แบ่งปันต่อครับ
Luke 5:12 เมื่อพระเยซู ทรงอยู่ในเมืองหนึ่ง นี่แน่ะมีคนเป็นโรคเรื้อนเต็มทั้งตัว เมื่อเขาเห็นพระเยซูก็ซบหน้าลงถึงดินอ้อนวอนทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า เพียงแต่พระองค์จะโปรดก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์หายโรคได้”
Luke 5:13 พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ถูกต้องเขาแล้วตรัสว่า “เราพอใจแล้ว จงหายเถิด” ในทันใดนั้นโรคเรื้อนของเขาก็หาย
Luke 5:14 พระองค์จึงกำชับเขาไม่ให้บอกผู้ใด และตรัสว่า “แต่จงไปสำแดงตัวแก่ปุโรหิต และถวายเครื่องบูชาสำหรับคนที่หายโรคเรื้อนแล้ว ตามซึ่งโมเสสได้สั่งไว้ เพื่อเป็นหลักฐานต่อคนทั้งหลายว่าเจ้าหายโรคแล้ว”
Luke 5:15 แต่กิตติศัพท์ของพระองค์ยิ่งเลื่องลือไป และประชาชนเป็นอันมากมาชุมนุมกันเพื่อจะฟังพระองค์ และรับการรักษาโรคต่างๆ ของเขา
Luke 5:16 แต่พระองค์เสด็จออกไปในที่เปลี่ยวและทรงอธิษฐาน
Luke 5:17 คราวนั้นวันหนึ่งเมื่อพระองค์ทรงสั่งสอนอยู่ มีพวกฟาริสีและพวกบาเรียนนั่งอยู่ด้วย เป็นผู้มาจากทุกหมู่บ้านในแคว้นกาลิลี แคว้นยูเดียและจากกรุงเยรูซาเล็ม ฤทธิ์เดชของพระเป็นเจ้าก็อยู่ในพระองค์ เพื่อจะรักษาเขาให้หายโรค
Luke 5:18 และดูเถิด มีผู้หามคนง่อยคนหนึ่งนอนบนที่นอน และเขาหาช่องที่จะหามคนง่อยนั้นเข้ามาวางลงตรงพระพักตร์ของพระองค์
Luke 5:19 เมื่อหาช่องเอาเข้ามาไม่ได้เพราะคนมาก เขาจึงขึ้นไปบนดาดฟ้าหลังคาตึก หย่อนคนง่อยลงมาทั้งที่นอน ตามช่องกระเบื้องตรงกลางหมู่คน ต่อพระพักตร์พระเยซู
Luke 5:20 เมื่อพระองค์ทรงเห็นความเชื่อของเขาทั้งหลาย พระองค์จึงตรัสกับคนง่อยว่า “บุรุษเอ๋ย บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว”
Luke 5:21 ฝ่ายพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีคิดในใจว่า “คนนี้ที่พูดหมิ่นประมาทพระเจ้าเป็นผู้ใดเล่า ใครจะยกความผิดบาปได้เว้นแต่พระเจ้าเท่านั้น”
Luke 5:22 แต่เมื่อพระเยซูทรงทราบความคิดของเขา พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “ไฉนท่านทั้งหลายจึงคิดในใจอย่างนี้
Luke 5:23 ที่จะว่า ‘บาปทั้งปวงของเจ้าได้รับอภัยแล้ว’ และจะว่า ‘จงลุกขึ้นเดินไปเถิด’ นั้น ข้างไหนจะง่ายกว่ากัน
Luke 5:24 แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้” (พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า) “เราสั่งเจ้าว่า จงลุกขึ้นยกที่นอนไปบ้านของเจ้าเถิด”
Luke 5:25 ในทันใดนั้นเขาจึงลุกขึ้นต่อหน้าคนทั้งปวง ยกที่นอนซึ่งเขาได้นอนนั้นกลับไปบ้านของตน พลางร้องสรรเสริญพระเจ้า
Luke 5:26 คนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจมากยิ่งนัก และได้สรรเสริญพระเจ้า ต่างเต็มไปด้วยความกลัว และพูดว่า “วันนี้เราได้เห็นสิ่งแปลกประหลาด”
Luke 5:27 ภายหลังเหตุการณ์เหล่านั้นพระองค์ได้เสด็จออกไป และทรงเห็นคนเก็บภาษีคนหนึ่งชื่อเลวีนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด”
Luke 5:28 เขาก็สละสิ่งสารพัดทิ้ง ลุกขึ้นตามพระองค์ไป
Luke 5:12 เมื่อพระเยซู ทรงอยู่ในเมืองหนึ่ง นี่แน่ะมีคนเป็นโรคเรื้อนเต็มทั้งตัว เมื่อเขาเห็นพระเยซูก็ซบหน้าลงถึงดินอ้อนวอนทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า เพียงแต่พระองค์จะโปรดก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์หายโรคได้”
Luke 5:13 พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ถูกต้องเขาแล้วตรัสว่า “เราพอใจแล้ว จงหายเถิด” ในทันใดนั้นโรคเรื้อนของเขาก็หาย
Luke 5:14 พระองค์จึงกำชับเขาไม่ให้บอกผู้ใด และตรัสว่า “แต่จงไปสำแดงตัวแก่ปุโรหิต และถวายเครื่องบูชาสำหรับคนที่หายโรคเรื้อนแล้ว ตามซึ่งโมเสสได้สั่งไว้ เพื่อเป็นหลักฐานต่อคนทั้งหลายว่าเจ้าหายโรคแล้ว”
Luke 5:15 แต่กิตติศัพท์ของพระองค์ยิ่งเลื่องลือไป และประชาชนเป็นอันมากมาชุมนุมกันเพื่อจะฟังพระองค์ และรับการรักษาโรคต่างๆ ของเขา
Luke 5:16 แต่พระองค์เสด็จออกไปในที่เปลี่ยวและทรงอธิษฐาน
Luke 5:17 คราวนั้นวันหนึ่งเมื่อพระองค์ทรงสั่งสอนอยู่ มีพวกฟาริสีและพวกบาเรียนนั่งอยู่ด้วย เป็นผู้มาจากทุกหมู่บ้านในแคว้นกาลิลี แคว้นยูเดียและจากกรุงเยรูซาเล็ม ฤทธิ์เดชของพระเป็นเจ้าก็อยู่ในพระองค์ เพื่อจะรักษาเขาให้หายโรค
Luke 5:18 และดูเถิด มีผู้หามคนง่อยคนหนึ่งนอนบนที่นอน และเขาหาช่องที่จะหามคนง่อยนั้นเข้ามาวางลงตรงพระพักตร์ของพระองค์
Luke 5:19 เมื่อหาช่องเอาเข้ามาไม่ได้เพราะคนมาก เขาจึงขึ้นไปบนดาดฟ้าหลังคาตึก หย่อนคนง่อยลงมาทั้งที่นอน ตามช่องกระเบื้องตรงกลางหมู่คน ต่อพระพักตร์พระเยซู
Luke 5:20 เมื่อพระองค์ทรงเห็นความเชื่อของเขาทั้งหลาย พระองค์จึงตรัสกับคนง่อยว่า “บุรุษเอ๋ย บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว”
Luke 5:21 ฝ่ายพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีคิดในใจว่า “คนนี้ที่พูดหมิ่นประมาทพระเจ้าเป็นผู้ใดเล่า ใครจะยกความผิดบาปได้เว้นแต่พระเจ้าเท่านั้น”
Luke 5:22 แต่เมื่อพระเยซูทรงทราบความคิดของเขา พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “ไฉนท่านทั้งหลายจึงคิดในใจอย่างนี้
Luke 5:23 ที่จะว่า ‘บาปทั้งปวงของเจ้าได้รับอภัยแล้ว’ และจะว่า ‘จงลุกขึ้นเดินไปเถิด’ นั้น ข้างไหนจะง่ายกว่ากัน
Luke 5:24 แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้” (พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า) “เราสั่งเจ้าว่า จงลุกขึ้นยกที่นอนไปบ้านของเจ้าเถิด”
Luke 5:25 ในทันใดนั้นเขาจึงลุกขึ้นต่อหน้าคนทั้งปวง ยกที่นอนซึ่งเขาได้นอนนั้นกลับไปบ้านของตน พลางร้องสรรเสริญพระเจ้า
Luke 5:26 คนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจมากยิ่งนัก และได้สรรเสริญพระเจ้า ต่างเต็มไปด้วยความกลัว และพูดว่า “วันนี้เราได้เห็นสิ่งแปลกประหลาด”
Luke 5:27 ภายหลังเหตุการณ์เหล่านั้นพระองค์ได้เสด็จออกไป และทรงเห็นคนเก็บภาษีคนหนึ่งชื่อเลวีนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด”
Luke 5:28 เขาก็สละสิ่งสารพัดทิ้ง ลุกขึ้นตามพระองค์ไป
จากพระคำตอนนี้พระเยซูได้ปรนนิบัติรับใช้คนใีนอีกหลายเหตุการณ์ เช่น คนโรคเรื้อน (เพียงแต่พระองค์จะโปรด ก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์หายโรคได้) คนง่อยหามสี่ (พระเยซูเห็นความเชื่อของพวกเขา) เรียกคนเก็บภาษ๊ (คนที่สัีงคมรังเกียจ แต่เขายินดีตามพระองค์ไป) บุคคลทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ
คนโรคเรื้อน ในพระคัมภีร์เดิมคนที่สังคมรังเกียจว่าเป็นมลทิน (ดูเลวีนิติ บทที่ 13) เขาต้องอยู่ภายนอกค่าย ไม่สามารถคบหาสมาคมกับใครได้ เมื่อคนโรคเรื้อนเข้ามาหาพระเยซู ขอพระเมตตา พระเยซูรักษาเขา
คนง่อยคนที่ไม่สามารถทำอะไรได้ เดินไม่ได้ ประกอบอาชีพไม่ได้ ต้องพึ่งพาผู้อื่นอยู่เสมอ แต่พระเยซูก็รักเขา เมื่อพระองค์เห็นความเชื่อของเขา ที่พยายามเข้ามาหาพระองค์ เข้าทางประตูไม่ได้เพราะคนแน่น ก็เข้าทางหลังคา รื้อหลังคาออก เพื่อนของเขาสี่คนนั้นต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เชื่อร่วมกับคนง่อย ยินดีช่วยเหลือคนง่อย รื้อหลังคาออก หย่อนเขาลงไป การอัศจรรย์จะบังเกิดขึ้นในชีวิตเราได้ เราต้องมีความปรารถนาจะพบพระเยซู ต้องจัดการฝ่าฟันกับอุปสรรคต่างๆที่ขวางออกไปให้หมดสิ้นเหมือนชายคนง่อยนี้ ไม่ว่าจะอย่างไร จะขอพบพระเยซูให้ได้ ความหิวกระหายของเราเคยรุนแรงขนาดนี้ไหม ปรารถนาจะพบกับพระเยซูคริสต์ เขาได้รับการยกโทษบาปและรับการรักษาให้หายโรค
คนเก็บภาษี ในบรรดาอาชีพที่ทำ นี่เป็นอีกอาชีพที่คนยิวรังเกียจเพราะคนเก็บภาษีชาวยิวถูกมองว่าเป็นพวกนอกคอก ในสายตาของชาวยิวพวกเขาเป็นคนที่นำความอับอายขายหน้ามาสู่ครอบครัว เจ้าหน้าที่ชาวโรมันจะว่าจ้างคนท้องถิ่นให้เป็นคนเก็บภาษีให้ เนื่องจากคนเก็บภาษีเหล่านี้ทำงานให้กับโรมันและมักจะรีดไถประชาชนอย่างไร้เหตุผล คนเก็บภาษีจึงมีชื่อเสียงไม่ดีและเป็นที่เกลียดชังของคนทั่วไป ทั้งยังถูกมองว่าเป็นคนขายชาติด้วย
นี่ก็เป็นอีกพวกหนึ่งที่ไม่มีใครต้องการ แต่สำหรับพระเยซูแล้ว ทุกคนมีคุณค่ายิ่งในสายพระเนตรพระเจ้า โดยเฉพาะเลวีคนนี้ ได้สละสิ่งสารพัดติดตามพระเยซูไป และมีชื่อว่ามัทธิว 1 ในสาวก 12 คนของพระเยซู
ในท่ามกลางพวกเรา มีใครคิดแบบนี้บ้างไหม ดูตัวเองแล้วรู้สึกไม่ค่อยเห็นคุณค่าตนเอง คิดว่าไม่เป็นที่ต้องการของใครใคร แต่พระเยซูต้องการพวกเราทุกคน ไม่มีใครไม่เป็นที่ต้องการในสายพระเนตรพระเจ้า ทุกคนพระเยซูรักและเมตตาสงสารทุกคนที่มีความต้องการ ต้องการการช่วยเหลือ ถ่อมใจยอมรับความอ่อนแอของตนเองและเข้ามาหาพระเมตตากรุณาของพระองค์ อาเมน.
จากเหตุการณ์นี้เราจะเห็นว่า พระองค์ก็ทรงต้องการปลีกตัวไปใช้เวลาสนิทสนมกับพระบิดาด้วยการอธิษฐาน ดังนั้นถ้าเราใช้เวลาอธิษฐานกับพระองค์ เราจะได้รับการชูใจ ปลอบประโลมใจ จากองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ จะได้มีความคิดที่ถูกต้องตามแบบพระคัมภีร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น