มาถึงบทที่ 5 ของพระธรรมลูกาแล้ว เราได้เห็นชีวิตของพระเยซูคริสต์ที่เป็นต้นแบบแก่ชีวิตเราในเรื่องใดมาแล้วบ้าง การตอบสนองของบุคคล 2 แบบ ต่อข่าวที่ทูตสวรรค์นำมาแจ้ง เห็นชีวิตวัยเด็กของพระเยซูคริสต์ความสนใจในพระวจนะเริ่มตั้งแต่วัยเด็กแล้ว เราเห็นแบบอย่างชีวิตของพระเยซูก่อนจะเริ่มทำพระราชกิจว่าพระองค์กระทำในสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปทำกัน แม้พระองค์จะเป็นพระเจ้า เราเห็นชีวิตพระเยซูประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และเผชิญการทดลองด้วยพระวจนะ เราเห็นพระเยซูกระทำพระราชกิจแห่งพระวจนะ พระวจนะเกี่ยวกับพระราชกิจของพระองค์ในพระคัมภีร์เดิม พระองค์ทำให้สำเร็จทั้งสิ้น และต่อมาเราเห็นสิทธิอำนาจในการทำสิ่งต่างๆมีในชีวิตพระเยซูคริสต์ พระองค์เริ่มเรียกคนต่างๆมาเป็นสาวกติดตามพระองค์ และเราได้เห็นว่าทุกคนเป็นที่ต้องการของพระเยซูทั้งสิ้น
วันนี้มาต่อให้จบในบทที่ 5 นะครับ
Luke 5:29 เลวีได้จัดให้มีการเลี้ยงใหญ่ในเรือนของตน เพื่อเป็นเกียรติยศแก่พระองค์ มีคนมากมายเป็นคนเก็บภาษีและคนอื่นๆ มาร่วมสำรับด้วยกัน
Luke 5:30 ฝ่ายพวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์ของเขากระซิบบ่นติพวกศิษย์ของพระองค์ว่า “เหตุไฉนพวกท่านมากินและดื่มด้วยกันกับพวกเก็บภาษีและพวกคนบาป”
Luke 5:31 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ
Luke 5:32 เรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีตให้กลับใจเสียใหม่”
Luke 5:33 เขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า “พวกศิษย์ของยอห์นถืออดอาหารเนืองๆ และอธิษฐานถือเป็นกิจวัตร และศิษย์ของพวกฟาริสีก็ถือเหมือนกัน แต่ศิษย์ของท่านกินและดื่ม”
Luke 5:34 ฝ่ายพระเยซูตรัสแก่เขาว่า “ท่านจะให้สหายของเจ้าบ่าวอดอาหาร เมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่กับเขากระนั้นหรือ
Luke 5:35 แต่จะมีวันหนึ่งเมื่อเจ้าบ่าวจะต้องจากสหายไป ในวันนั้นสหายจะถืออดอาหาร”
Luke 5:36 พระองค์ยังตรัสคำเปรียบข้อหนึ่งแก่เขาด้วยว่า “ไม่มีผู้ใดฉีกท่อนผ้าจากเสื้อใหม่มาปะเสื้อเก่า ถ้าทำอย่างนั้นเสื้อใหม่นั้นจะขาดเสียไป ทั้งท่อนผ้าที่เอามาจากเสื้อใหม่นั้นก็จะไม่สมกับเสื้อเก่าด้วย
Luke 5:37 ไม่มีผู้ใดเอาน้ำองุ่นหมักใหม่มาใส่ไว้ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นน้ำองุ่นหมักจะทำให้ถุงหนังเก่าขาดไป และน้ำองุ่นจะรั่ว ถุงหนังก็จะเสียไปด้วย
Luke 5:38 แต่น้ำองุ่นหมักใหม่ต้องใส่ในถุงหนังใหม่
Luke 5:39 ไม่มีผู้ใดเมื่อกินเหล้าองุ่นเก่าแล้ว จะอยากได้น้ำองุ่นหมักใหม่เพราะเขาย่อมว่า ‘ของเก่านั้นดีแล้ว’ ”
วันนี้มาต่อให้จบในบทที่ 5 นะครับ
Luke 5:29 เลวีได้จัดให้มีการเลี้ยงใหญ่ในเรือนของตน เพื่อเป็นเกียรติยศแก่พระองค์ มีคนมากมายเป็นคนเก็บภาษีและคนอื่นๆ มาร่วมสำรับด้วยกัน
Luke 5:30 ฝ่ายพวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์ของเขากระซิบบ่นติพวกศิษย์ของพระองค์ว่า “เหตุไฉนพวกท่านมากินและดื่มด้วยกันกับพวกเก็บภาษีและพวกคนบาป”
Luke 5:31 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ
Luke 5:32 เรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีตให้กลับใจเสียใหม่”
Luke 5:33 เขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า “พวกศิษย์ของยอห์นถืออดอาหารเนืองๆ และอธิษฐานถือเป็นกิจวัตร และศิษย์ของพวกฟาริสีก็ถือเหมือนกัน แต่ศิษย์ของท่านกินและดื่ม”
Luke 5:34 ฝ่ายพระเยซูตรัสแก่เขาว่า “ท่านจะให้สหายของเจ้าบ่าวอดอาหาร เมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่กับเขากระนั้นหรือ
Luke 5:35 แต่จะมีวันหนึ่งเมื่อเจ้าบ่าวจะต้องจากสหายไป ในวันนั้นสหายจะถืออดอาหาร”
Luke 5:36 พระองค์ยังตรัสคำเปรียบข้อหนึ่งแก่เขาด้วยว่า “ไม่มีผู้ใดฉีกท่อนผ้าจากเสื้อใหม่มาปะเสื้อเก่า ถ้าทำอย่างนั้นเสื้อใหม่นั้นจะขาดเสียไป ทั้งท่อนผ้าที่เอามาจากเสื้อใหม่นั้นก็จะไม่สมกับเสื้อเก่าด้วย
Luke 5:37 ไม่มีผู้ใดเอาน้ำองุ่นหมักใหม่มาใส่ไว้ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นน้ำองุ่นหมักจะทำให้ถุงหนังเก่าขาดไป และน้ำองุ่นจะรั่ว ถุงหนังก็จะเสียไปด้วย
Luke 5:38 แต่น้ำองุ่นหมักใหม่ต้องใส่ในถุงหนังใหม่
Luke 5:39 ไม่มีผู้ใดเมื่อกินเหล้าองุ่นเก่าแล้ว จะอยากได้น้ำองุ่นหมักใหม่เพราะเขาย่อมว่า ‘ของเก่านั้นดีแล้ว’ ”
เลวีหรือมัทธิวคนเก็บภาษีคนนี้ ด้วยความดีใจที่ตัวเขาได้รับการปลดปล่อย มีชีวิตที่รู้ว่าตัวเขาเป็นที่ต้องการของคนทั้งหลายโดยเฉพาะเป็นที่ต้องการขององค์พระเยซูคริสต์ จึงได้เรียกเขาให้เป็นสาวกติดตามพระองค์ เขาได้จัดงานเลี้ยงขึ้น
และนี่เป็นที่มาของเหตุการณ์ตอนนี้ เลวีคนเก็บภาษีเป็นที่รังเกียจแก่คนทั่วไป พวกฟาริสีและธรรมาจารย์ไม่เข้าใจว่า ทำไมพระเยซูจึงมารับประทานอาหารด้วย ฟาริสีและธรรมาจารย์เปรียบได้กับพวกนักการศาสนาซึ่งพระเยซูได้ตำหนิในพระธรรมมัทธิว บทที่ 23 สอนคนอื่นแต่ตนเองหาได้ทำไม่ การกระทำของเขาเป็นการอวดเท่านั้น ใช้กลักพระธรรมอย่างใหญ่ สวมเสื้อที่มีภู่ห้อยอันยาว ชอบไปในที่อันมีเกียรติ ชอบรับการคำนับ ชอบให้เรียกว่าอาจารย์ พระเยซูบอกว่าวิบัติแก่พวกเจ้า คนหน้าซื่อใจคด และมีคำอธิบายในบทนี้หลายตอนมาก
ด้วยเหตุนี้พระเยซูถึงพูดว่าคนสบายไม่ต้องการหาหมอ แต่คนเจ็บต้องการ คนที่คิดว่าตัวเองไม่ป่วย สบายดี เป็นคนที่ไม่มีอะไรผิดปกติ ชีวิตไม่ขาดอะไร จิตวิญญาณสบายดี ตายแล้วก็ไปเกิดใหม่ ไปต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำในโลกนี้ ฯลฯ คนแบบนี้จึงไม่เคยมาถึงพระเจ้าได้ ตราบใดที่เขาไม่รู้สึกว่าตนเองบกพร่อง
ผมจึงคิดว่าการที่คริสเตียนควรตรวจสอบตนเองอยู่เสมอว่าชีวิตของเราผิดปกติหรือไม่ หิวกระหายหาพระเจ้าหรือไม่ ปรารถนาใกล้ชิดพระเจ้า ฯลฯ เป็นสิ่งที่ดี จะได้ระมัดระวังตัวเองไม่หลงไปดำเนินตามทางที่ผิด
พระเยซูมาเพื่อเรียกคนที่รู้ตัวว่าผิดปกติในชีวิต ต้องการพระเจ้า ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองให้รอดได้ โดยพึ่งแต่กำลังของเราเอง ไม่สามารถช่วยให้รอดได้ ไม่มีความดีใดพาเราไปสวรรค์ เพราะแม้เราทำความดีมามากมาย แต่ทำผิดธรรมบัญญัติหนึ่งข้อ ก็เท่ากับทำผิดทั้งหมดแล้ว ด้วยเหตุนี้พระเยซูคริสต์จึงมา ประทานชีวิตพระองค์เองเป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก
ต่อมาพวกเขามาทูลพระเยซูคริสต์อีกว่า ศิษย์ของยอห์น ของฟาริสี อดอาหาร ทำตามบทบัญญัติ แต่ศิษย์พระเยซูกินและดื่ม แต่พระเยซูตอบว่าพระองค์ยังอยู่กับสาวก ไม่ใช่เวลาที่จะทุกข์โศกเศร้า แต่เมื่อถึงเวลาพระองค์จากไป เมื่อนั้นแหละเป็นเวลาที่จะถืออดอาหาร
พระเยซูกำลังเปรียบเทียบระหว่างบทบัญญัติซึ่่งเป็นเหมือนของเก่า มีธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ แต่พระเยซูมาเป็นเหมือนกับของใหม่ พระองค์ให้พระบัญญัตินั้นอยู่ในใจ พระองค์ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตภายในผู้เชื่อทุกคนคอยสอนแนะนำสิ่งต่างๆให้กับผู้เชื่อ ด้วยเหตุนี้พระเยซูถึงเปรียบเทียบว่าของเก่าต้องคู่กับเก่า ใหม่ต้องคู่กับใหม่ จะเอาสิ่งใหม่ไปใส่ไว้ในของเก่าไม่ได้ ระบอบที่พระเยซูนำมาในโลกเป็นระบอบใหม่ โดยพระวิญญาณต้องมาคู่กับคนที่รับชีวิตใหม่ ระบอบเดิมตามธรรมบัญญัติก็ต้องมาคู่กับคนที่ยังอยู่ในระบอบเดิม คือยึดตามธรรมบัญญัติ
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่คนทั้งหลายต้องแสวงหาเอา ไม่มีใครบีบบังคับให้รับไว้ได้ ใครที่รู้ตัวว่าป่วยฝ่ายวิญญาณ รับเอาชีวิตใหม่จากพระเจ้า ใครรู้ตัวว่าติดอยู่กับระบอบธรรมบัญญัติซึ่งประหารให้ตาย ต้องการระบอบใหม่ วิถีชีวิตใหม่ รับเอาจากพระเจ้า
เขียนมาถึงตรงนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าธรรมบัญญัตินั้นไม่ดีนะครับ
Rom 7:12 เหตุฉะนั้นธรรมบัญญัติจึงเป็นสิ่งบริสุทธิ์ และข้อบัญญัติก็บริสุทธิ์ยุติธรรมและดีงาม
Rom 7:13 ถ้าเช่นนั้น สิ่งที่ดีกลับทำให้ข้าพเจ้าต้องตายหรือ หามิได้ บาปต่างหาก คือบาปซึ่งอาศัยสิ่งที่ดีนั้นทำให้ข้าพเจ้าต้องตาย เพื่อจะให้ปรากฏว่าบาปนั้นเป็นบาปจริง และโดยอาศัยธรรมบัญญัตินั้น บาปก็ปรากฏว่าชั่วร้ายยิ่งนัก
덀
Rom 7:6 แต่บัดนี้เราได้พ้นจากธรรมบัญญัติ คือได้ตายจากธรรมบัญญัติที่ได้ผูกมัดเราไว้ เพื่อเราจะได้ไม่ประพฤติตามตัวอักษรในประมวลธรรมบัญญัติเก่า แต่จะดำเนินชีวิตใหม่ตามลักษณะพระวิญญาณ
Gal 3:13 พระคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นความแช่งสาปแห่งธรรมบัญญัติ โดยการที่พระองค์ทรงยอมถูกแช่งสาปเพื่อเรา (เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ทุกคนที่ต้องถูกแขวนไว้บนต้นไม้ต้องถูกสาปแช่ง )
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่านครับ ศุกร์นี้ 19.00-21.00 น. ห้อง 23 ผมจะนำอธิษฐานระลึกถึงพระคุณพระเจ้าในเทศกาลอยู่เพิง เชิญพี่น้องทุกท่านมาร่วมได้ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น