วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553

A) Word of God : การงานของอดีต : การรักษาเยียวยาภายใน

พระวจนะสำหรับคริสตชน

การงานของอดีต : การรักษาเยียวยาภายใน

จากครั้งที่แล้ว เราได้ดูภาพของชีวิตเราจากการตกอยู่ภายใต้การแช่งสาปจากชีวิตเดิมที่ไม่รู้จักกับพระเจ้า ไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า  จนมารู้จักกับพระเจ้า พระเจ้าได้ปลดปล่อยเราให้พ้นจากการแช่งสาป  และจะนำเราจนได้เข้าสู่สวนเอเดนใหม่ที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้กับเรานั่นก็คือ เมืองบริสุทธิ์  นครเยรูซาเล็มใหม่  (อ่านได้จากวิวรณ์ บทที่ 21-22)

มีอะไรบ้างในเมืองนั้น ท่านทั้งหลายลองอ่านดูนะครับ นั่นคือที่สุดท้ายสำหรับผู้เชื่อที่เราจะไป
สรุปอีกครั้ง  ผู้เชื่อในสมัยปัจจุบันเมื่อล่วงหลับวิญญาณจิตจะไปอยู่กับพระเจ้าบนเมืองบรมสุขเกษม และเมื่อพระเยซูคริสต์กลับมา จะพาวิญญาณจิตของผู้เชื่อทั้งหลายนั้นกลับมาด้วย แล้ววิญญาณจิตนั้นจะรวมกับธุลีผงคลีเถ้าถ่านร่างกายของเราบนแผ่นดินโลก และเปลี่ยนแปลงกายใหม่เป็นกายวิญญาณ  หลังจากนั้นจะครอบครองโลกเป็นระยะเวลาพันปี และมาจบลงที่นครเยรูซาเล็มใหม่ (ลองกลับไปอ่านเรื่องสวรรค์ เมืองบรมสุขเกษม)

ยังมีสิ่งเล็กๆน้อยๆที่เราต้องปัดกวาดออกไป ไม่ปล่อยให้ฝังลึกอยู่ในชีวิตเรา ครั้งที่แล้วได้เสนอแนะให้นำผู้เชื่อใหม่ตัดสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆในอดีตอย่างเป็นทางการด้วยการอธิษฐานร่วมกับเขา และนำเขาตัดความสัมพันธ์กับผีวิญญาณชั่วที่เคยเคารพบูชา หรือตัดความสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆที่เราฝังแน่นยึดแน่นไว้ในใจเรา  หรือตัดสัมพันธ์กับสิ่งที่บรรพบุรุษของเราได้ยกเราให้กับสิ่งต่างๆ หรือตัดสัมพันธ์กับการสาปแช่งในอดีต ฯลฯ  เป็นการพูดออกมาด้วยวาจาของเราเอง ว่าไม่ขอมีส่วนร่วมกับสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป โดยพระนามพระเยซูคริสต์
                เพราะพระนามพระเยซูมีฤทธิ์อำนาจ  เราใช้พระนามพระเยซูในการกล่าวคำอธิษฐานต่างๆ  
ฟิลิปปี 2:9-11
Phil 2:9 เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูงที่สุดด้วย และได้ทรงประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์
Phil 2:10 เพื่อ `หัวเข่าทุกหัวเข่า' ในสวรรค์ก็ดี ที่แผ่นดินโลกก็ดี ใต้พื้นแผ่นดินโลกก็ดี `จะต้องคุกกราบลง' นมัสการในพระนามแห่งพระเยซูนั้น
Phil 2:11 และเพื่อ `ลิ้นทุกลิ้นจะยอมรับ' ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าพระบิดา

นอกจากนั้นก็อาจเป็นบาดแผลต่างๆในชีวิตเราที่ต้องการพระคุณพระเจ้ามาเยียวยารักษา พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ชื่อว่าเป็น พระผู้ปลอบประโลมใจ อีกผู้หนึ่ง (ยอห์น 14:16 ฉบับไทยคิงเจมส์) หมายความถึงเป็นตัวแทนของพระเยซูคริสต์ที่มาอยู่เคียงข้างเรา เป็นเหมือนองค์พระเยซูคริสต์ที่มาอยู่กับเราตลอดเวลา มาปลอบประโลมใจเรา อีกชื่อคือ พระวิญญาณแห่งความจริง (ยอห์น 14:17) นำความจริงทุกสิ่งมาเปิดเผยให้เราทราบ    จะเข้ามาทำหน้าที่เยียวยารักษาบาดแผลต่างๆเหล่านั้นให้กับเรา 
บาดแผล เช่น
·       รากขมขื่น  
·       การขาดครอบครัวดูแล  หรือครอบครัวขาดความรัก ฯลฯ
·       บาดแผลในวัยเด็กฝังลึก
·       ประสบการณ์ที่ไม่ดีในอดีต
·       หรือความเจ็บช้ำน้ำใจจากคนรักทำให้


จากเว็บ ได้มีข้อเขียนว่า
บาดแผลชีวิต คือ ประสบการณ์ที่ไม่ดีในชีวิตตั้งแต่วัยเด็กตลอดมา เช่น การถูกด่า ถูกว่า ถูกเปรียบเทียบ ได้รับการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม ผิดหวัง อกหัก สอบตก ถูกทำร้าย ถูกเอาเปรียบ พ่อแม่ลงโทษมากไป ครูอาจารย์ด่าว่าลงโทษจนเกินเหตุ การร้บน้องใหม่ที่โหดร้ายทารุณ ฯลฯ ซึ่งเรามักจะเก็บเอาไว้ในส่วนของจิตใต้สำนึก
บางคนเรียกว่า รอยกรรม
บางคนเรียกว่า หนามชีวิต
สิ่งเหล่านี้จะคอยทิ่มแทงจิตสำนึกของเราให้ไม่มีความสุข นึกถึงแต่ความต่ำต้อย เจ็บปวด เกิดเป็นความอาฆาตแค้น ก้าวร้าว เหรือเกิดเป็นปมด้อย ทำให้กดเก็บปกปิดตัวเอง เพราะคิดว่าตัวเองต่ำต้อย
เกิดเป็นลักษณะและนิสัยที่ไม่พึงปรารถนา เช่น อาฆาต ก้าวร้าย อิจฉาริษยา ใจน้อย แสนงอน ขี้อายมากๆ หรือซึมเศร้า หลีกหนีสังคม ขาดความมั่นใจตัวเอง หรือต่อต้านสังคม
บาดแผลชีวิตในจิตใต้สำนึกนี้จะส่งผลไปที่จิตสำนักให้ไม่มีควาสุข เวลาจะตัดสินใจทำสิ่งใดก็จะทำไปด้วยความไม่รักเพื่อนมนุษย์และไม่รักตัวเอง ทำให้การทำงานหรือกิจกรรมชีวิตเหล่านั้นไม่สร้างสรรค์ ผลตอบแทนหรือผลลัพธ์ก็ไม่ดี ทำให้นำไปเก็บเพิ่มเติมไว้ในส่วนของจิตใต้สำนึกที่ไม่ดีมากยิ่งขึ้น เป็นวงจรที่ไม่ดีตลอดไป

การจะรักษาบาดแผลชีวิตในจิตใต้สำนึกให้หายไปนั้นต้องนึกถึง
1. รู้จักอภัยคนที่ทำผิดพลาดกับเรา ว่าเขาทำไปด้วยความไม่รู้ หรือด้วยวิบากกรรมที่เราเคยทำกับเขามา เขาจึงมากระทำไม่ดีกับเรา จงถ่อมตัวยอมรับสิ่งนั้นเสีย และเร่งทำความดีให้มากขึ้น โดยการช่วยเหลือตัวเองและผู้อื่นให้มากขึ้น รักตัวเองและผู้อื่นให้มากขึ้น ผลแห่งการทำความดีนี้จะทำให้เราได้รับสิ่งที่ดีๆตอบแทน และให้ทำความดีมากขึ้นๆ ตลอดไปด้วย
2. ให้มองหาความดีของตนที่ได้กระทำมาแล้วบางอย่างและให้นึกซ้ำๆ ในช่วงที่วิ่งเหยาะๆ จำทำให้เกิดความเชื่อว่าตัวเองเป็นคนดี ความเชื่อนี้จะเข้าไปเติมในส่วนจิตใต้สำนึก และไล่ความเชื่อเก่าๆ ที่ไม่ดีออกไป
3. อย่าเกลียดตัวเอง อย่าติตัวเอง ทำตัวเองให้ดีมากขึ้น น่ารักมากขึ้น เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นมากขึ้น ให้ชื่นชมตัวเองเสมอๆ ว่าเิริ่มคิดเป็นแล้ว เริ่มทำสิ่งที่ดีๆ ได้มากขึ้นแล้ว เราเก่งขึ้นดีขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้การมองตัวเองไม่ดีลดน้อยลง
4. ให้ถ่อมตัวรักเพื่อนมนุษย์มากขึ้น โดยมองว่าเขาก็มีความดีในขอบเขตของเรา เราจะรักความดีของเขา การรักษาบาดแผลทางกาย ต้องใช้เวลาและเทคนิคที่ละเอียดมาก ถ้าใครรักษาได้ก็จะมีความสุข

ถ้าใครรักษาไม่ได้และคอยซ้ำเติมบาดแผลชีวิตให้เจ็บปวดอยู่เรื่อยๆ ก็จะหาความสุขไม่ได้
ชีวิตก็ไม่สร้างสรรค์


   
   วิทยา นาควัชร "อยู่อย่างสง่า" พิมพ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ อมรินทร์พรินต์ติ้งแอนด์พลับบริชชิง จำกัด

ซึ่งเราต้องอาศัยการให้อภัยต่อคนอื่นที่สร้างความเจ็บช้ำให้กับเรา แม้กระทั่งเรายังต้องอภัยให้กับตนเองด้วย
มองไปที่พระเยซู พระองค์ยังให้อภัยเราได้ ไม่ว่าเราจะมีเรื่องอะไร ใหญ่แค่ไหนในชีวิต  พระเยซูคริสต์ให้อภัยเรา เราก็พร้อมที่จะให้อภัยคนอื่นเช่นกัน

โดยธรรมชาติบาปของมนุษย์แล้ว การจะรักเพื่อนมนุษย์มากขึ้น การไม่เกลียดตัวเอง การมองหาความดีของตนเอง และการให้อภัยคนที่ทำผิดพลาดกับเรา  ทำได้ยาก เพราะมนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์ที่มีบาปฝังลึกอยู่ในตัวตน สิ่งต่างๆเหล่านี้จึงทำได้ยากยิ่ง หรืออาจทำไม่ได้เลย   ด้วยเหตุนี้พระเยซูคริสต์จึงต้องเข้ามาในโลกเพื่อช่วยเรา สิ่งใดที่เราทำไม่ได้ ขอพระเยซูช่วย พระองค์ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มาอยู่กับเรา มาเคียงข้างเรา มาให้กำลังใจเรา  มาชี้ทางที่ถูกต้องให้  มาช่วยเราว่าเราจะทำได้อย่างไร ฯลฯ ด้วยเหตุนี้เอง บุคคลที่ต้อนรับพระเยซูไว้ในใจ ให้พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ให้พระองค์เป็นจอมเจ้านายในชีวิตของเรา  ให้พระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาผู้นั้นก็รอด
Rom 10:9 คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจของท่านว่าพระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด

รอด รอดจากอะไรบ้าง....

ช่วยให้รอดพ้นจากพระอาชญาของพระเจ้า
Rom 5:9 เพราะเหตุนั้นเมื่อเราเป็นคนชอบธรรมแล้วโดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นเราจะพ้นจากพระอาชญาของพระเจ้าโดย พระองค์

ช่วยคนบาปให้รอดพ้นจากบึงไฟนรก
1Tim 1:15 คำนี้เป็นคำจริงและสมควรที่คนทั้งปวงจะรับไว้ คือว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลก เพื่อจะได้ทรงช่วยคนบาปให้รอด และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอก

ช่วยจิตวิญญาณให้รอดได้ (มนุษย์มีจิตวิญญาณ  แต่มนุษย์ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าเหมือนกับว่าจิตวิญญาณนั้นได้ตาย เขาไม่รู้จักพระเจ้า เขาติดต่อกับพระเจ้าไม่ได้  จนเมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้วนั้น จิตวิญญาณที่หลับไหลได้เป็นขึ้นมาใหม่ ติดต่อสัมพันธ์กับพระเจ้าได้)
Jas 1:21 เหตุฉะนั้นจงเลิกความโสมมทั้งหลายแหล่ และการชั่วร้ายอันดกดื่น และจงน้อมใจรับพระวจนะที่ทรงปลูกฝังไว้แล้วนั้น ซึ่งสามารถช่วยจิตวิญญาณของท่านทั้งหลายให้รอดได้

รอดพ้นจากความตาย
Jas 5:20 จงให้ผู้นั้นรู้เถิดว่า ผู้ที่ช่วยคนบาปคนหนึ่งให้พ้นจากทางผิดของเขานั้น ก็ได้ช่วยจิตวิญญาณของเขาให้รอดพ้นจากความตาย และได้กำจัดบาปเสียมากมาย

รอดพ้นจากไฟ   ไฟแห่งการพิพากษาที่คนที่ไม่เชื่อจะต้องพบ (ดูจากบล็อกเรื่อง นรก แดนมรณา แดนคนตาย)
Jude 1:23 จงช่วยคนให้รอดด้วยการฉุดเขาออกจากไฟ และจงเมตตาผู้อื่นด้วยความยำเกรงพระเจ้า และจงรังเกียจแม้แต่เสื้อที่เปรอะเปื้อน ด้วยโลกีย์



ทั้งหมดนี้ เรารอดพ้นมิใช่เพราะการกระทำของเราเอง  แต่โดยพระคุณของพระเจ้า
Titus 3:5 พระองค์ได้ทรงช่วยเราให้รอด มิใช่ด้วยการกระทำที่ชอบธรรมของเราเอง แต่พระองค์ทรงพระกรุณาชำระให้เรามีใจบังเกิด​ ใหม่ และทรงสร้างเราขึ้นมาใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
Eph 2:8 ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประ ทานให้


ในพระธรรมวิวรณ์ พระธรรมเล่มสุดท้าย ได้กล่าวถึงบรรดาประชาชาติที่รับความรอดแล้วนั้น จะเดินเข้ามาในเมืองบริสุทธิ์ นครเยรูซาเล็มใหม่
Rev 21:24 บรรดาประชาชาติที่รอดแล้วจะเดินไปในท่ามกลางแสงสว่างของเมืองนั้น และบรรดากษัตริย์ในแผ่นดินโลกจะนำสง่าราศีและเกียรติของตนเข้ามาในเมืองนั้น



นี่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เราได้รับ คือ รับความรอด  ส่วนสิ่งเล็กน้อยอื่นๆนั้น จงยอมให้พระเจ้าเข้ามาทำการปัดกวาดสิ่งต่างๆที่ไม่สมบูรณ์ออกไปจากชีวิตเรา



ให้ผู้เชื่อใหม่อ่านพระธรรมลูกา บทที่ 4
1   พระเยซูทรงประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  ได้กลับไปจากแม่น้ำจอร์แดน  และพระวิญญาณได้ทรงนำพระองค์ไป
2   ถึงสี่สิบวันในถิ่นทุรกันดาร  ทรงถูกมารทดลอง  ในวันเหล่านั้นพระองค์มิได้เสวยอะไรเลย  และเมื่อสิ้นสี่สิบวันแล้ว  พระองค์ทรงอยากพระกระยาหาร
3   มารจึงทูลพระองค์ว่า  "ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า  จงสั่งก้อนหินนี้ให้กลายเป็นพระกระยาหาร"
4   ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบมารว่า  "มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า  มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้
5   แล้วมารจึงนำพระองค์ขึ้นไป  สำแดงบรรดาราชอาณาจักรทั่วพิภพในขณะเดียวให้พระองค์เห็น
6   แล้วมารได้ทูลพระองค์ว่า  "อำนาจทั้งสิ้นนี้  และศักดิ์ศรีของราชอาณาจักรนั้นเราจะยกให้แก่ท่าน  เพราะว่ามอบเป็นสิทธิ์ไว้แก่เราแล้ว  และเราปรารถนาจะให้แก่ผู้ใดก็จะให้แก่ผู้นั้น
7   เหตุฉะนั้นถ้าท่านจะกราบนมัสการเรา  สรรพสิ่งนั้นจะเป็นของท่านทั้งหมด"
8   ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบมารว่า  "มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า  จงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน  และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว
9   แล้วมารจึงนำพระองค์ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม  และให้พระองค์ประทับอยู่ที่ยอดหลังคาพระวิหาร  แล้วทูลพระองค์ว่า  "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า  จงโจนลงไปจากที่นี่เถิด
10   เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า  พระเจ้าจะรับสั่งให้เหล่าทูตของพระองค์ในเรื่องท่าน  ให้ป้องกันรักษาท่านไว้
11   และ  เหล่าทูตสวรรค์  จะเอามือประคองชูท่านไว้  มิให้เท้าของท่านกระทบหิน
12   พระเยซูจึงตรัสตอบมารว่า  "มีคำกล่าวไว้ว่า  อย่าทดลองพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน
13   เมื่อมารทำการทดลองทุกอย่างสิ้นแล้ว  จึงละพระองค์ไปจนถึงโอกาสเหมาะ
14   พระเยซูได้เสด็จกลับไปด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณยังแคว้นกาลิลี  และกิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือไปตามถิ่นโดยรอบ
15   พระองค์ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา  และได้รับความสรรเสริญจากคนทั้งปวง
16   แล้วพระองค์เสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ  เป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น  พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตตามเคย  และทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระธรรม
17   เขาจึงส่งพระคัมภีร์อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะให้แก่พระองค์  เมื่อพระองค์ทรงคลี่หนังสือนั้นออก  ก็ค้นพบข้อที่เขียนไว้ว่า
18   พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า  เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้  เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน  พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย  ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก  ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ
19   และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเป็นเจ้า
20   แล้วพระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่  แล้วทรงนั่งลง  และตาของคนทั้งปวงในธรรมศาลาก็เพ่งดูพระองค์
21   พระองค์จึงเริ่มตรัสแก่เขาว่า  "คัมภีร์ตอนนี้ที่ท่านได้ยินกับหูของท่านก็สำเร็จในวันนี้แล้ว"
22   คนทั้งปวงก็กล่าวชมเชยพระองค์  และประหลาดใจด้วยถ้อยคำอันประกอบด้วยคุณ  ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์  และว่า  "คนนี้เป็นบุตรของโยเซฟมิใช่หรือ"
23   พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า  "ท่านทั้งหลายคงจะกล่าวคำสุภาษิตข้อนี้แก่เราเป็นแน่  คือว่า  "หมอจงรักษาตัวเองเถิด  คือบรรดาการซึ่งเราได้ยินว่า  ท่านได้กระทำในเมืองคาเปอรนาอุมจงกระทำในเมืองของตนที่นี่ด้วย"
24   พระองค์ตรัสอีกว่า  "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า  ไม่มีผู้เผยพระวจนะคนใดได้รับการต้อนรับในเมืองของตน
25   แต่เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า  มีหญิงม่ายหลายคนในพวกอิสราเอล  ในคราวเอลียาห์เมื่อท้องฟ้าปิดเสียถึงสามปีกับหกเดือน  จึงเกิดกันดารอาหารมากทั่วแผ่นดิน
26   และเอลียาห์มิได้รับใช้ให้ไปหาหญิงม่ายคนใด  เว้นแต่หญิงม่ายคนหนึ่งในบ้านศาเรฟัทแขวงเมืองไซดอน
27   และมีคนโรคเรื้อนหลายคนในพวกอิสราเอลในคราวเอลีชาผู้เผยพระวจนะ  แต่ไม่มีผู้ใดได้รับการรักษาให้หายโรคนั้นเลย  เว้นแต่นาอามานชาวซีเรีย"
28   เมื่อคนทั้งปวงในธรรมศาลาได้ยินดังนั้นก็โกรธยิ่งนัก
29   จึงลุกขึ้นผลักพระองค์ออกจากเมือง  พาไปยังแง่ของเงื้อมเขาที่เมืองของเขาซึ่งตั้งอยู่บนเนินนั้น  หมายจะผลักพระองค์ลงไป
30   แต่พระองค์ทรงดำเนินผ่านท่ามกลางเขาพ้นไป
31   พระองค์เสด็จลงไปถึงเมืองคาเปอรนาอุมแคว้นกาลิลี  และได้ทรงสั่งสอนเขาทั้งหลายในวันสะบาโต
32   คนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจด้วยการสอนของพระองค์  เพราะคำของพระองค์ประกอบด้วยอำนาจ
33   มีคนหนึ่งในธรรมศาลาที่มีผีโสโครกเข้าสิง  เขาร้องเสียงดังว่า
34   "ไฮ้  พระเยซูชาวนาซาเร็ธ  ท่านมายุ่งกับเราทำไม  ท่านมาทำลายพวกเราหรือ  เรารู้ว่าท่านเป็นผู้ใด  ท่านคือองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า"
35   พระเยซูจึงตรัสห้ามมันว่า  "จงนิ่งเสีย  ออกมาจากเขาซีเมื่อผีนั้นได้ทำให้เขาล้มลงท่ามกลางประชุมชน  แล้วก็ออกมาจากเขาแต่มิได้ทำอันตรายเขาเลย
36   คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนัก  พูดกันว่า  "คนนี้เป็นอย่างไรหนอ  เพราะว่าท่านได้สั่งผีโสโครกด้วยสิทธิอำนาจและด้วยฤทธิ์เดช  มันก็ออกมา"
37   กิตติศัพท์ของพระองค์จึงได้เลื่องลือไปทุกตำบลที่อยู่รอบนั้น
38   ฝ่ายพระองค์ทรงลุกขึ้นออกจากธรรมศาลา  เสด็จเข้าไปในเรือนของซีโมน  แม่ยายซีโมนป่วยเป็นไข้หนัก  เขาทั้งหลายจึงอ้อนวอนพระองค์ให้ช่วยหญิงนั้น
39   พระองค์ทรงยืนอยู่ข้างคนเจ็บ  ทรงขนาบไข้  ไข้ก็หาย  และในทันใดนั้นแม่ยายของซีโมนก็ลุกขึ้นปรนนิบัติพระองค์กับพวกของพระองค์
40   ครั้นเวลาตะวันยอแสง  ใครมีคนเจ็บเป็นโรคต่างๆ  ก็พามาหาพระองค์  พระองค์ก็ทรงวางพระหัตถ์ถูกต้องเขาทุกคน  ให้เขาหายโรค
41   ผีก็ออกมาจากคนหลายคนด้วย  ร้องว่า  "ท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้าฝ่ายพระองค์ก็ทรงขนาบมัน  และไม่ให้มันพูด  เพราะว่ามันรู้แล้วว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์
42   ครั้นรุ่งเช้า  พระองค์เสด็จออกไปยังที่เปลี่ยว  ประชาชนเที่ยวเสาะหาพระองค์  ครั้นพบแล้วก็หน่วงเหนี่ยวพระองค์ไว้  ไม่ให้ไปจากเขา
43   แต่พระองค์ตรัสแก่เขาว่า  "เราต้องไปประกาศข่าวประเสริฐแห่งแผ่นดินของพระเจ้าแก่เมืองอื่นด้วย  เพราะว่าที่เราได้รับใช้มา  ก็เพราะเหตุนี้เอง"
44   พระองค์ทรงประกาศในธรรมศาลาทั่วยูเดีย  {ในที่นี้หมายถึงประเทศของพวกยิว  สำเนาต้นฉบับบางฉบับมีคำ  กาลิลี}



อธิษฐานด้วยกันกับผู้เชื่อใหม่ นำอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์เยียวยา รักษาบาดแผลภายในให้  ให้นำผู้เชื่อใหม่อธิษฐานยกโทษคนอื่นที่ทำผิดต่อเรา ให้นำอธิษฐานยกโทษตนเองด้วย



สุดท้าย ก็เป็นเพลงจากพระธรรมลูกา 4:18-19
 





  
อีกเพลงมาจากพระธรรมอิสยาห์ 61:1-3  พระธรรมตอนเดียวกันกับลูกา






อีกเพลงไหมครับ แถมท้าย ฟังสนุกๆ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น