กๆน้อยๆครับ สำหรับพระคุณของพระเจ้า การคุ้มครองของพระเจ้า ฮาเลลูยา!

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

A) Word of God : Faith

เชื่อ

                เหตุที่เขียนเรื่องนี้เพราะว่าใกล้จะถึงแล้ว คำพยากรณ์ที่มาถึงประเทศไทย  และเราจะมีประสบการณ์ร่วมกับคำพยากรณ์นี้ได้ เราต้องอาศัยความเชื่อของเราเท่านั้น  คำว่า เชื่อ  ดูเหมือนพูดง่ายๆ  ดูเหมือนทำง่ายๆ  แต่ในความเป็นจริงแล้ว คริสเตียนหลายคนกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น  หากบอกว่าเราเชื่อจริง เชื่อคำพยากรณ์จริงก็จงแสดงผลของการกระทำออกมา (ยากอบ 2:17 , 2:26) เช่น การสร้างคน การเตรียมผู้ประกาศ  การเตรียมคริสตจักร(เหมือนที่ผมเคยเล่าเรื่องคริสตจักรของอ.ยุทธศักดิ์ที่เตรียมการรองรับการฟื้นฟูไว้แล้ว) การตั้งเป้าหมาย ฯลฯ  ชีวิตคริสเตียนของเราล้วนเกี่ยวข้องกับความเชื่อในพระเจ้าทั้งสิ้น  พระคัมภีร์บอกว่าเริ่มต้นด้วยความเชื่อ สุดท้ายก็จบลงด้วยความเชื่อเช่นกัน (โรม 1:17) เหมือนเหตุการณ์การโจมตีของผีมารที่ผมไปเจอมา   คนที่ไม่มีความเชื่อเรื่องนี้ ก็จะไม่ระวังตนเอง  ไม่อธิษฐานปกป้องตนเอง  ไม่ทำสงครามกับผีมารซาตานในพระนามพระเยซู  จะดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ วันๆ โดยหารู้ไม่ว่า ยังมีโลกในฝ่ายวิญญาณ ที่ตาเรามองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง  และเราจะรู้ความจริงเรื่องนี้ได้  เราต้องอาศัยจิตวิญญาณของเราเท่านั้น  สำหรับคริสเตียนทั่วๆไป  เขาไม่ประสบสงคราม เพราะเขาไม่ดำเนินชีวิตแบบเอาจริงเอาจัง  ผีมารก็คงไม่ค่อยไปสนใจเท่าไร  แต่สำหรับคนที่เอาจริง  เห็นทุกสิ่งในพระวจนะเป็นเรื่องจริง และระมัดระวังกระทำตาม  แน่นอน ผีมารย่อมแสวงหาโอกาสโจมตี  เขาผู้นั้นต้องตั้งมั่นคงอยู่ ระมัดระวังตัว  และทำสงครามกับผีมารในพระนามพระเยซู โดยมีคริสเตียนท่านอื่นๆเป็นแนวร่วมช่วยกันสร้างเกราะ ล้อมรั้วฝ่ายวิญญาณไว้รอบชีวิตเขา

                ถามว่าผีมารซาตานชอบการฟื้นฟูประเทศไทยไหม  แน่นอนตอบได้ว่า ไม่ชอบแน่  เพราะจำนวนคนไทยจำนวนมากจะหลุดไปจากพวกมัน ไปอยู่ฝ่ายพระเยซู  พวกมันย่อมไม่ชอบแน่  แล้วมันจะทำอะไร มันจะปิดบังความจริงไว้จากพวกคริสเตียนใช่ไหม  ทำให้คริสเตียนไม่เชื่อคำพยากรณ์นี้ใช่ไหม  มันจะทำให้พวกคริสเตียนไม่เชื่อเรื่องวาระสุดท้ายหรือยุคสุดท้ายใช่ไหม ทำให้คริสเตียนไม่เตรียมตัวใช่ไหม

                สิ่งที่เราทำได้ส่วนหนึ่งคือ ใช้ความเชื่อ  เอาความเชื่อเป็นโล่ห์เพื่อดับลูกศรเพลิงของพญามาร (เอเฟซัส 6:16) มารซาตานยิงลูกศรเพลิงมา ถ้าเราไม่มีความเชื่อ ไม่ใช้ความเชื่อ  ก็เหมือนโล่ห์นั้นไม่ได้ยกขึ้น  ลูกศรเพลิงของพญามารก็สามารถปักเราได้

                อยากจะยกเรื่องความเชื่อมากล่าว จากพระธรรมฮีบรู บทที่ 11
1   ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้  เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า  สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง
ถามตัวเราเองว่า เราหวังในการฟื้นฟูไหม  เราแน่ใจไหมว่าพระเจ้าจะฟื้นฟูประเทศไทย  เราพูด เราประกาศออกไปด้วยความเชื่อไหมว่าสิ่งที่ยังไม่เห็น ยังไม่เกิดนั้น จะเกิดขึ้น
พระคัมภีร์ได้ให้ตัวอย่างแห่งความเชื่อจากบุคคลท่านต่างๆ จากบทที่ 11 นี้
6   แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว  จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้เลย  เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้าได้นั้น  ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่  และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์
                ถ้าไม่มีความเชื่อ จะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าไม่ได้    ข้อ 33 เป็นต้นไป ผลของคนที่มีความเชื่อ

เมื่อเราดูหนังสือพระกิตติคุณ  เราจะเห็นว่าสิ่งที่พระเยซูกระทำ ล้วนแล้วแต่เพราะความเชื่อทั้งสิ้น  และตอนที่พระเยซูพูดถึงความเชื่อของเราหากมีเพียงเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด  หมายความถึงมีเพียงน้อยนิดเปรียบได้กับเมล็ดพืชที่เล็กมาก (ดูรูปประกอบ) ก็สามารถเคลื่อนทั้งภูเขาได้

                ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่านให้สามารถใช้ความเชื่อ หรือฝึกใช้ความเชื่อ จนเห็นสิ่งต่างๆได้บังเกิดขึ้นตามน้ำพระทัยพระเจ้าครับ อาเมน!




มาระโก 9:23 พระเยซูจึงตรัสแก่บิดานั้นว่า "ถ้าท่านเชื่อได้ ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง"

ยอห์น 14:12 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเราจะกระทำกิจการซึ่งเราได้กระทำนั้นด้วย และเขาจะกระทำกิจการที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก เพราะว่าเราจะไปถึงพระบิดาของเรา


วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552

A) Word of God : The Glory of God

พระสิริพระเจ้า  
                ได้ยินคำนี้ที่คนพูดถึงบ่อยๆ  แล้วก็คิดถึงว่า จะจับต้องได้อย่างไร หรือว่าเป็นสัญญลักษณ์เท่านั้น แสดงการมาอยู่ด้วยของพระเจ้า  จึงเริ่มค้นคว้าดูจากพระคัมภีร์  ประจวบเหมาะกับมาเจอเหตุการณ์ที่ผมไปประกาศที่หมู่บ้านชนเผ่า ดังที่ได้เล่าให้ท่านทั้งหลายได้อ่านไปแล้วนั้น หลังจากนั้นได้มาดูรูปในกล้องที่ลูกสาวผมได้ถ่ายเอาไว้ในบางภาพ บางเหตุการณ์  เห็นเป็นหมอกบางๆ  และมีบางช่วงที่คนเห็นนิมิตเป็นไฟกระจายรอบเต็นท์นั้น  ซึ่งลูกสาวได้บอกว่าเวลานั้น ในเต็นท์นั้นร้อน ทั้งๆที่อากาศหนาว  คนอื่นๆก็เช่นกัน สัมผัสความร้อนได้จากการที่พระเจ้ามาสถิตอยู่ด้วย  และพระสิริของพระเจ้าได้ลงมาท่ามกลางพวกเรา  จึงคิดว่าประจวบเหมาะพอดีกับที่เขียนเรื่องนี้
                ขอเล่าเพิ่มเติมอีกนิดครับ  ตอนที่ผมหงายหลังหมดสติไปนั้น ภรรยาผมได้ถามหมอนิดในเวลาต่อมาเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดกับผม หมอนิดบอกว่าผมมีโอกาสตายได้ ถ้าศรีษะผมฟาดพื้น  หมอคนที่ดูแลผมตอนผมเข้าโรงพยาบาลสมัยแรกเมื่อสี่ปีที่แล้วบอกว่า ต้องระวังศรีษะให้ดี อย่าให้ล้ม  เพราะจะทำให้เสียชีวิตได้   นี่แสดงว่า ผีมารจ้องเอาชีวิตผม  แต่ทำไม่ได้  พระเจ้าอนุญาตแค่นี้  อาจารย์คนที่มาจากเบนิน เขาบอกว่าเขาเห็นทูตสวรรค์เต็มไปหมด  และพระเจ้าบอกเขาว่า พระเจ้าอนุญาตให้เกิดเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น   คนในที่ประชุมบอกผมว่าเมื่อผมล้มหงายหลังนั้นเหมือนภาพสโลโมชั่น คือค่อยๆหงายหลังไป  เหมือนผีมารผลักให้ผมล้ม แต่ทูตสวรรค์ประคองหลังและศรีษะผมไว้  เพราะเขาบอกว่า เมื่อผมล้มไปถึงดิน  แต่ศรีษะผมยกอยู่ ไม่กระแทกใส่พื้น  ขอบคุณพระเจ้า
                คนจากส่วนที่ไปด้วยกันที่อ่อนแรงและไม่คิดจะไปค่ายสิ้นปี  เกิดการเปลี่ยนแปลง สมัครค่ายวันนั้นเลย  ฯลฯ  มีหลายสิ่งหลายอย่างทีเดียวครับที่เกิดขึ้น  ขอบคุณพระเจ้า


ภาพเปรียบเทียบบางภาพที่ไปมา













จะเห็นว่าภาพขวามือเป็นเหมือน   หมอกบางๆที่อยู่ที่นั่น  สองภาพนี้ถ่ายมาจากกล้องถ่ายรูปของลูกสาวผมครับ

















นี่ก็เช่นกัน





ภาพนี้จะเห็นเป็นรูปดาว  นี่เป็นเพียงบางภาพเท่านั้นครับ ที่เอามาให้ดู  ขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้าหนุนใจเราว่า พระองค์ทรงอยู่ที่นั่น


                กลับมาดูเรื่องพระสิริพระเจ้าบ้าง  ขอเริ่มต้นดูจากพระคัมภีร์เดิมก่อนครับ 

H3519 כָּבוֹד כָּבוֹד kabowd (kaw-bode')  

นอกจากที่เห็นในพระคัมภีร์ตอนต่างๆแล้ว  ภาษาฮีบรู พระสิริพระเจ้ายังหมายถึงน้ำหนักด้วย นั่นหมายความว่าเวลาพระสิริพระเจ้าลงมา จะเหมือนมีน้ำหนักลงมาที่ตัวเราด้วย 

จากคำที่ H3519 เห็นพระสิริ เป็นเหมือนเมฆปกคลุม อพยพ 16:10 , 24:16 , 40:35 เป็นเหมือนเปลวไฟ  อพยพ 26:17

พระสิริพระเจ้าเป็นเหมือนเมฆ เป็นเหมือนไฟ ที่นำทางคนอิสราเอล อพยพ 40:34-38 , ลนต.9:23-24

·        สง่าราศีของพระเจ้าเป็นดั่งเมฆ
กันดารวิถี 16:42 ต่อมาเมื่อชุมนุมชนมาประชุมประจัญหน้าโมเสสและอาโรน เขาหันหน้ามาสู่พลับพลาแห่งชุมนุม และดูเถิด เมฆมาคลุมพลับพลานั้น และสง่าราศีของพระเยโฮวาห์ก็ปรากฏ

1 พงษ์กษัตริย์ 8:10-11
10 และอยู่มาเมื่อปุโรหิตออกมาจากที่บริสุทธิ์ที่สุด เมฆมาเต็มพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ 11 ปุโรหิตจึงยืนปรนนิบัติอยู่ไม่ได้เพราะเมฆนั้น เพราะสง่าราศีของพระเยโฮวาห์เต็มพระนิเวศของพระเยโฮวาห์

·        เมื่อคนอิสราเอลถวายสรรเสริญพระเจ้า ร้องเพลงโมทนาด้วยใจพร้อมเพรียงกัน   สง่าราศีของพระเจ้าก็ลงมาปกคลุมเต็มพระนิเวศ
2 พงศาวดาร 5:13-14
13 อยู่มาพวกคนเป่าแตรและพวกนักร้องจะทำให้คนได้ยินเขาทั้งหลายร้องเพลงสรรเสริญ และเพลงโมทนาพระคุณพระเยโฮวาห์เป็นเสียงเดียวกัน และเมื่อเขาร้องขึ้นพร้อมกับแตรและฉาบกับเครื่องดนตรีอย่างอื่น ในการถวายสรรเสริญแด่พระเยโฮวาห์ว่า "เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์" พระนิเวศคือพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ก็มีเมฆเต็มไปหมด 14 จนปุโรหิตจะยืนปรนนิบัติไม่ได้ด้วยเหตุเมฆนั้น เพราะสง่าราศีของพระเยโฮวาห์เต็มพระนิเวศของพระเจ้า

·        อีกครั้ง  2 พงศาวดาร 7:1-3
 1 เมื่อซาโลมอนทรงจบคำอธิษฐานของพระองค์แล้ว ไฟได้ลงมาจากฟ้าสวรรค์ไหม้เครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชาเสีย และสง่าราศีของพระเยโฮวาห์ก็เต็มพระนิเวศ  2 ปุโรหิตเข้าไปในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ไม่ได้ เพราะว่าสง่าราศีของพระเยโฮวาห์เต็มพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
 3
เมื่อบรรดาชนอิสราเอลได้เห็นไฟลงมาและสง่าราศีของพระเยโฮวาห์อยู่บนพระนิเวศ เขาทั้งหลายก็กราบซบหน้าลงถึงพื้นหิน และได้นมัสการสรรเสริญพระเยโฮวาห์ว่า "เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์"


1 ซามูเอล 4:21-22 ได้พูดไว้อย่างน่าสนใจว่า เพราะหีบแห่งพันธสัญญาถูกเอาไป  สง่าราศีของพระเจ้าจึงไม่ได้อยู่ด้วย   หีบแห่งพันธสัญญาในสมัยพระคัมภีร์เดิมเป็นเครื่องหมายแห่งการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า  เมื่อหีบของพระเจ้าไม่อยู่กับอิสราเอล การอวยพรของพระเจ้าก็ไม่มาถึง   หีบของพระเจ้าจะกลับมาอยู่กับอิสราเอล พวกเขาต้องชำระตัวเองให้บริสุทธิ์ด้วย   นั่นแสดงว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับผู้ที่มือสะอาดและใจบริสุทธิ์  เมื่อหีบแห่งพันธสัญญากลับมาอยู่กับอิสราเอล  ด้วยความยินดี ดาวิดเต้นโลดถวายพระเจ้า ดั่งที่ผมได้เขียนไว้ในบล็อกก่อนหน้านี้  

                นี่เองสง่าราศีในพระคัมภีร์ใหม่ G1391 δόξα doxa (dox'-ah) ถึงหมายความถึงการสรรเสริญและการนมัสการด้วย  นั่นหมายความว่า เมื่อเราร้องเพลงสรรเสริญและนมัสการ เรากำลังเชิญพระสิริพระเจ้าลงมาใช่หรือไม่  

·        พระสิริหรือสง่าราศีของพระเจ้าในพระคัมภีร์ใหม่เท่าที่เห็นได้ ปรากฏได้ก็คงมีตอนนี้เท่านั้น
ลูกา 2:9  สง่าราศีของพระเจ้าปรากฏแก่คนเลี้ยงแกะ เป็นแสงรอบตัวเขา

โดยรวมแล้วพระสิริพระเจ้าน่าจะหมายถึงการที่พระเจ้ามาสำแดงแก่ประชากรของพระองค์ว่า พระองค์ทรงอยู่ด้วยท่ามกลางเขา  ส่วนที่ว่าจะเห็นหรือสัมผัสได้ว่าพระสิริลงมาหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับน้ำพระทัยพระเจ้าว่าพระองค์ประสงค์จะสำแดง(Manifestation)หรือไม่   แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้าครับ

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

A) Word of God : The tabernacle of David

พลับพลาดาวิด  

มาจากคำนี้ในภาษาฮีบรู Tabernacle ที่พำนัก , สถานที่พำนัก  H4908 מִשׁכָּן mishkan (mish-kawn')
ช่วงที่อยู่ที่อิสราเอล ได้คิดถึงเรื่องพลับพลาของดาวิด เพราะเห็นเขาพูดถึงในการประชุมอธิษฐานที่อิสราเอลอยู่บ่อยๆ มาจาก กจ.15:15-18
15 คำของผู้เผยพระวจนะก็สอดคล้องกับเรื่องนี้ ดังที่ได้เขียนไว้แล้วว่า
16 "ภายหลังเราจะกลับมา และเราจะสร้างพลับพลาของดาวิดซึ่งพังลงแล้วขึ้นใหม่ ที่ร้างหักพังนั้นเราจะก่อขึ้นอีกและจะตั้งขึ้นใหม่
17 เพื่อคนอื่นๆ จะได้แสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า คือบรรดาคนต่างชาติซึ่งเราจองไว้
18 องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงแจ้งเหตุการณ์เหล่านี้ให้ทราบแต่โบราณกาลได้ตรัสไว้แล้ว

·        จุดประสงค์ในการสร้างพลับพลา
อพยพ 25:8  8   แล้วให้เขาสร้างสถานนมัสการถวายแก่เรา  เพื่อเราจะได้อยู่ท่ามกลางพวกเขา
·        พระเจ้าได้วางแบบอย่างการสร้างพลับพลา และบอกโมเสสให้สร้าง
อพยพ 25:9 แบบอย่างพลับพลาและเครื่องทั้งปวงของพลับพลานั้น เจ้าจงทำตามที่เราแจ้งไว้แก่เจ้านี้ทุกประการ

·        แบบแปลนการสร้างพลับพลา พระเจ้าได้อธิบายไว้ใน อพยพ บทที่ 25-27
·        แบบแปลนลานพลับพลา อพยพ บทที่ 27
·        การตั้งระบบปุโรหิต อพยพ บทที่ 28  วิธีการถวายสัตวบูชา อพยพ บทที่ 29

หีบพันธสัญญาของพระเจ้าในสมัยโมเสสได้ตกไปอยู่ในมือของฟิลิสเตีย และดาวิดได้ไปเชิญกลับมาที่เยรูซาเล็มใน 2 ซามูเอล บทที่ 6 ดาวิดเต้นโลดสรรเสริญพระเจ้าต่อหน้าพระพักตร์ มีความชื่นชมยินดีที่หีบพันธสัญญาได้กลับมาอยู่กับอิสราเอลอีกครั้ง ดาวิดได้สร้างพลับพลาเพื่อไว้หีบพันธสัญญา  ข้อ 17 เขาจึงเรียกกันว่า พลับพลาของดาวิด  ต่อมาในบทที่ 7 ดาวิดคิดว่าจะสร้างวิหารให้พระเจ้า  แต่พระเจ้าไม่อนุญาตและจะให้ผู้ที่เกิดมาจากดาวิดคือโซโลมอนเป็นผู้สร้างแทน 

                สำหรับพลับพลาที่ดาวิดได้จัดไว้ให้หีบพันธสัญญาของพระเจ้าอยู่นั้น ดาวิดได้แต่งตั้งให้ มีนักร้องเพลงเผยพระวจนะจำนวน 288 คน (1พงศาวดาร 25:7) และ นักดนตรี 4,000 คน ( 1พงศาวดาร 23:5   สี่พันคนเป็นนายประตู  และอีกสี่พันคนจะถวายสรรเสริญแก่พระเจ้าด้วยเครื่องดนตรี  ซึ่งเราได้สร้างไว้ให้ใช้สรรเสริญ" ) ที่ทำการปรนนิบัติหน้าพระพักตร์  อธิษฐานวิงวอน ขอบพระคุณ สรรเสริญพระเจ้า  ทั้งกลางวันกลางคืน
พลับพลาของดาวิด เต็นท์ หรือ พลับพลา ได้จัดตั้งขึ้น โดยกษัตริย์ดาวิด เป็นที่ตั้งของหีบพระสัญญาของพระเจ้า ในกรุงเยรูซาเล็ม
1 พงศาวดาร 13, 15, 16:1  ให้คนเลวีปรนนิบัติทั้งกลางวันกลางคืน ต่อหน้าหีบพระโอวาดนั้น  
1 พงศาวดาร 15:2  คนเลวีปรนนิบัติด้วยดนตรีต่อหน้าหีบนั้น ภายใต้การนำของดาวิด   กาด และ นาธาน
1 พงศาวดาร 6:31-32, 2 พงศาวดาร 29:25   คนเลวีหัวหน้านักดนตรี ได้รับการแต่งตั้งให้ปรนนิบัติหน้าหีบพระสัญญา    
1 พงศาวดาร15:28 เครื่องดนตรี ในพลับพลาของดาวิด เช่น พิณใหญ่และพิณเขาคู่   ฉาบ แตร  
1 พงศาวดาร 16:4  คนเลวีได้รับการแต่งตั้ง ที่จะ อธิษฐานวิงวอน  ขอบพระคุณ  
1 พงศาวดาร 17 เมื่อนมัสการสรรเสริญ ชัยชนะของกองทัพก็เป็นผลมาจาก พลับพลาของดาวิด 
 2 พงศาวดาร 5: 12-14 , 2 พงศาวดาร 5:13, 7:3  การร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าในพระวิหารสมัยซาโลมอน เมื่อวิหารสร้างเสร็จแล้ว 

                ถึงแม้ว่าพลับพลาจะถูกแทนที่ด้วยพระวิหาร แต่การจัดการนมัสการแบบดาวิดก็ยังคงมีเรื่อยมา  กษัตริย์โซโลมอนได้นำการนมัสการเข้ามาในพระวิหารให้เหมือนกับพลับพลาของดาวิด  ในพระคัมภีร์ 2 พงศาวดาร จะเห็นชัยชนะเสมอๆ เมื่อมีการจัดตั้งกองทัพนมัสการแบบดาวิด
                ปัจจุบันก็เช่นกัน  การนมัสการตามแบบอย่างพลับพลาของดาวิด นำมาซึ่งชัยชนะ  ในชีวิตเรา ในครอบครัวเรา ในบ้านเรา ในคริสตจักรของเรา

                แต่สำหรับพระวิหารที่เต็มไปด้วยธรรมเนียม กฎระเบียบต่างๆ แตกต่างจากสมัยกษัตริย์โซโลมอนที่ตามแบบอย่างพระบิดาของพระองค์คือกษัตริย์ดาวิด   พลับพลาของดาวิดแตกต่างจากพระนิเวศน์ในพระวิหาร พระวิหารมีกฏระเบียบ แต่พลับพลาของดาวิดไม่มีม่านขวางกั้น คนต่างชาติคือพวกเราสามารถเข้ามาหาพระเจ้าได้
มาจากพระคัมภีร์เดิม
อาโมส 9:11-12
11 "ในวันนั้น เราจะยก กระท่อมของดาวิดที่ล้มลงแล้วนั้นตั้งขึ้นใหม่ และซ่อมช่องชำรุดต่างๆ เสีย และยกที่สลักหักพังขึ้น และสร้างเสียใหม่อย่างในสมัยโบราณกาล
12 เพื่อเขาจะได้ยึดกรรมสิทธิ์คนที่เหลืออยู่ของเอโดม และประชาชาติทั้งสิ้นซึ่งเขาเรียกด้วยนามของเรา"พระเจ้าผู้ทรงกระทำเช่นนี้ตรัสดังนี้แหละ
นี่เป็นเรื่องคนต่างชาติที่มาเชื่อพระเจ้า  จากกิจการ 15 เปโตรได้อธิบายว่าไม่ควรวางแอกหรือภาระไว้กันคนต่างชาติไม่ให้เข้ามาหาพระเจ้า เช่น วางแอกเรื่องพิธีเข้าสุหนัต เป็นต้น  ในเมื่อพระเจ้าก็ได้ให้บังเกิดการอัศจรรย์แก่คนต่างชาติ เช่นเดียวกับคนอิสราเอล  ความรอดก็รอดเหมือนกัน   อัครทูตได้อ้างจากพระธรรมอาโมส ในกิจการ15:16   เรื่องการตั้งพลับพลาของดาวิดนั้น       อัครทูตได้อธิบายต่อในข้อที่ 17 ว่า เพื่อเขาทั้งหลายจะได้แสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า   และอย่าให้มีสิ่งใดกีดขวางคนต่างชาติไม่ให้เข้ามาหาพระเจ้า  ยกเว้น 4 เรื่องนี้  ให้งดเว้นเสียจากสิ่งที่มลทินเนื่องด้วยรูปเคารพ จากการล่วงประเวณี จากการรับประทานเนื้อสัตว์ที่รัดคอตาย และจากการรับประทานเลือด   ซึ่ง 4 เรื่องนี้ มาจาก อพย.20:3   ปฐก.9:4  ลวน.17:14  เป็นต้น
เมื่อทุกเมืองมีคนประกาศเรื่องโมเสสและอ่านธรรมบัญญัติในธรรมศาลาทุกวัน ว่าต้องเข้าสุหนัต และรักษาธรรมบัญญัติ นี่เป็นสิ่งที่คนยิวสร้างให้เกิดภาระแก่คนต่างชาติ  พวกอัครทูตจึงจำต้องแก้ไขสิ่งที่สิ่งกีดขวางไม่ให้คนต่างชาติมาหาพระเจ้า   นี่เป็นที่มาที่กิจการได้พูดถึงพลับพลาดาวิด

คิดว่าสิ่งที่ได้พูดกันในสมัยปัจจุบัน ก็คงเพื่อชี้ให้เห็นจากพระคัมภีร์ว่า  การนมัสการที่มีเสรีภาพ ไม่มีรูปแบบ ประเพณี หรือสิ่งต่างๆที่คริสตจักรได้สร้างขึ้นมาเอง เป็นสิ่งขวางกั้นการที่เราจะเข้ามาแสวงหาพระเจ้า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราได้เห็นมาตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิมแล้ว ในสมัยของกษัตริย์ดาวิด   และพระเจ้าได้วางรูปแบบการนมัสการแบบนี้ไว้แล้ว แม้แต่กับคนต่างชาติ  และคำพยากรณ์นี้ยังกล่าวถึงเหตุการณ์ที่การนมัสการแบบนี้ที่ได้พังทลายลงเสีย ในเวลาต่อมาจะได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

C) Experience : การประกาศที่หมู่บ้านชนเผ่า

         มีเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้ ผมต้องเดินทางไปประกาศที่หมู่บ้านชนเผ่าหมู่บ้านหนึ่ง ทำให้ไม่มีเวลาเอาบทความที่เขียนประจำวันเสาร์ลง  วันนี้หลังจากกลับมาแล้ว ถึงได้เอาลง  และจะถือโอกาสนี้ขอบพระคุณพระเจ้าด้วยสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้น้องๆชนเผ่าที่ไปด้วยกัน ร่วมทั้งพี่น้องที่หมู่บ้าน ได้รับการดลจิตดลใจและรับการฟื้นฟูใจจากพระเจ้า   ก่อนผมจะไป ผมได้อธิษฐานอย่างมาก รวมทั้งได้ฝากให้ผู้ที่มีภาระใจอธิษฐานวิงวอนได้อธิษฐานเผื่องานประกาศนี้ด้วย  เพราะรู้ว่าการไปประกาศกับหมู่บ้านในชนบทนั้น ผีเยอะ  เมื่อถึงวันประกาศวันเสาร์ การประกาศก็เสร็จสิ้นลงและผ่านไปด้วยดี  แต่พอถึงการนมัสการวันอาทิตย์ เมื่อผมขึ้นไปเทศนา เทศน์ไปได้ช่วงแรกๆ ก็รู้สึกว่ากำลังภายในไม่มี ไม่มีแรงพูด  แล้วความรู้สึกผมก็ดับลง  ลืมตาขึ้นมาอีกที ก็นั่งอยู่ที่พื้นและคนก็มาห้อมล้อม อธิษฐานเผื่อผมกันใหญ่  ประโยคแรกที่จิตวิญญาณผมพูดออกมาคือ ฮาเลลูยา!  แล้วพวกเขาก็ประคองผมไปนั่ง  สรุปความว่า  เขาเห็นผมเทศน์ๆไป แล้วก็เห็นผมหลับตา แล้วก็หงายหลังหมดสติไปบนพื้น เมื่อพวกเขาวิ่งเข้าไปห้อมล้อมผม อธิษฐานเผื่อผม บางคนเห็นในนิมิตว่ากำลังเรียวแรงผมไหลออกไปจากร่างกาย  บางคนเห็นผีมารหน้าดำตัวลายวิ่งหนีออกไป  บางคนเห็นทูตสวรรค์ลงมาสี่ตน  บางคนเห็นไฟของพระเจ้าไหลวนอยู่แถบที่ผมยืนอยู่และแพร่กระจายออกไป บางคนสัมผัสได้ว่าพระเจ้ารักผมมาก  ฯลฯ  ผมก็บอกให้ที่ประชุมอธิษฐาน ภรรยาผมก็ขึ้นไปนำอธิษฐานร่วมกับทีมงานชนเผ่าที่ไปด้วยกัน การปรากฎว่าเกิดการฟื้นฟูในวิญญาณจิตของพี่น้องที่ประสบเหตุการณ์นี้ทั้งพี่น้องชนเผ่าจากกรุงเทพฯ และพี่น้องชนเ่ผ่าในท้องที่  เขาไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้  ผมเองก็ไม่เคยเจอครับ เชื่อพระเจ้ามา 27 ปี ยังไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลย   ผมบอกที่ประชุมว่า ผมจะไม่ซ่อนตัวอีกต่อไป (ผู้เผยฯเห็นในนิมิตก่อนหน้านี้ว่าผมซ่อนตัวอยู่)  เมื่อผีมารเล่นงานผมแบบนี้ ผมก็จะทำสงครามกับมันในพระนามพระเยซู  แล้วที่ประชุมก็อธิษฐานกันใหญ่  ฟื้นฟูอย่างมาก  ขอบคุณพระเจ้า  ขอฝากชีวิตผมไว้ในคำอธิษฐานของท่านทั้งหลายด้วยนะครับ  ขอบคุณมากครับ

A) Word of God : เปรียบเทียบคำสอนดร.โรเบิร์ต กับสิ่งที่คริสตจักรควรเป็น


ผมได้ดูคำสอนของดร.โรเบิร์ตซึ่งอัดไว้เมื่อปี 2008 เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์  จึงสรุปมาให้ท่านได้รับทราบด้วย ซึ่งในตอนท้ายผมจะสรุปว่า คริสตจักรเราเป็นหรือไม่เป็นแบบที่ดร.โรเบิร์ตได้สอนไว้

คำสอนนี้สอนโดย ดร.โรเบิร์ต ไฮด์เลอร์ ซึ่งเป็นผู้นำร่วมใน Glory of Zion church ในด้านของประทานอาจารย์ ร่วมกับอัครทูตชัคเพียซ  ท่านได้เล่าให้ฟังเกี่ยวกับตำนานของถุงหนัง  คริสตจักรแบบอัครทูตและคริสตจักรแบบศิษยาภิบาล

·        ท่านเล่าว่าคริสตจักรในคศ. 325 เริ่มเข้าสู่ความตาย (ความตายคืออะไร เดี๋ยวท่านจะแบ่งปันต่อไป) และพอคศ.500 ก็เข้าสู่ยุคมืด  หนึ่งพันปี   ถึงปีคศ. 1500 พระวิญญาณจึงเริ่มเคลื่อนไหวในโลกนี้
·        ท่านสอนว่า เราจะเข้าใจงานที่พระเจ้าทำในโลกนี้  ต้องเข้าใจประวัติศาสตร์       คริสตจักรสมัยแรกเติบโตอย่างรวดเร็วในวันเพนเตคอส
·        ใน 1 ปี มีสมาชิกเพิ่มมากขึ้นถึง หนึ่งหมื่นคน ในเยรูซาเล็ม   การเจริญเติบโตเกิดขึ้นในทุกที่ที่ตั้งคริสตจักร กจ.19 บุกเบิกคริสตจักรในเอเฟซัส  2 ปี  ทั่วทั้งเมืองนั้นได้ยินข่าวประเสริฐ    คริสตจักรเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จนมีผลกระทบกับคนที่ทำกิจการรูปไดอานา (ภาษาอังกฤษ)  คนมาเชื่อ จนมีผลกระทบ
·        คศ. 112  มีเสียงบ่นว่า  คริสเตียนเต็มไปหมด  วัดวาอารามร้าง
·        คริสตจักรในยุคแรกไม่เหมือนคริสตจักรใดในยุคนี้  เพราะคริสตจักรในยุคแรกไม่มีโบสถ์  ไม่มีธรรมมาสถ์ ไม่มีหนังสือเพลง  ไม่มีใครผูกเนคไท  ไม่มีเอกสารพิมพ์  ฯลฯ
·        คริสตจักรในยุคแรก เป็นคริสตจักรที่เต็มด้วยความยินดี  พบกันตามบ้าน ตามเฉลียงพระวิหาร  เต้นโลดสรรเสริญพระเจ้า  พระสิริพระเจ้าอยู่ท่ามกลางเขา   การอัศจรรย์อยู่ท่ามกลางเขา  คริสตจักรที่เต็มไปด้วยความรัก เช่น เป็นอาหารมื้อแห่งความรัก
·        นี่คือคริสตจักรที่คว่ำโลกในยุคนั้น

·        เมื่อครบศตวรรษแรก คริสตจักรได้แผ่ไปทั่วโลกที่รู้จักในสมัยนั้น   กจ.บทที่ 5 พวกปุโรหิตก็บ่นว่า พวกคริสเตียน
·        กจ. 17 บอกว่าคนคว่ำโลก เข้ามาในเมืองนี้แล้ว

·        ในที่สุดคริสตจักรมีอิทธิพลชนะเหนือโรมัน   แต่ คศ.  325 คริสตจักรเริ่มตกต่ำและคศ. 500 สูญพันธุ์
·        จักรพรรดิ์คอนสแตนติน ครองราชญ์ในปีคศ.312  และบอกว่าพระองค์เป็นคริสเตียน  และไม่ให้มีการข่มเหงคริสเตียน  แต่คอนสแตนติน  ควบคุมคริสตจักร และตั้งตัวเป็นมหาปุโรหิตของคริสตจักร  ปีคศ. 325 ก็เรียกคริสเตียนประชุม เป็นครั้งแรก เรียกว่า การประชุมสภาไนเซีย    การเปลี่ยนแปลงที่คอนสแตนตินได้สร้างขึ้นมา เช่น  คริสตจักรตามบ้านผิดกฏหมาย   ต้องมาประชุมในโบสถ์ , การนมัสการต้องเปลี่ยนจากความชื่นชมยินดี เฉลิมฉลอง มาเป็น การนมัสการแบบเงียบๆ ศักดิ์สิทธิ์  เต็มไปด้วยพิธีกรรมทางศาสนา  คริสเตียนธรรมดาห้ามมีส่วน ในการขับผี วางมือ ฯลฯ  มีการสร้างกลุ่มนักบวชขึ้นมา หรือบรรพชิต ขึ้นมา   และตัดคริสตจักรออกจากการเชื่อมโยงกับยิว ไปสู่การเชื่อมโยงกับพวกเพแกน(พวกที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า)    พระวิญญาณก็ออกจากคริสตจักรไป 1000 ปี   ในศต.14 พระเจ้าเริ่มเคลื่อนไหวในคริสตจักร  ศต.16 เริ่มปฏิรูปคริสตจักร  17 ปฏิรูป  18 กลับคืนสู่สภาพที่ดี  19 ฤทธิ์เดชกลับสู่คริสตจักร

·        ยุคนี้เป็นยุคที่น่าตื่นเต้นที่สุดในประวัติศาสตร์  พระเจ้ากำลังเตรียมคริสตจักรของพระองค์กลับไปสู่สภาพเดิม  เป็นถุงหนังใหม่
·        พระเจ้าอยากเทน้ำองุ่นใหม่  แต่พระเจ้าต้องการถุงหนังใหม่    ถุงหนังใหม่มีความเหนียวและยืดหยุ่น  สามารถรองรับน้ำองุ่นใหม่ได้  พระเยซูจะไม่เทเหล้าองุ่นใหม่ลงไปในถุงหนังเก่า  ซึ่งถุงหนังนั้นคือคริสตจักร

·        พระเจ้าจะสร้างถุงหนังอย่างไร  ในอฟ.4  พระเจ้าให้มีคน 5 ประเภท   เป็นองค์ประกอบในถุงหนังใหม่
·        ทั้ง 5 ทำงานประสานกัน
·        ผู้ประกาศ  นำคนมาหาพระเจ้าด้วยหมายสำคัญ  ชื่นชมยินดีในคนใหม่ และไปหาคนใหม่
·        ศิษยาภิบาล   ทำหน้าที่สำหรับคนที่ต้องการคนดูแล  ปกป้อง เอาใจใส่   (ปัญหาคือคนเป็นทารกยาวนาน)
·        ผู้เผยพระวจนะ   ให้นิมิตและทิศทางของผู้เชื่อในอนาคต จากพระเจ้า ให้มีความเชื่อเคลื่อนไปข้างหน้า  แต่เขาไม่รู้ว่าจะเคลื่อนไปอย่างไร
·        อาจารย์    เข้ามาในบทบาทนี้เพื่อสอนและฝึกอบรม   อธิบายความจริงให้เข้าใจ ให้รู้ว่าจะเคลื่อนไปอย่างไร
·        อัครทูต   เข้ามาจัดระเบียบและส่งคนออกไป    อัครทูตเห็นทั้งกระบวนการตั้งแต่เชื่อใหม่และพัฒนามาเรื่อย และส่งเขาออกไปในการรับใช้

·        เมื่อเขาสะดุดล้มลง  ศิษยาภิบาล ก็เข้าไปอุ้มเขาขึ้นมา หนุนใจว่าคุณจะทำได้ดีในครั้งต่อไป  เสริมกำลังเขา
·        ผู้เผยพระวจนะ  ก็เข้ามาบอกว่าคุณยังมีการทรงเรียก  สมาชิกคนนั้นก็เริ่มมีความเชื่อที่จะก้าวไป
·        ครูก็เข้ามา อธิบายว่าในอดีตผิดพลาดอย่างไร
·        และในที่สุดอัครทูตก็เข้ามา   ส่งเขาออกไปลองใหม่

·        โดยขบวนการเหล่านี้ คริสเตียนก็โตขึ้น

·        ทั้ง 5 ทำงานด้วยกัน ก็จะทำให้ถุงหนังใหม่ครบถ้วน

·        มีประสบการณ์ในความไพบูลย์ของพระเยซูคริสต์

·        ความบริบูรณ์ของพระเยซูคือเหล้าองุ่นที่เทเข้ามาในคริสตจักร


·        คริสตจักรในสหรัฐ  มีฆราวาส มาคริสตจักรทุกอาทิตย์  ไม่ได้ถูกฝึกสอนให้รับใช้
·        แล้วก็มีศิษยาภิบาลเป็นผู้รับใช้ในคริสตจักร   นั่นเป็น  คริสตจักรแบบศิษยาภิบาล  pastoral model church  นี่เป็นคริสตจักรที่เรารู้จักทั่วไป
·        คนเข้ามาจะถามว่าใครเป็นศิษยาภิบาล  แต่ไม่สามารถฟอร์มเป็นถุงหนังใหม่ได้  คริสตจักรในสหรัฐเป็นถุงหนังเก่า
·        สหรัฐเป็นถุงหนังการประกาศที่ใหญ่ที่สุดในโลก 190 ล้านคน  มีเพียง จีน อินเดีย และอินโดนีเซีย ที่มีจำนวนมากกว่า
·        ถุงหนังเก่าไม่ได้ผลอีกต่อไปในสหรัฐ

·        เขากำลังเข้าสู่ยุคอัครทูตยุคที่สอง   การปกครองโดยอัครทูตและของประทานทั้งห้า

·        เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะเอาคำสอนใส่เข้าไปในโครงสร้างเดิม  

·        Pastoral church เป็นรูปแบบหนึ่ง  แตกต่างจาก Apostolic church
·        เอารูปแบบศิษยาภิบาล เข้าไปในรูปแบบอัครทูต  มันจะไม่เข้ากัน

·        คริสตจักรที่มีรูปแบบแบบศิษยาภิบาล  จะแก้ไขปัญหาสมาชิก   สมาชิกเป็นฆราวาสเท่านั้น
·        คริสตจักรที่มีรูปแบบแบบอัครทูต จะนำโดยนิมิต  ให้สมาชิกตระหนักถึงการทรงเรียกในชีวิตเขา  ถ้าเราไม่ได้ทำตามการทรงเรียก จะไม่มีวันอิ่มใจ    ทำให้สมาชิกรู้ว่าเขาคือผู้รับใช้พระเจ้า 

นั่นคือทั้งหมดที่ผมสรุปโดยย่อๆที่ท่านได้สอนครับ  ที่นี่ผมก็เอารูปแบบที่เราเป็นในคริสตจักรของเรามาเปรียบเทียบดู แล้วก็ได้ข้อสรุปว่า  เราเป็นคริสตจักรแบบอัครทูต  คริสตจักรของเราถูกสร้างในรูปแบบอัครทูตมานานแล้ว
1.        คริสตจักรที่ทุกคนมีส่วนร่วม  ทุกคนเป็นผู้รับใช้
2.        คริสตจักรที่มีนิมิต  นิมิตเป็นตัวขับเคลื่อนคริสตจักร
3.        คริสตจักรที่ทุกคนรับใช้ตามของประทาน
4.        คริสตจักรแห่งการประกาศและพันธกิจ
5.        คริสตจักรแห่งการสามัคคีธรรม แบบคริสตจักรสมัยแรก
6.        คริสตจักรแห่งการสร้างผู้นำ
7.        คริสตจักรแห่งการอธิษฐานและนมัสการ
8.        คริสตจักรแห่งพระวิญญาณ  เปิดโอกาสให้พระวิญญาณเคลื่อนไหวในคริสตจักรได้
9.        คริสตจักรแห่งการสอนพระวจนะ
9 ข้อนี้ มีอยู่ในคำสอนของคริสตจักรของเราอยู่แล้ว และเราก็เป็นดังนั้น เราจะต้องรักษาไว้ และทำให้บริบูรณ์ขึ้น ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย  แต่สำหรับข้อที่ 10 เป็นต้นไป นั่นเป็นสิ่งใหม่ ที่กำลังเกิดขึ้นในคริสตจักรของเรา
10.     คริสตจักรที่เชื่อมต่อกับอิสราเอล  ไม่ตัดขาดแบบสมัยแรกที่คอนสแตนตินได้ทำให้คริสตจักรถูกตัดขาดออกจากอิสราเอล         ซึ่งสิ่งนี้ เชื่อว่าเรากำลังรื้อฟื้นอยู่  เราเห็นความสำคัญของแผ่นดินอิสราเอลที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้  เราอธิษฐานเผื่อ เราเริ่มจับมือร่วมโครงการต่างๆกับอิสราเอล  ฯลฯ
11.     คริสตจักรที่รับใช้ด้วยของประทานทั้ง 5      ผู้ประกาศ ศิษยาภิบาล ผู้เผยพระวจนะ อาจารย์ อัครทูต   สิ่งนี้เรายังไม่ได้เป็น แต่เรามีแนวคิดแบบนี้และเรากำลังมุ่งไปสู่จุดนั้น
12.     คริสตจักรที่ร่วมรับใช้ด้วยกันในพระวรกาย  แม้ว่าจะมาจากต่างคริสตจักร   นั่นคือสิ่งที่เรากำลังทำอยู่   ทั้งในประเทศไทยไทยและในโลก
 
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับคำสอนนี้  หวังใจว่าท่านที่ได้อ่านบล็อกนี้จะทราบแล้วว่า คริสตจักรของเราเป็นอย่างไร และเรากำลังก้าวไปสู่ทิศไหน   พบกันใหม่ครั้งหน้าครับ  ชาโลม!