Great Tribulation และการสรุปความคิดทั้งหมด
มีอีกเรื่องหนึ่งครับคือเรื่องความทุกข์เวทนาหรือGreat tribulationเริ่มตอนไหน สรุปว่า เริ่มตอนที่พระวิหารหลังที่ 3 สร้างเสร็จแล้ว และเวลาในสัปตะสุดท้าย สัปตะที่ 70 หรือสัปดาห์ที่ 70 ได้เริ่มต้นนับ Great tribulation ก็เป็นช่วงสัปตะสุดท้ายนั่นเอง
ในภาษากรีกใช้คำนี้ครับ Tribulation หรือ thlipsis
G2347 θλίψις thlipsis (thlip'-sis) n.
1. pressure
{literally or figuratively}
[from G2346]
KJV: afflicted(-tion), anguish, burdened, persecution, tribulation, trouble
Root(s): G2346
[?]
มาดูพระคัมภีร์ข้อต่างๆที่พูดถึงGreat tribulationกันครับ
มัทธิว 24:21 ด้วยว่าในคราวนั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง อย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มโลกมาจนถึงทุกวันนี้ และในเบื้องหน้าจะไม่มีต่อไปอีก
วิวรณ์ 2:22 นี่แน่ะ เราจะโยนหญิงนั้นไว้บนเตียงคนไข้ และคนทั้งหลายที่ล่วงประเวณีกับนาง เราก็จะทิ้งไว้ให้ผจญกับความระทมทุกข์(Great Tribulation) เว้นไว้แต่ว่าคนเหล่านั้นจะสำนึกในความประพฤติชั่วของนาง (คจ.ที่เมืองธิยาทิรา)
นี่เป็นคำเตือนที่มีมาถึงคริสตจักรที่เมืองธิยาทิรา คริสเตียนที่ทำผิดบาปจะต้องเผชิญความระทมทุกข์ แสดงว่าคริสเตียนที่รักษาชีวิตอย่างดีไม่ต้องเผชิญหรืออย่างไร?
วิวรณ์ 7:14-17
14 ข้าพเจ้าตอบท่านว่า "ท่านเจ้าข้าท่านก็ทราบอยู่แล้ว" ท่านจึงบอกข้าพเจ้าว่า "คนเหล่านี้คือคนที่มาจากความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่ พวกเขาได้ชำระล้างเสื้อผ้าของเขาในพระโลหิตของพระเมษโปดก จนเสื้อผ้านั้นขาวสะอาด
15 เพราะเหตุนั้นเขาทั้งหลายจึงได้อยู่หน้าพระที่นั่งของพระเจ้า และปรนนิบัติพระองค์ในพระวิหารของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน และพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งจะทรงสถิตด้วย และปกป้องคุ้มครองเขา
16 พวกเขาจะไม่หิวกระหายอีกเลย แสงแดดและความร้อนจะไม่ส่องต้องเขาอีกต่อไป
17 เพราะว่าพระเมษโปดก ผู้ทรงอยู่กลางพระที่นั่งนั้นจะคุ้มครองดูแลเขา และจะทรงนำเขาไปให้ถึงน้ำพุแห่งชีวิต และพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเขาเหล่านั้น"
จากข้อนี้บอกว่าคริสเตียนต้องผ่านการผจญทุกข์เวทนา และนี่คือผลแห่งการผ่านช่วงทุกข์เวทนามาได้
มีอะไรเกิดขึ้นบ้างในช่วงทุกขเวทนาครั้งใหญ่ ข้าพเจ้าไม่ทราบ ทราบแต่ว่าทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
จะเป็นสิ่งต่างๆในคำพยากรณ์ได้ไหม ที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เช่น ที่เคยเขียนไว้แล้ว
1. คนมาอ้างนามว่าตัวเขาเป็นพระคริสต์
2. ข่าวลือเรื่องสงคราม
3. การต่อสู้กันระหว่างประชาชาติและราชอาณาจักร
4. การกันดารอาหารและแผ่นดินไหว
5. การอายัดกันและกัน
6. ประชาชาติเกลียดชัง
7. คนเป็นอันมากจะถดถอย
8. ผู้เผยพระวจนะปลอม ล่อลวงคนให้หลง
9. ความรักของคนส่วนมากจะเยือกเย็นลง
10. ความอธรรมแผ่กว้างออกไป
11. ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินพระเจ้าจะได้ประกาศออกไปทั่วโลก
12. เกิดสิ่งอันน่าสะอิดสะเอียนตั้งอยู่ในสถานที่บริสุทธิ์
13. เกิดความทุกข์ลำบากยิ่งใหญ่
14. มีพระคริสต์เทียมเท็จ ผู้ทำนายเทียมเท็จหลายคนเกิดขึ้น ทำหมายสำคัญการอัศจรรย์ ล่อลวงแม้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลง
15. เป็นเหมือนสมัยของโนอาห์
คำเผยพระวจนะ 15 อย่างนี้มาจากมัทธิวบทที่ 24
อื่นๆอีก เช่น ชนชาติอิสราเอลจะรวมตัวกันเป็นประเทศใหม่ , จะมีโรคระบาดและโรคร้ายที่รุนแรงเกิดขึ้นในโลก , ความรู้ของมนุษย์จะทวีมากขึ้น
มีที่เขียนเป็นความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ เช่น เรื่องโลกร้อน , เรื่องพายุสุริยะระดมถล่มโลก , เรื่องน้ำทะเลสูงขึ้นท่วมที่ดินชายฝั่งหายไป แผ่นที่โลกเปลี่ยน ที่อยู่อาศัยเปลี่ยน เพียงแต่ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ความรู้เท่านั้นแต่เกิดขึ้นจริง
นอกจากนั้นที่ผมเขียนไว้ในบล็อกไปแล้ว เช่น เรื่องปฏิปักษ์พระคริสต์มาทำการอัศจรรย์ต่างๆนานา , เรื่องสงครามโลกครั้งที่3 , เรื่องเลข666ที่จะบังคับให้อยู่ในร่างกายเรา ถ้าไม่มีก็ซื้อขายไม่ได้
สุดท้ายก็คงเป็นเรื่องการทำลายโลกธาตุนี้ด้วยไฟ หรือที่คาดเดาว่าเป็นอุกกาบาตพุ่งชนโลก
ถ้าดูจากทั้งหมดนี้ มีอะไรบ้างที่เป็นไปได้ ลองเลือกมาเรียงให้ดู ทั้งนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์ที่ยังไม่ได้เขียนที่นี่นะครับ
1. สงครามโลก ถ้ามีเกิดขึ้นครั้งนี้คงเป็นสงครามเทคโนโลยี สงครามชีวภาพ แบบที่เราไม่เคยเจอมาก่อน
2. การกันดารอาหารที่จะมีการทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะประชากรในโลกมากขึ้น แต่อาหารกลับน้อยลง เพราะเอามาทำเชื้อเพลิงส่วนหนึ่ง
3. แผ่นดินไหวที่จะยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก จากสภาวะเปลือกโลกที่ไม่คงตัว อันเนื่องมาจากปัจจัยภายในโลก และปัจจัยจากนอกโลก
4. มีโรคระบาดและโรคร้ายชนิดใหม่ๆรุนแรงมากขึ้นไปอีก
5. ความเป็นอยู่ในโลกจะยิ่งทวีความยากลำบากมากขึ้นในการดำรงชีวิต ทั้งจากภัยธรรมชาติ จากสิ่งที่มนุษย์กระทำให้เกิดขึ้นเอง ผู้คนอยู่ในโลกแออัดมากขึ้น การดำรงชีพยากมากขึ้น
6. คริสเตียนที่อยู่ในโลกจะลำบากมากขึ้นจากการถูกบังคับให้ประทับตรา 666
7. ฯลฯ จากสิ่งที่เราเห็นในพระคัมภีร์ แต่ดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องที่พระเจ้าทำในหนังสือวิวรณ์ เกี่ยวกับตรา แตร ขัน ซึ่งน่าจะเกี่ยวกับคนที่ไม่เชื่อที่เหลืออยู่ในโลกมากกว่า วิวรณ์ 6:16-17 วิวรณ์ 7:3 บอกเราว่าอย่าทำอันตรายแก่ต้นไม้ ฯลฯ จนกว่าจะได้ประทับตราไว้ที่หน้าผากผู้รับใช้เสียก่อน
ดังนั้น Great tribulation 7 ปีนั้น ข้าพเจ้าเชื่อว่าเกิดกับคริสเตียนด้วยสามปีครึ่งแรก และที่เหลืออีกสามปีครึ่งหลังเกิดกับประชากรในโลกที่เหลือจากการถูกรับขึ้น ดังที่พระคัมภีร์กล่าวถึง ตรา แตร ขัน ในหนังสือวิวรณ์
หรือว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงสามปีครึ่งแรก เพราะวิวรณ์ 9:4 บอกไม่ให้ทำอันตรายแก่คนของพระเจ้าที่ประทับตราไว้ แต่ว่า วิวรณ์ 9:20-21 บอกว่าคนเหล่านี้แม้เจอภัยพิบัติแต่ไม่ยอมกลับใจใหม่ ทำให้เห็นภาพเหมือนกับว่าไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่คอยดลใจคนให้กลับใจใหม่อยู่ในโลกแล้ว ก็น่าจะเป็นช่วงสามปีครึ่งหลังมากกว่า แต่ว่าก็ยังมีผู้เชื่อเหลืออยู่ด้วยในโลกนี้ซึ่งไม่ได้ถูกรับไป
ที่ยังไม่ได้เขียนเช่นลูกเห็บหนัก 50 กิโลกรัม ตกลงมาจากฟ้า วิวรณ์ 16:21 แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทำ
มัทธิว 24:21-22
21 ด้วยว่าในคราวนั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง อย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มโลกมาจนถึงทุกวันนี้ และในเบื้องหน้าจะไม่มีต่อไปอีก
22 ถ้ามิได้ทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า จะไม่มีมนุษย์รอดได้เลย แต่เพราะทรงเห็นแก่ผู้เลือกสรร จึงทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า
ผู้เชื่อจะต้องผ่านช่วงนี้ไปให้ได้ ข้อ 22 บอก เพราะเห็นแก่ผู้เลือกสรร แสดงว่าเราต้องผ่านช่วงทุกข์เวทนาแน่ แต่ผ่านในช่วงสามปีครึ่งแรก (ให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้าแทนที่จะเป็น 7 ปี) เพราะพยานสองคนนั้นก็จะเป็นพยานสามปีครึ่งเหมือนกัน ซึ่งคงอยู่ในช่วงแรกแล้วก็ฟื้นขึ้นมาและถูกรับไป
วิวรณ์ 11
1 ท่านผู้หนึ่งจึงเอาไม้อ้อท่อนหนึ่งให้ข้าพเจ้ารูปร่างเหมือนไม้วัด แล้วสั่งข้าพเจ้าว่า "จงลุกขึ้นไปวัดพระวิหารของพระเจ้า และแท่นบูชาและคำนวณคนทั้งหลายซึ่งนมัสการในนั้น
2 แต่ไม่ต้องวัดลานชั้นนอกพระวิหารนั้น เพราะว่าที่นั่นได้มอบให้แก่คนต่างชาติแล้ว และเขาจะเหยียบย่ำวิสุทธนคร ตลอดสี่สิบสองเดือน
3 และเราจะให้ฤทธิ์อำนาจแก่พยานทั้งสองของเรา เพื่อให้เผยพระวจนะตลอดพันสองร้อยหกสิบวัน และให้เขาแต่งตัวด้วยผ้ากระสอบ
4 พยานทั้งสองนั้นคือต้นมะกอกเทศสองต้น และคันประทีปสองคันที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าพระเจ้าผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งแผ่นดินโลก
5 ถ้าผู้ใดทำร้ายพยานทั้งสองนั้น ไฟก็จะพลุ่งออกจากปากเผาผลาญศัตรูผู้นั้น ถ้าผู้ใดทำร้ายพยานทั้งสอง ผู้นั้นก็จะต้องตาย
6 พยานทั้งสองมีฤทธิ์ปิดท้องฟ้าได้ เพื่อไม่ให้ฝนตกในระหว่างวันเหล่านั้นที่เขากำลังเผยพระวจนะ และมีฤทธิ์ทำให้น้ำกลายเป็นเลือดได้ และมีฤทธิ์บันดาลให้ภัยพิบัติต่างๆกระหน่ำโลกกี่ครั้งก็ได้ตามความปรารถนา
7 และเมื่อเสร็จสิ้นการเป็นพยานแล้ว สัตว์ร้ายที่ขึ้นมาจากบาดาลก็จะสู้รบกับเขา จะชนะเขาและจะฆ่าเขาเสีย
8 และศพของเขาจะอยู่ที่ถนนในมหานครนั้น ซึ่งตามอุปมาเรียกว่าเมืองโสโดม และเมืองอียิปต์ อันเป็นเมืองซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาถูกตรึง
9 คนหลายชาติ หลายเผ่า หลายภาษา หลายประชาชาติ จะเพ่งดูศพเขาตลอดสามวันครึ่ง และจะไม่ยอมให้เอาศพนั้นใส่อุโมงค์เลย
10 คนทั้งหลายซึ่งอยู่ในแผ่นดินโลกจะยินดีเพราะเขาและจะสนุกสนานรื่นเริง จะให้ของขวัญแก่กัน เพราะว่าผู้เผยพระวจนะทั้งสองนี้ได้ทรมานคนเหล่านั้นที่อยู่ในโลก"
11 เมื่อเวลาผ่านไปสามวันครึ่งแล้ว ลมปราณจากพระเจ้าก็เข้าสู่ศพของเขาอีก และเขาก็ลุกขึ้นยืน คนทั้งหลายที่ได้เห็นเขาก็มีความหวาดกลัวเป็นอันมาก
12 คนทั้งหลายได้ยินพระสุรเสียงดังมาจากสวรรค์ ตรัสแก่เขาว่า "จงขึ้นมาที่นี่เถิด" และพวกศัตรูก็เห็นเขาขึ้นไปในหมู่เมฆสู่สวรรค์
13 และในเวลานั้นก็เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ และเมืองนั้นก็ถล่มลงเสียหนึ่งในสิบส่วน มีคนตายเพราะแผ่นดินไหวเจ็ดพันคน และคนที่เหลืออยู่นั้นมีความหวาดกลัวยิ่ง และได้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าแห่งสวรรค์
เป็นช่วงสามปีครึ่งแรกที่พวกเขาเป็นพยาน ช่วงนั้นพระวิหารสร้างเสร็จแล้ว และลานข้างนอกไม่ต้องวัดเพราะมอบให้แก่คนต่างชาติสามปีครึ่งแล้ว ช่วงสามปีครึ่งแรกนั้น (พันสองร้อยหกสิบวัน)เป็นช่วงที่พวกเขาทำให้เกิดภัยพิบัติต่างๆกระหน่ำโลก ผีมารซาตานทำ พยานสองคนของพระเจ้าก็ทำเช่นกัน
พยานสองคนนั้นเป็นใคร? บางทัศนะก็ว่าเป็นโมเสสกับเอลียาห์ บางทัศนะก็ว่าเป็นอิสราเอลและคริสตจักร
พยานสองคนที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์เดิม
เศคาริยาห์ 4
Zech 4:1 และทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้ามาอีก และปลุกข้าพเจ้าเหมือนคนที่เพิ่งตื่นจากการนอนของเขา
Zech 4:2 และท่านถามข้าพเจ้าว่า “เจ้าเห็นอะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นเชิงตะเกียงทำด้วยทองคำล้วนอันหนึ่งมีชามอยู่ที่ยอด และมีตะเกียงอยู่บนนั้นเจ็ดดวง และมีท่อเจ็ดท่อนำไปยังตะเกียง ซึ่งอยู่บนยอดนั้นดวงละท่อ
Zech 4:3 และมีต้นมะกอกเทศสองต้นอยู่ข้างๆ อยู่ข้างขวาชามนั้นต้นหนึ่ง อยู่ข้างซ้ายต้นหนึ่ง”
Zech 4:4 และข้าพเจ้าถามทูตสวรรค์ผู้ที่สนทนากับข้าพเจ้าว่า “เจ้านายเจ้าข้า นี่คืออะไร”
Zech 4:5 ทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้าตอบข้าพเจ้าว่า “นี่คืออะไรเจ้าไม่ทราบหรือ” ข้าพเจ้าตอบว่า “นายเจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่ทราบ”
Zech 4:6 แล้วท่านจึงตอบข้าพเจ้าว่า “นี่เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่ให้ไว้กับเศรุบบาเบลว่า มิใช่ด้วยกำลังมิใช่ด้วยฤทธานุภาพ แต่ด้วยวิญญาณของเรา พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
Zech 4:7 โอ ภูเขาใหญ่ เจ้าเป็นอะไรเล่า ต่อหน้าเศรุบบาเบล เจ้าจะเป็นที่ราบ และท่านจะนำศิลาก้อนที่อยู่ยอดออกมาท่ามกลางการโห่ร้องว่า “งามจริง พระวิหาร งามจริง”
Zech 4:8 ยิ่งกว่านั้นพระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้ากล่าวว่า
Zech 4:9 “มือของเศรุบบาเบลได้วางรากฐานของพระนิเวศนี้ และมือของเขาจะสร้างให้สำเร็จ” แล้วเจ้าจึงจะทราบว่า พระเจ้าจอมโยธาได้ใช้ข้าพเจ้ามาหาเจ้าทั้งหลาย
Zech 4:10 เพราะว่าผู้ใดที่ดูหมิ่นวันแห่งการเล็กน้อยเราจะเปรมปรีดิ์ และจะได้เห็นสายดิ่งที่อยู่ในมือของเศรุบบาเบล “ทั้งเจ็ดนี้คือบรรดาพระเนตรของพระเจ้าซึ่งมองอยู่ทั่วพิภพ”
Zech 4:11 แล้วข้าพเจ้าจึงถามท่านว่า “ต้นมะกอกเทศ สองต้นที่อยู่ข้างขวาและข้างซ้ายของเชิงตะเกียงนั้นคืออะไร”
Zech 4:12 และข้าพเจ้าถามท่านเป็นครั้งที่สองว่า “กิ่งทั้งสองของต้นมะกอกเทศ ซึ่งอยู่ข้างท่อทองคำทั้งสอง ซึ่งเทน้ำมันออกนั้นคืออะไร”
Zech 4:13 ท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า “เจ้าไม่ทราบหรือ เหล่านี้คืออะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “เจ้านายเจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่ทราบ”
Zech 4:14 แล้วท่านจึงกล่าวว่า “ทั้งสองนี้คือผู้ที่ได้รับการเจิมเป็นผู้ยืนอยู่ข้างพระเจ้าแห่งพิภพทั้งสิ้น”
ดังนั้นช่วง 7 ปีนั้น ซึ่งสำหรับเราคงเป็นสามปีครึ่งแรก เป็นช่วง Great tribulation พอพระวิญญาณบริสุทธิ์จากไป สามปีครึ่งหลังก็คงเป็นช่วงร่าเริงของปฏิปักษ์พระคริสต์ ผีมารซาตานอยู่กับสมุนของมัน ใครที่ได้ถูกรับไปก็เป็นสุข ใครที่ไม่ติดตามพระเจ้าจริงจัง เชื่อพระเจ้าด้วยปาก ในช่วงสามปีครึ่งหลังนี้ หากจะกลับใจใหม่ติดตามพระเจ้า หมายความถึงเขาต้องยอมสละชีวิตของตนเพื่อติดตามพระเจ้าในช่วงสามปีครึ่งหลังนี้ เพราะช่วงนั้นไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าที่คอยช่วยเหลือ คอยดลใจเรา คอยห้ามปรามทัดทานอำนาจมืด พอไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์คอยทัดทาน มันก็จะทำงานของมันอย่างเต็มที่ และในช่วงสามปีครึ่งหลังนี้ก็จะเป็นGreat tribulationสำหรับคนที่เหลืออยู่บนโลกด้วยซึ่งมีหลายสิ่งที่พระเจ้าทำให้เกิดขึ้นซึ่งกล่าวถึงในหนังสือวิวรณ์
ผู้ที่คอยหน่วงเหนี่ยว
2Thess 2:1 บัดนี้ พี่น้องทั้งหลาย เรื่องการซึ่งพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะเสด็จมา และที่พระองค์จะทรงรวบรวมเราทั้งหลายไปเป็นของพระองค์นั้น เราขอวิงวอนท่านว่า
2Thess 2:2 อย่าให้ใจของท่านหวั่นไหวง่าย หรือเป็นทุกข์ร้อนไป ไม่ว่าจะเป็นโดยทางวิญญาณ หรือโดยทางคำพูด หรือโดยทางจดหมายเป็นเชิงว่ามาจากเรา อ้างว่าวันของพระคริสต์มาถึงแล้ว
2Thess 2:3 อย่าให้ผู้หนึ่งผู้ใดล่อลวงท่านโดยทางหนึ่งทางใดเลย เพราะว่าวันนั้นจะไม่มาถึง เว้นแต่จะมีการล้มลงเสียก่อน และคนแห่งการบาปนั้นจะประจักษ์แจ้ง คือลูกแห่งความพินาศ
2Thess 2:4 ผู้กีดกั้นขัดขวางและยกตัวขึ้นต่อสู้อะไรๆที่ได้ชื่อว่าเป็นพระเจ้า หรืออะไรๆที่เขาไหว้นมัสการนั้น แล้วมันก็นั่งในพระวิหารของพระเจ้าเหมือนอย่างพระเจ้า ประกาศตัวว่าเป็นพระเจ้า
2Thess 2:5 ท่านทั้งหลายจำไม่ได้หรือว่าเมื่อข้าพเจ้ายังอยู่กับท่าน ข้าพเจ้าได้บอกเรื่องนี้ให้ท่านทราบแล้ว
2Thess 2:6 และท่านก็รู้จักผู้นั้นที่กำลังหน่วงเหนี่ยวมันไว้ในขณะนี้ เพื่อมันจะปรากฏออกมาได้ต่อเมื่อถึงเวลาของมัน
2Thess 2:7 เพราะว่าอำนาจลึกลับนอกกฎหมายนั้นก็เริ่มทำงานอยู่แล้ว เพียงแต่ผู้ที่คอยหน่วงเหนี่ยวเดี๋ยวนี้นั้นจะยังหน่วงเหนี่ยวอยู่ จนกว่าผู้ที่คอยหน่วงเหนี่ยวนั้นจะถูกพาออกไปเสีย
2Thess 2:8 ขณะนั้นคนนอกกฎหมายนั้นจะปรากฏตัวขึ้น และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงประหารมันด้วยลมพระโอษฐ์ของพระองค์ และจะทรงผลาญให้สูญไปด้วยการปรากฏแห่งการเสด็จมาของพระองค์
2Thess 2:9 คือผู้นั้นที่มาโดยการดลบันดาลของซาตาน พร้อมกับบรรดาการอิทธิฤทธิ์และหมายสำคัญ และการมหัศจรรย์แห่งความเท็จ
2Thess 2:10 และอุบายอธรรมทั้งหลายสำหรับคนเหล่านั้นที่พินาศอยู่ เพราะเขาทั้งหลายไม่ได้รับความรักแห่งความจริงไว้เพื่อจะรอดได้
2Thess 2:11 เพราะเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงให้ความลุ่มหลงมาครอบงำเขา ให้เขาเชื่อสิ่งที่เท็จ
2Thess 2:12 เพื่อคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อความจริง แต่ยินดีในการไม่ชอบธรรม จะได้ถูกลงพระอาชญาทุกคน
แสดงว่าพระวิญญาณจะอยู่และคอยหน่วงเหนี่ยวคนนอกกฏหมายไว้จนกว่าจะมีการสร้างพระวิหารเสร็จ มีช่วงเวลาแห่งสนธิสัญญาสันติภาพ 3ปีครึ่งแล้วมันก็หักพันธสัญญานั้น แล้วมันก็เข้าไปนั่งในพระวิหาร
พระเยซูคริสต์ก็กลับมาในเมฆมารับผู้เชื่อที่ล่วงหลับไปแล้วและผู้เชื่อที่ยังเป็นอยู่ไปพบกับพระองค์บนท้องฟ้า
1Thess 4:13 แต่พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านไม่ทราบถึงเรื่องคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่เป็นทุกข์โศกเศร้าอย่างคนอื่นๆที่ไม่มีความหวัง
1Thess 4:14 เพราะถ้าเราเชื่อว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ และทรงคืนพระชนม์แล้ว เช่นเดียวกันบรรดาคนที่ล่วงหลับไปในพระเยซูนั้น พระเจ้าจะทรงนำคนเหล่านั้นมากับพระองค์ด้วย
1Thess 4:15 ในข้อนี้เราขอบอกให้ท่านทราบตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า เราผู้ยังเป็นอยู่และเหลืออยู่จนถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะล่วงหน้าไปก่อนคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้วก็หามิได้
1Thess 4:16 ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเองจะเสด็จมาจากสวรรค์ ด้วยเสียงกู่ก้อง ด้วยสำเนียงของเทพบดี และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งปวงที่ตายแล้วในพระคริสต์จะเป็นขึ้นมาก่อน
1Thess 4:17 หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่และเหลืออยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น เพื่อจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละเราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์
1Thess 4:18 เหตุฉะนั้นจงปลอบใจกันและกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด
แล้วก็มีช่วงสุดท้ายก่อนเข้าสู่ยุคพันปีหลังสามปีครึ่ง ที่พระเยซูจะมายืนอยู่ที่ภูเขามะกอกเทศ เพื่อทำสงครามกับคนทั้งหลายที่มาต่อสู้พระองค์ และมาร ฯลฯ ก็ถูกขังไว้พันปี แสดงว่าพระเยซูมารับเราในช่วงสามปีครึ่งนั้นมาในเมฆ แล้วหลังจากนั้นพระเยซูมาที่ภูเขามะกอกเทศเพื่อทำสงครามครั้งสุดท้าย ก่อนโยนพวกผีมารซาตานเข้าไปในที่คุมขัง ขังไว้พันปี ซึ่งตรงนี้เดี๋ยวจะดูต่อไป พญามารอยู่ในเหวที่ไม่มีก้นเหว ส่วนสัตว์ร้ายและผู้พยากรณ์เท็จอยู่ในบึงไฟที่ไหม้ด้วยกำมะถัน
Zech 14:4 ในวันนั้นพระบาทของพระองค์จะยืนอยู่ที่ภูเขามะกอกเทศ ซึ่งอยู่หน้าเมืองเยรูซาเล็มด้านตะวันออก และภูเขามะกอกเทศนั้นจะแยกออกตรงกลางจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก โดยมีหุบเขากว้างมากคั่นอยู่ ภูเขาครึ่งหนึ่งจึงจะถอยไปทางเหนือ และอีกครึ่งหนึ่งจะถอยไปทางใต้
Zech 14:5 และท่านทั้งหลายจะหนีไปยังหุบเขาแห่งบรรดาภูเขา เพราะว่าหุบเขาแห่งบรรดาภูเขาจะมาจดอาซาลและท่านทั้งหลายจะต้องหนีไป อย่างที่หนีจากแผ่นดินไหวสมัยอุสซียาห์กษัตริย์ประเทศยูดาห์ แล้วพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าจะเสด็จมา และพวกวิสุทธิชนทั้งสิ้นจะมากับพระองค์
Zech 14:6 ต่อมาในวันนั้นแสงสว่างจะไม่แจ่มใสหรือจะไม่มืดมัว
Zech 14:7 แต่จะเป็นวันหนึ่งที่พระเยโฮวาห์ทรงทราบแล้ว ไม่ใช่วันหรือคืน แต่ต่อมาเวลาเย็นจะมีแสงสว่าง
Zech 14:8 ในวันนั้นน้ำแห่งชีวิตจะไหลออกจากเยรูซาเล็ม ครึ่งหนึ่งจะไหลไปสู่ทะเลด้านตะวันออก และครึ่งหนึ่งจะไหลไปสู่ทะเลด้านตะวันตก ในฤดูร้อนก็จะไหลเรื่อยไปดังในฤดูหนาว
Zech 14:9 และพระเยโฮวาห์จะทรงเป็นกษัตริย์เหนือพิภพทั้งสิ้น ในวันนั้นพระเยโฮวาห์จะทรงเป็นเอก และพระนามของพระองค์ก็เป็นเอก
Zech 14:10 แผ่นดินทั้งสิ้นจะกลายเป็นที่ราบจากเกบาถึงริมโมนใต้เยรูซาเล็ม แต่เยรูซาเล็มจะดำรงสูงเด่นอยู่ในที่ตั้งของเมืองนั้น จากประตูเบนยามินถึงสถานที่ที่เป็นประตูเก่า ถึงประตูมุมและจากหอคอยฮานันเอล ถึงบ่อย่ำองุ่นของกษัตริย์
Zech 14:11 และจะมีผู้คนอาศัยอยู่เพราะไม่มีการทำลายเสียสิ้นอีกแล้ว แต่เยรูซาเล็มจะอาศัยอยู่ได้อย่างปลอดภัย
Zech 14:12 ต่อไปนี้เป็นภัยพิบัติซึ่งพระเยโฮวาห์จะทรงใช้โจมตีบรรดาชนชาติทั้งหลายที่ทำสงครามกับเยรูซาเล็ม คือเนื้อของเขาจะเน่าไปเมื่อเขายังยืนอยู่ได้ ตาของเขาจะเน่าคาเบ้าตา และลิ้นของเขาจะเน่าคาปาก
Zech 14:13 ต่อมาในวันนั้นการสับสนอลหม่านอย่างใหญ่โตจากพระเยโฮวาห์จะอยู่ท่ามกลางเขาทั้งหลาย เพราะฉะนั้นคนหนึ่งจะจับกุมเพื่อนบ้านของตน และเขาจะยกมือขึ้นต่อสู้กันและกัน
Zech 14:14 แม้ว่ายูดาห์ก็จะต่อสู้กันที่เยรูซาเล็ม ทรัพย์สมบัติของประชาชาติทั้งสิ้นที่อยู่ล้อมรอบจะถูกเก็บ มีทองคำ เงิน และเสื้อผ้ามากมาย
Zech 14:15 และภัยพิบัติอย่างหนึ่งที่เหมือนภัยพิบัติอย่างนี้จะบังเกิดแก่ม้า ล่อ อูฐ ลา และไม่ว่าสัตว์ชนิดใดซึ่งมีอยู่ในเต็นท์เหล่านั้น
Zech 14:16 และอยู่มาบรรดาคนที่เหลืออยู่ในประชาชาติทั้งปวงซึ่งยกขึ้นมาสู้รบกับเยรูซาเล็ม จะขึ้นไปนมัสการกษัตริย์ปีแล้วปีเล่า คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา และจะถือเทศกาลอยู่เพิง
Zech 14:17 ถ้าครอบครัวใดในพื้นพิภพไม่ขึ้นไปยังเยรูซาเล็มเพื่อนมัสการกษัตริย์ คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา ฝนก็จะไม่ตกเหนือเขาเหล่านั้น
Zech 14:18 และถ้าครอบครัวแห่งอียิปต์ ซึ่งขาดฝนแล้ว ไม่ขึ้นไปปรากฏตัวที่นั่น ก็จะบังเกิดภัยพิบัติด้วย ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงใช้โจมตีประชาชาติอื่นๆซึ่งไม่ขึ้นไปถือเทศกาลอยู่เพิง
Zech 14:19 ที่กล่าวนี้จะเป็นการลงทัณฑ์อียิปต์และเป็นการลงทัณฑ์ประชาชาติทั้งสิ้น ซึ่งไม่ขึ้นไปถือเทศกาลอยู่เพิง
Zech 14:20 และในวันนั้นลูกพรวนที่ผูกม้าจะมีคำจารึกว่า "บริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์" และหม้อซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์จะเป็นเหมือนชามซึ่งอยู่หน้าแท่นบูชา
Zech 14:21 เออ และหม้อทุกลูกในเยรูซาเล็มและยูดาห์จะเป็นของบริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์จอมโยธา เพื่อว่าทุกคนที่มาถวายสัตวบูชาจะเอาหม้อไปบ้าง และจะต้มเนื้อในหม้อเหล่านั้น ในวันนั้นจะไม่มีคนคานาอันในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์จอมโยธาอีกต่อไป
อีกตอนหนึ่งที่พูดถึงการเสด็จกลับมาทำสงครามบนแผ่นดินโลกของพระเมษโปดก ซึ่งในที่นี่พระองค์มีนามว่า ”สัตย์ซื่อและสัตย์จริง” ตอนนี้พระเยซูมาด้วยฤทธานุภาพแล้ว ไม่ได้มาเหมือนสมัยแรกเป็นลูกแกะ พระนามพระองค์ก็เปลี่ยนไปเป็น “สัตย์ซื่อและสัตย์จริง”
Rev 19:11 แล้วข้าพเจ้าได้เห็นสวรรค์เปิดออก และดูเถิด มีม้าขาวตัวหนึ่ง พระองค์ผู้ทรงม้านั้นมีพระนามว่า "สัตย์ซื่อและสัตย์จริง" พระองค์ทรงพิพากษาและกระทำสงครามด้วยความชอบธรรม
Rev 19:12 พระเนตรของพระองค์ดุจเปลวไฟ และบนพระเศียรของพระองค์มีมงกุฎหลายอัน และพระองค์ทรงมีพระนามจารึกไว้ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้จักเลย นอกจากพระองค์เอง
Rev 19:13 พระองค์ทรงฉลองพระองค์ที่จุ่มเลือด และพระนามที่เรียกพระองค์นั้นคือ "พระวาทะของพระเจ้า"
Rev 19:14 เหล่าพลโยธาในสวรรค์สวมอาภรณ์ผ้าป่านเนื้อละเอียด ขาวและสะอาด ได้นั่งบนหลังม้าขาวตามเสด็จพระองค์ไป
Rev 19:15 มีพระแสงคมออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ เพื่อพระองค์จะได้ทรงฟันฟาดบรรดานานาประชาชาติด้วยพระแสงนั้น และพระองค์จะทรงครอบครองเขาด้วยคทาเหล็ก พระองค์จะทรงเหยียบบ่อย่ำองุ่นแห่งพระพิโรธอันเฉียบขาดของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด
Rev 19:16 พระองค์ทรงมีพระนามจารึกที่ฉลองพระองค์ และที่ต้นพระอูรุของพระองค์ว่า "พระมหากษัตริย์แห่งมหากษัตริย์ทั้งปวงและเจ้านายแห่งเจ้านายทั้งปวง"
Rev 19:17 แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งยืนอยู่บนดวงอาทิตย์ ท่านร้องประกาศแก่นกทั้งปวงที่บินอยู่ในท้องฟ้าด้วยเสียงอันดังว่า "จงมาประชุมกันในการเลี้ยงของพระเจ้ายิ่งใหญ่
Rev 19:18 เพื่อจะได้กินเนื้อกษัตริย์ เนื้อนายทหาร เนื้อคนมีบรรดาศักดิ์ เนื้อม้า และเนื้อคนที่นั่งบนม้า และเนื้อประชาชน ทั้งไทยและทาส ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย"
Rev 19:19 และข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายนั้น และบรรดากษัตริย์บนแผ่นดินโลก พร้อมทั้งพลรบของกษัตริย์เหล่านั้น มาประชุมกันจะทำสงครามกับพระองค์ผู้ทรงม้า และกับพลโยธาของพระองค์
Rev 19:20 สัตว์ร้ายนั้นถูกจับพร้อมด้วยผู้พยากรณ์เท็จ ที่ได้กระทำการอัศจรรย์ต่อหน้าสัตว์ร้ายนั้น และใช้การอัศจรรย์นั้นล่อลวงคนทั้งหลายที่ได้รับเครื่องหมายของสัตว์ร้ายนั้น และบูชารูปของมัน สัตว์ร้ายและผู้พยากรณ์เท็จถูกทิ้งทั้งเป็นลงในบึงไฟที่ไหม้ด้วยกำมะถัน
Rev 19:21 และคนที่เหลืออยู่นั้น ก็ถูกฆ่าด้วยพระแสงที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ผู้ทรงม้านั้นเสีย และนกทั้งปวงก็กินเนื้อของคนเหล่านั้นจนอิ่ม
การคุมขังพญามารไว้พันปี แล้วต้องถูกปล่อยออกมาเพื่อมาทำสงครามครั้งสุดท้าย มันไปล่อลวงคนจากทั่วโลก พันปีที่ไม่มีพญามารอยู่ ไม่มีความผิดบาป บัดนี้เจ้าผู้ก่อการได้ออกมาแล้ว มาล่อลวงคนทั้งหลายไปเป็นพวกของมัน จำนวนคนที่มาเข้าพวกมากมายดุจเม็ดทรายชายทะเล น่าสงสาร น่าเสียดายคนพวกนี้ที่ยอมให้ถูกล่อล่วงไปได้ ทั้งที่ได้ครอบครองร่วมกับพระเมษโปดก ได้อยู่ในสภาพที่ไม่มีบาป กลับยอมถูกล่อลวงไปทำกิจกรรมร่วมกับอำนาจความบาปอีก มันใช้กลเม็ดเดิมเหมือนในสมัยอาดัมกับฮาวา คือ ล่อลวง
สังเกตว่าสัตว์ร้ายพร้อมกับผู้พยากรณ์เท็จถูกทิ้งลงในบึงไฟที่ไหม้ด้วยกำมะถัน 19:20 ส่วนพญามารถูกทิ้งลงไปในเหวที่ไม่มีก้นเหวขังไว้พันปี เมื่อมันออกมาทำสงครามไฟจากสวรรค์ได้มาเผาทำลาย และมันถูกจับทิ้งในบึงไฟที่ไหม้ด้วยกำมะถันที่พวกสัตว์ร้ายและผู้พยากรณ์เท็จอยู่นั้น 20:10
Rev 20:1 แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ท่านถือลูกกุญแจของเหวที่ไม่มีก้นเหวนั้นและถือโซ่ใหญ่
Rev 20:2 และท่านได้จับพญานาค ซึ่งเป็นงูดึกดำบรรพ์ ผู้ซึ่งเป็นพญามารและซาตาน และล่ามมันไว้พันปี
Rev 20:3 แล้วทิ้งมันลงไปในเหวที่ไม่มีก้นเหวนั้น แล้วได้ลั่นกุญแจประทับตรา เพื่อไม่ให้มันล่อลวงบรรดาประชาชาติได้อีกต่อไป จนครบกำหนดพันปีแล้วหลังจากนั้นจะต้องปล่อยมันออกไปชั่วขณะหนึ่ง
Rev 20:4 ข้าพเจ้าได้เห็นบัลลังก์หลายบัลลังก์ และผู้ที่นั่งบนบัลลังก์นั้น ทรงมอบให้เป็นผู้ที่จะพิพากษา และข้าพเจ้ายังได้เห็นดวงวิญญาณของคนทั้งปวงที่ถูกตัดศีรษะ เพราะเป็นพยานของพระเยซู และเพราะพระวจนะของพระเจ้า และเป็นผู้ที่ไม่ได้บูชาสัตว์ร้ายนั้นหรือรูปของมัน และไม่ได้รับเครื่องหมายของมันไว้ที่หน้าผากหรือที่มือของเขา คนเหล่านั้นกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ และได้ครอบครองร่วมกับพระคริสต์เป็นเวลาพันปี
Rev 20:5 แต่คนอื่นๆที่ตายแล้วไม่ได้กลับมีชีวิตอีกจนกว่าจะครบกำหนดพันปี นี่แหละคือการฟื้นจากความตายครั้งแรก
Rev 20:6 ผู้ใดที่ได้มีส่วนในการฟื้นจากความตายครั้งแรกก็เป็นสุขและบริสุทธิ์ ความตายครั้งที่สองจะไม่มีอำนาจเหนือคนเหล่านั้น แต่เขาจะเป็นปุโรหิตของพระเจ้าและของพระคริสต์ และจะครอบครองร่วมกับพระองค์ตลอดเวลาพันปี
Rev 20:7 ครั้นพันปีล่วงไปแล้ว ก็จะปล่อยซาตานออกจากคุกที่ขังมันไว้
Rev 20:8 และมันจะออกไปล่อลวงบรรดาประชาชาติทั้งสี่ทิศของแผ่นดินโลก คือโกกและมาโกก ให้คนมาชุมนุมกันทำศึกสงคราม จำนวนคนเหล่านั้นมากมายดุจเม็ดทรายที่ทะเล
Rev 20:9 และคนเหล่านั้นยกขบวนออกไปทั่วแผ่นดินโลก และล้อมกองทัพของพวกวิสุทธิชน และเมืองอันเป็นที่รักนั้นไว้ แต่ไฟได้ตกลงมาจากพระเจ้าออกจากสวรรค์ เผาผลาญคนเหล่านั้น
Rev 20:10 ส่วนพญามารที่ล่อลวงเขาเหล่านั้นก็ถูกโยนลงไปในบึงไฟและกำมะถัน ที่สัตว์ร้ายและผู้พยากรณ์เท็จอยู่นั้น และมันต้องทนทุกข์ทรมานทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดไปเป็นนิตย์
หลังจากนี้แล้วก็เป็นเรื่องท้องฟ้าใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ซึ่งจะเอามาเขียนต่อในครั้งต่อๆไปครับ
ให้ดูคลิปที่มีคนทำไว้
ดูแล้วน่ากลัวจังเลย แต่มันก็ต้องเกิดขึ้น
ตอบลบ