แบ่งปันต่อครับ
Luke 6:27 “แต่เราบอกท่านทั้งหลายที่กำลังฟังอยู่ว่า จงรักศัตรูของท่าน จงทำดีแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน
Luke 6:28 จงอวยพรแก่คนที่แช่งด่าท่าน จงอธิษฐานเพื่อคนที่เคี่ยวเข็ญท่าน
Luke 6:29 ผู้ใดตบแก้มของท่านข้างหนึ่ง จงหันอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย และผู้ใดริบเอาเสื้อคลุมของท่านไป ถ้าเขาจะเอาเสื้อด้วยก็อย่าหวงห้าม
Luke 6:30 จงให้แก่ทุกคนที่ขอจากท่าน และถ้าใครได้ริบของของท่านไป อย่าทวงเอาคืน
Luke 6:31 จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่าน
Luke 6:32 “แม้ว่าท่านทั้งหลายรักผู้ที่รักท่าน จะทรงนับว่าเป็นคุณอะไรแก่ท่าน ถึงแม้คนบาปก็ยังรักผู้ที่รักเขาเหมือนกัน
Luke 6:33 ถ้าท่านทั้งหลายทำดีแก่ผู้ที่ทำดีแก่ท่าน จะทรงนับว่าเป็นคุณอะไรแก่ท่าน เพราะว่าคนบาปก็กระทำเหมือนกัน
Luke 6:34 ถ้าท่านทั้งหลายให้ยืมเฉพาะแต่ผู้ที่ท่านหวังจะได้คืนจากเขาอีก จะทรงนับว่าเป็นคุณอะไรแก่ท่าน ถึงแม้คนบาปก็ยังให้คนบาปยืม โดยหวังว่าจะได้รับคืนจากเขาเท่ากัน
Luke 6:35 แต่จงรักศัตรูของท่านทั้งหลาย และทำการดีต่อเขา จงให้เขายืมโดยไม่หวังที่จะได้คืนอีก บำเหน็จของท่านทั้งหลายจึงจะมีบริบูรณ์ และท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด เพราะว่าพระองค์ยังทรงโปรดแก่คนอกตัญญูและคนชั่ว
Luke 6:36 ท่านทั้งหลายจงมีความเมตตากรุณา เหมือนอย่างพระบิดาของท่านมีพระทัยเมตตากรุณา
คำสอนของพระเยซูในข้อ 31 บอกเราว่า "จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่าน" ยกตัวอย่างเช่น
ต้องการให้ศัตรูรักท่าน ก็ต้องรักศัตรู ต้องการเปลี่ยนใจคนที่เกลียดชังท่าน ก็ต้องรักเขา คือว่าอยากให้เขาทำอะไรแก่เรา เราต้องทำสิ่งนั้นก่อน
คนที่แช่งด่า คนที่เคี่ยวเข็ญท่าน อยากเปลี่ยนให้เขาอวยพรท่าน ก็ต้องอวยพรเขาก่อน
ต้องการให้เขาให้แก่เรา เราก็ต้องให้แก่เขาก่อน เช่น ตบแก้ม ให้แก้มอีกข้าง เรื่องเกี่ยวกับร่างกายของเราต้องการให้เขาทำอะไรแก่เรา เราก็ให้สิ่งนั้นก่อน ในที่นี้คงไม่ได้หมายถึงต้องการให้เขาทำร้ายร่างกายท่าน ก็ต้องทำร้ายร่างกายเขาก่อน คงไม่ใช่สิ่งนี้ แต่หมายถึงในทางกลับกัน อยากให้เขาทำดี อยากให้เขาปรารถนาดี อยากให้เขาเป็นมิตร อยากให้เขาพูดคุยกับท่านด้วยดี อยากให้เขามีมิตรไมตรี ฯลฯ เราก็ควรทำสิ่งนั้นก่อน อยากจะยกตัวอย่างของนักศึกษาพยาบาลที่มาขอคำปรึกษาจากผมเนื่องด้วยว่า นักศึกษาในหอพักนั้นไม่มีใครพูดคุยด้วยกับเขา เพราะเข้าใจเขาผิด ทำอย่างไรดี ผมตอบไปว่าทำดีตอบแก่คนที่เคี่ยวเข็ญท่าน แม้เขาไม่คุย แต่เราก็คุย ทักทาย ปฏิบัติอย่างดีต่อเขา แม้เขาไม่ปฏิบัติต่อเรา ทั้งหอพักเลยนะครับที่ทำเช่นนี้กับเขา หลังจากนั้นเขาก็ทำตามที่ผมแนะนำ ขอบคุณพระเจ้า ได้ผล เปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจคนในหอพักนั้นให้เข้าใจเขา ไม่เข้าใจผิด และกลับมาเป็นเพื่อนเหมือนเดิม
หรือเรื่องเกี่ยวกับเครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ข้าวของของท่านก็เช่นกัน แบบเดียวกัน
พระเจ้าได้พูดต่อไปว่า ถ้าเราทำดี แก่ผู้ที่ทำดีต่อเรา ให้ยืมเมื่อหวังจะได้คืน ฯลฯ จะเป็นคุณอะไรแก่เรา จะมีประโยชน์อะไรแก่เรา คนทั่วๆไปก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน
สรุปความจากพระคัมภีร์ตอนนี้ ในข้อ 34 จากทั้งหมดที่กล่าวมา จงรักศัตรู ทำการดีต่อเขา และจงให้โดยไม่หวังจะได้คืน แล้วบำเหน็จของพระเจ้าจะมีแก่เราในสวรรค์ แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระเจ้า เพราะพระลักษณะของพระเจ้าคือมีความเมตตากรุณา ถ้าเราได้กระทำดังนี้แล้ว เราจะเป็นลูกของพระเจ้าที่มีพระลักษณะเหมือนพระเจ้า คือมีความเมตตากรุณา
Luke 6:27 “แต่เราบอกท่านทั้งหลายที่กำลังฟังอยู่ว่า จงรักศัตรูของท่าน จงทำดีแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน
Luke 6:28 จงอวยพรแก่คนที่แช่งด่าท่าน จงอธิษฐานเพื่อคนที่เคี่ยวเข็ญท่าน
Luke 6:29 ผู้ใดตบแก้มของท่านข้างหนึ่ง จงหันอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย และผู้ใดริบเอาเสื้อคลุมของท่านไป ถ้าเขาจะเอาเสื้อด้วยก็อย่าหวงห้าม
Luke 6:30 จงให้แก่ทุกคนที่ขอจากท่าน และถ้าใครได้ริบของของท่านไป อย่าทวงเอาคืน
Luke 6:31 จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่าน
Luke 6:32 “แม้ว่าท่านทั้งหลายรักผู้ที่รักท่าน จะทรงนับว่าเป็นคุณอะไรแก่ท่าน ถึงแม้คนบาปก็ยังรักผู้ที่รักเขาเหมือนกัน
Luke 6:33 ถ้าท่านทั้งหลายทำดีแก่ผู้ที่ทำดีแก่ท่าน จะทรงนับว่าเป็นคุณอะไรแก่ท่าน เพราะว่าคนบาปก็กระทำเหมือนกัน
Luke 6:34 ถ้าท่านทั้งหลายให้ยืมเฉพาะแต่ผู้ที่ท่านหวังจะได้คืนจากเขาอีก จะทรงนับว่าเป็นคุณอะไรแก่ท่าน ถึงแม้คนบาปก็ยังให้คนบาปยืม โดยหวังว่าจะได้รับคืนจากเขาเท่ากัน
Luke 6:35 แต่จงรักศัตรูของท่านทั้งหลาย และทำการดีต่อเขา จงให้เขายืมโดยไม่หวังที่จะได้คืนอีก บำเหน็จของท่านทั้งหลายจึงจะมีบริบูรณ์ และท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด เพราะว่าพระองค์ยังทรงโปรดแก่คนอกตัญญูและคนชั่ว
Luke 6:36 ท่านทั้งหลายจงมีความเมตตากรุณา เหมือนอย่างพระบิดาของท่านมีพระทัยเมตตากรุณา
คำสอนของพระเยซูในข้อ 31 บอกเราว่า "จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่าน" ยกตัวอย่างเช่น
ต้องการให้ศัตรูรักท่าน ก็ต้องรักศัตรู ต้องการเปลี่ยนใจคนที่เกลียดชังท่าน ก็ต้องรักเขา คือว่าอยากให้เขาทำอะไรแก่เรา เราต้องทำสิ่งนั้นก่อน
คนที่แช่งด่า คนที่เคี่ยวเข็ญท่าน อยากเปลี่ยนให้เขาอวยพรท่าน ก็ต้องอวยพรเขาก่อน
ต้องการให้เขาให้แก่เรา เราก็ต้องให้แก่เขาก่อน เช่น ตบแก้ม ให้แก้มอีกข้าง เรื่องเกี่ยวกับร่างกายของเราต้องการให้เขาทำอะไรแก่เรา เราก็ให้สิ่งนั้นก่อน ในที่นี้คงไม่ได้หมายถึงต้องการให้เขาทำร้ายร่างกายท่าน ก็ต้องทำร้ายร่างกายเขาก่อน คงไม่ใช่สิ่งนี้ แต่หมายถึงในทางกลับกัน อยากให้เขาทำดี อยากให้เขาปรารถนาดี อยากให้เขาเป็นมิตร อยากให้เขาพูดคุยกับท่านด้วยดี อยากให้เขามีมิตรไมตรี ฯลฯ เราก็ควรทำสิ่งนั้นก่อน อยากจะยกตัวอย่างของนักศึกษาพยาบาลที่มาขอคำปรึกษาจากผมเนื่องด้วยว่า นักศึกษาในหอพักนั้นไม่มีใครพูดคุยด้วยกับเขา เพราะเข้าใจเขาผิด ทำอย่างไรดี ผมตอบไปว่าทำดีตอบแก่คนที่เคี่ยวเข็ญท่าน แม้เขาไม่คุย แต่เราก็คุย ทักทาย ปฏิบัติอย่างดีต่อเขา แม้เขาไม่ปฏิบัติต่อเรา ทั้งหอพักเลยนะครับที่ทำเช่นนี้กับเขา หลังจากนั้นเขาก็ทำตามที่ผมแนะนำ ขอบคุณพระเจ้า ได้ผล เปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจคนในหอพักนั้นให้เข้าใจเขา ไม่เข้าใจผิด และกลับมาเป็นเพื่อนเหมือนเดิม
หรือเรื่องเกี่ยวกับเครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ข้าวของของท่านก็เช่นกัน แบบเดียวกัน
พระเจ้าได้พูดต่อไปว่า ถ้าเราทำดี แก่ผู้ที่ทำดีต่อเรา ให้ยืมเมื่อหวังจะได้คืน ฯลฯ จะเป็นคุณอะไรแก่เรา จะมีประโยชน์อะไรแก่เรา คนทั่วๆไปก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน
สรุปความจากพระคัมภีร์ตอนนี้ ในข้อ 34 จากทั้งหมดที่กล่าวมา จงรักศัตรู ทำการดีต่อเขา และจงให้โดยไม่หวังจะได้คืน แล้วบำเหน็จของพระเจ้าจะมีแก่เราในสวรรค์ แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระเจ้า เพราะพระลักษณะของพระเจ้าคือมีความเมตตากรุณา ถ้าเราได้กระทำดังนี้แล้ว เราจะเป็นลูกของพระเจ้าที่มีพระลักษณะเหมือนพระเจ้า คือมีความเมตตากรุณา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น