จากครั้งที่แล้ว เราได้ดูภาพของชีวิตเราจากการตกอยู่ภายใต้การแช่งสาปจากชีวิตเดิมที่ไม่รู้จักกับพระเจ้า ไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า จนมารู้จักกับพระเจ้า พระเจ้าได้ปลดปล่อยเราให้พ้นจากการแช่งสาป และจะนำเราจนได้เข้าสู่สวนเอเดนใหม่ที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้กับเรานั่นก็คือ เมืองบริสุทธิ์ นครเยรูซาเล็มใหม่ (อ่านได้จากวิวรณ์ บทที่ 21-22)
มีอะไรบ้างในเมืองนั้น ท่านทั้งหลายลองอ่านดูนะครับ นั่นคือที่สุดท้ายสำหรับผู้เชื่อที่เราจะไป
สรุปอีกครั้ง ผู้เชื่อในสมัยปัจจุบันเมื่อล่วงหลับวิญญาณจิตจะไปอยู่กับพระเจ้าบนเมืองบรมสุขเกษม และเมื่อพระเยซูคริสต์กลับมา จะพาวิญญาณจิตของผู้เชื่อทั้งหลายนั้นกลับมาด้วย แล้ววิญญาณจิตนั้นจะรวมกับธุลีผงคลีเถ้าถ่านร่างกายของเราบนแผ่นดินโลก และเปลี่ยนแปลงกายใหม่เป็นกายวิญญาณ หลังจากนั้นจะครอบครองโลกเป็นระยะเวลาพันปี และมาจบลงที่นครเยรูซาเล็มใหม่ (ลองกลับไปอ่านเรื่องสวรรค์ เมืองบรมสุขเกษม)
ยังมีสิ่งเล็กๆน้อยๆที่เราต้องปัดกวาดออกไป ไม่ปล่อยให้ฝังลึกอยู่ในชีวิตเรา ครั้งที่แล้วได้เสนอแนะให้นำผู้เชื่อใหม่ตัดสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆในอดีตอย่างเป็นทางการด้วยการอธิษฐานร่วมกับเขา และนำเขาตัดความสัมพันธ์กับผีวิญญาณชั่วที่เคยเคารพบูชา หรือตัดความสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆที่เราฝังแน่นยึดแน่นไว้ในใจเรา หรือตัดสัมพันธ์กับสิ่งที่บรรพบุรุษของเราได้ยกเราให้กับสิ่งต่างๆ หรือตัดสัมพันธ์กับการสาปแช่งในอดีต ฯลฯ เป็นการพูดออกมาด้วยวาจาของเราเอง ว่าไม่ขอมีส่วนร่วมกับสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป โดยพระนามพระเยซูคริสต์
เพราะพระนามพระเยซูมีฤทธิ์อำนาจ เราใช้พระนามพระเยซูในการกล่าวคำอธิษฐานต่างๆ
ฟิลิปปี 2:9-11
Phil 2:9 เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูงที่สุดด้วย และได้ทรงประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์
Phil 2:10 เพื่อ `หัวเข่าทุกหัวเข่า' ในสวรรค์ก็ดี ที่แผ่นดินโลกก็ดี ใต้พื้นแผ่นดินโลกก็ดี `จะต้องคุกกราบลง' นมัสการในพระนามแห่งพระเยซูนั้น
Phil 2:11 และเพื่อ `ลิ้นทุกลิ้นจะยอมรับ' ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าพระบิดา
นอกจากนั้นก็อาจเป็นบาดแผลต่างๆในชีวิตเราที่ต้องการพระคุณพระเจ้ามาเยียวยารักษา พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ชื่อว่าเป็น พระผู้ปลอบประโลมใจ อีกผู้หนึ่ง (ยอห์น 14:16 ฉบับไทยคิงเจมส์) หมายความถึงเป็นตัวแทนของพระเยซูคริสต์ที่มาอยู่เคียงข้างเรา เป็นเหมือนองค์พระเยซูคริสต์ที่มาอยู่กับเราตลอดเวลา มาปลอบประโลมใจเรา อีกชื่อคือ พระวิญญาณแห่งความจริง (ยอห์น 14:17) นำความจริงทุกสิ่งมาเปิดเผยให้เราทราบ จะเข้ามาทำหน้าที่เยียวยารักษาบาดแผลต่างๆเหล่านั้นให้กับเรา
บาดแผล เช่น
· รากขมขื่น
· การขาดครอบครัวดูแล หรือครอบครัวขาดความรัก ฯลฯ
· บาดแผลในวัยเด็กฝังลึก
· ประสบการณ์ที่ไม่ดีในอดีต
· หรือความเจ็บช้ำน้ำใจจากคนรักทำให้
จากเว็บ ได้มีข้อเขียนว่า
บาดแผลชีวิต คือ ประสบการณ์ที่ไม่ดีในชีวิตตั้งแต่วัยเด็กตลอดมา เช่น การถูกด่า ถูกว่า ถูกเปรียบเทียบ ได้รับการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม ผิดหวัง อกหัก สอบตก ถูกทำร้าย ถูกเอาเปรียบ พ่อแม่ลงโทษมากไป ครูอาจารย์ด่าว่าลงโทษจนเกินเหตุ การร้บน้องใหม่ที่โหดร้ายทารุณ ฯลฯ ซึ่งเรามักจะเก็บเอาไว้ในส่วนของจิตใต้สำนึก
บางคนเรียกว่า รอยกรรม
บางคนเรียกว่า รอยกรรม
บางคนเรียกว่า หนามชีวิต
สิ่งเหล่านี้จะคอยทิ่มแทงจิตสำนึกของเราให้ไม่มีความสุข นึกถึงแต่ความต่ำต้อย เจ็บปวด เกิดเป็นความอาฆาตแค้น ก้าวร้าว เหรือเกิดเป็นปมด้อย ทำให้กดเก็บปกปิดตัวเอง เพราะคิดว่าตัวเองต่ำต้อย
เกิดเป็นลักษณะและนิสัยที่ไม่พึงปรารถนา เช่น อาฆาต ก้าวร้าย อิจฉาริษยา ใจน้อย แสนงอน ขี้อายมากๆ หรือซึมเศร้า หลีกหนีสังคม ขาดความมั่นใจตัวเอง หรือต่อต้านสังคม
บาดแผลชีวิตในจิตใต้สำนึกนี้จะส่งผลไปที่จิตสำนักให้ไม่มีควาสุข เวลาจะตัดสินใจทำสิ่งใดก็จะทำไปด้วยความไม่รักเพื่อนมนุษย์และไม่รักตัวเอง ทำให้การทำงานหรือกิจกรรมชีวิตเหล่านั้นไม่สร้างสรรค์ ผลตอบแทนหรือผลลัพธ์ก็ไม่ดี ทำให้นำไปเก็บเพิ่มเติมไว้ในส่วนของจิตใต้สำนึกที่ไม่ดีมากยิ่งขึ้น เป็นวงจรที่ไม่ดีตลอดไป
การจะรักษาบาดแผลชีวิตในจิตใต้สำนึกให้หายไปนั้นต้องนึกถึง
1. รู้จักอภัยคนที่ทำผิดพลาดกับเรา ว่าเขาทำไปด้วยความไม่รู้ หรือด้วยวิบากกรรมที่เราเคยทำกับเขามา เขาจึงมากระทำไม่ดีกับเรา จงถ่อมตัวยอมรับสิ่งนั้นเสีย และเร่งทำความดีให้มากขึ้น โดยการช่วยเหลือตัวเองและผู้อื่นให้มากขึ้น รักตัวเองและผู้อื่นให้มากขึ้น ผลแห่งการทำความดีนี้จะทำให้เราได้รับสิ่งที่ดีๆตอบแทน และให้ทำความดีมากขึ้นๆ ตลอดไปด้วย
2. ให้มองหาความดีของตนที่ได้กระทำมาแล้วบางอย่างและให้นึกซ้ำๆ ในช่วงที่วิ่งเหยาะๆ จำทำให้เกิดความเชื่อว่าตัวเองเป็นคนดี ความเชื่อนี้จะเข้าไปเติมในส่วนจิตใต้สำนึก และไล่ความเชื่อเก่าๆ ที่ไม่ดีออกไป
3. อย่าเกลียดตัวเอง อย่าติตัวเอง ทำตัวเองให้ดีมากขึ้น น่ารักมากขึ้น เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นมากขึ้น ให้ชื่นชมตัวเองเสมอๆ ว่าเิริ่มคิดเป็นแล้ว เริ่มทำสิ่งที่ดีๆ ได้มากขึ้นแล้ว เราเก่งขึ้นดีขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้การมองตัวเองไม่ดีลดน้อยลง
4. ให้ถ่อมตัวรักเพื่อนมนุษย์มากขึ้น โดยมองว่าเขาก็มีความดีในขอบเขตของเรา เราจะรักความดีของเขา การรักษาบาดแผลทางกาย ต้องใช้เวลาและเทคนิคที่ละเอียดมาก ถ้าใครรักษาได้ก็จะมีความสุข
ถ้าใครรักษาไม่ได้และคอยซ้ำเติมบาดแผลชีวิตให้เจ็บปวดอยู่เรื่อยๆ ก็จะหาความสุขไม่ได้
ชีวิตก็ไม่สร้างสรรค์
วิทยา นาควัชร "อยู่อย่างสง่า" พิมพ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ อมรินทร์พรินต์ติ้งแอนด์พลับบริชชิง จำกัด
วิทยา นาควัชร "อยู่อย่างสง่า" พิมพ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ อมรินทร์พรินต์ติ้งแอนด์พลับบริชชิง จำกัด
ซึ่งเราต้องอาศัยการให้อภัยต่อคนอื่นที่สร้างความเจ็บช้ำให้กับเรา แม้กระทั่งเรายังต้องอภัยให้กับตนเองด้วย
มองไปที่พระเยซู พระองค์ยังให้อภัยเราได้ ไม่ว่าเราจะมีเรื่องอะไร ใหญ่แค่ไหนในชีวิต พระเยซูคริสต์ให้อภัยเรา เราก็พร้อมที่จะให้อภัยคนอื่นเช่นกัน
โดยธรรมชาติบาปของมนุษย์แล้ว การจะรักเพื่อนมนุษย์มากขึ้น การไม่เกลียดตัวเอง การมองหาความดีของตนเอง และการให้อภัยคนที่ทำผิดพลาดกับเรา ทำได้ยาก เพราะมนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์ที่มีบาปฝังลึกอยู่ในตัวตน สิ่งต่างๆเหล่านี้จึงทำได้ยากยิ่ง หรืออาจทำไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้พระเยซูคริสต์จึงต้องเข้ามาในโลกเพื่อช่วยเรา สิ่งใดที่เราทำไม่ได้ ขอพระเยซูช่วย พระองค์ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มาอยู่กับเรา มาเคียงข้างเรา มาให้กำลังใจเรา มาชี้ทางที่ถูกต้องให้ มาช่วยเราว่าเราจะทำได้อย่างไร ฯลฯ ด้วยเหตุนี้เอง บุคคลที่ต้อนรับพระเยซูไว้ในใจ ให้พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ให้พระองค์เป็นจอมเจ้านายในชีวิตของเรา ให้พระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาผู้นั้นก็รอด
Rom 10:9 คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจของท่านว่าพระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด
รอด รอดจากอะไรบ้าง....
ช่วยให้รอดพ้นจากพระอาชญาของพระเจ้า
Rom 5:9 เพราะเหตุนั้นเมื่อเราเป็นคนชอบธรรมแล้วโดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นเราจะพ้นจากพระอาชญาของพระเจ้าโดย พระองค์
ช่วยคนบาปให้รอดพ้นจากบึงไฟนรก
1Tim 1:15 คำนี้เป็นคำจริงและสมควรที่คนทั้งปวงจะรับไว้ คือว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลก เพื่อจะได้ทรงช่วยคนบาปให้รอด และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอก
ช่วยจิตวิญญาณให้รอดได้ (มนุษย์มีจิตวิญญาณ แต่มนุษย์ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าเหมือนกับว่าจิตวิญญาณนั้นได้ตาย เขาไม่รู้จักพระเจ้า เขาติดต่อกับพระเจ้าไม่ได้ จนเมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้วนั้น จิตวิญญาณที่หลับไหลได้เป็นขึ้นมาใหม่ ติดต่อสัมพันธ์กับพระเจ้าได้)
Jas 1:21 เหตุฉะนั้นจงเลิกความโสมมทั้งหลายแหล่ และการชั่วร้ายอันดกดื่น และจงน้อมใจรับพระวจนะที่ทรงปลูกฝังไว้แล้วนั้น ซึ่งสามารถช่วยจิตวิญญาณของท่านทั้งหลายให้รอดได้
รอดพ้นจากความตาย
Jas 5:20 จงให้ผู้นั้นรู้เถิดว่า ผู้ที่ช่วยคนบาปคนหนึ่งให้พ้นจากทางผิดของเขานั้น ก็ได้ช่วยจิตวิญญาณของเขาให้รอดพ้นจากความตาย และได้กำจัดบาปเสียมากมาย
รอดพ้นจากไฟ ไฟแห่งการพิพากษาที่คนที่ไม่เชื่อจะต้องพบ (ดูจากบล็อกเรื่อง นรก แดนมรณา แดนคนตาย)
Jude 1:23 จงช่วยคนให้รอดด้วยการฉุดเขาออกจากไฟ และจงเมตตาผู้อื่นด้วยความยำเกรงพระเจ้า และจงรังเกียจแม้แต่เสื้อที่เปรอะเปื้อน ด้วยโลกีย์
ทั้งหมดนี้ เรารอดพ้นมิใช่เพราะการกระทำของเราเอง แต่โดยพระคุณของพระเจ้า
Titus 3:5 พระองค์ได้ทรงช่วยเราให้รอด มิใช่ด้วยการกระทำที่ชอบธรรมของเราเอง แต่พระองค์ทรงพระกรุณาชำระให้เรามีใจบังเกิด ใหม่ และทรงสร้างเราขึ้นมาใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
Eph 2:8 ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประ ทานให้
ในพระธรรมวิวรณ์ พระธรรมเล่มสุดท้าย ได้กล่าวถึงบรรดาประชาชาติที่รับความรอดแล้วนั้น จะเดินเข้ามาในเมืองบริสุทธิ์ นครเยรูซาเล็มใหม่
Rev 21:24 บรรดาประชาชาติที่รอดแล้วจะเดินไปในท่ามกลางแสงสว่างของเมืองนั้น และบรรดากษัตริย์ในแผ่นดินโลกจะนำสง่าราศีและเกียรติของตนเข้ามาในเมืองนั้น
นี่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เราได้รับ คือ รับความรอด ส่วนสิ่งเล็กน้อยอื่นๆนั้น จงยอมให้พระเจ้าเข้ามาทำการปัดกวาดสิ่งต่างๆที่ไม่สมบูรณ์ออกไปจากชีวิตเรา
ให้ผู้เชื่อใหม่อ่านพระธรรมลูกา บทที่ 4
1 พระเยซูทรงประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้กลับไปจากแม่น้ำจอร์แดน และพระวิญญาณได้ทรงนำพระองค์ไป
2 ถึงสี่สิบวันในถิ่นทุรกันดาร ทรงถูกมารทดลอง ในวันเหล่านั้นพระองค์มิได้เสวยอะไรเลย และเมื่อสิ้นสี่สิบวันแล้ว พระองค์ทรงอยากพระกระยาหาร
3 มารจึงทูลพระองค์ว่า "ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินนี้ให้กลายเป็นพระกระยาหาร"
4 ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบมารว่า "มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้
5 แล้วมารจึงนำพระองค์ขึ้นไป สำแดงบรรดาราชอาณาจักรทั่วพิภพในขณะเดียวให้พระองค์เห็น
6 แล้วมารได้ทูลพระองค์ว่า "อำนาจทั้งสิ้นนี้ และศักดิ์ศรีของราชอาณาจักรนั้นเราจะยกให้แก่ท่าน เพราะว่ามอบเป็นสิทธิ์ไว้แก่เราแล้ว และเราปรารถนาจะให้แก่ผู้ใดก็จะให้แก่ผู้นั้น
7 เหตุฉะนั้นถ้าท่านจะกราบนมัสการเรา สรรพสิ่งนั้นจะเป็นของท่านทั้งหมด"
8 ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบมารว่า "มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า จงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว
9 แล้วมารจึงนำพระองค์ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และให้พระองค์ประทับอยู่ที่ยอดหลังคาพระวิหาร แล้วทูลพระองค์ว่า "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงโจนลงไปจากที่นี่เถิด
10 เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า พระเจ้าจะรับสั่งให้เหล่าทูตของพระองค์ในเรื่องท่าน ให้ป้องกันรักษาท่านไว้
11 และ เหล่าทูตสวรรค์ จะเอามือประคองชูท่านไว้ มิให้เท้าของท่านกระทบหิน
12 พระเยซูจึงตรัสตอบมารว่า "มีคำกล่าวไว้ว่า อย่าทดลองพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน
13 เมื่อมารทำการทดลองทุกอย่างสิ้นแล้ว จึงละพระองค์ไปจนถึงโอกาสเหมาะ
14 พระเยซูได้เสด็จกลับไปด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณยังแคว้นกาลิลี และกิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือไปตามถิ่นโดยรอบ
15 พระองค์ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา และได้รับความสรรเสริญจากคนทั้งปวง
16 แล้วพระองค์เสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ เป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตตามเคย และทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระธรรม
17 เขาจึงส่งพระคัมภีร์อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะให้แก่พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่หนังสือนั้นออก ก็ค้นพบข้อที่เขียนไว้ว่า
18 พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ
19 และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเป็นเจ้า
20 แล้วพระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่ แล้วทรงนั่งลง และตาของคนทั้งปวงในธรรมศาลาก็เพ่งดูพระองค์
21 พระองค์จึงเริ่มตรัสแก่เขาว่า "คัมภีร์ตอนนี้ที่ท่านได้ยินกับหูของท่านก็สำเร็จในวันนี้แล้ว"
22 คนทั้งปวงก็กล่าวชมเชยพระองค์ และประหลาดใจด้วยถ้อยคำอันประกอบด้วยคุณ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ และว่า "คนนี้เป็นบุตรของโยเซฟมิใช่หรือ"
23 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า "ท่านทั้งหลายคงจะกล่าวคำสุภาษิตข้อนี้แก่เราเป็นแน่ คือว่า "หมอจงรักษาตัวเองเถิด คือบรรดาการซึ่งเราได้ยินว่า ท่านได้กระทำในเมืองคาเปอรนาอุมจงกระทำในเมืองของตนที่นี่ด้วย"
24 พระองค์ตรัสอีกว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ไม่มีผู้เผยพระวจนะคนใดได้รับการต้อนรับในเมืองของตน
25 แต่เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มีหญิงม่ายหลายคนในพวกอิสราเอล ในคราวเอลียาห์เมื่อท้องฟ้าปิดเสียถึงสามปีกับหกเดือน จึงเกิดกันดารอาหารมากทั่วแผ่นดิน
26 และเอลียาห์มิได้รับใช้ให้ไปหาหญิงม่ายคนใด เว้นแต่หญิงม่ายคนหนึ่งในบ้านศาเรฟัทแขวงเมืองไซดอน
27 และมีคนโรคเรื้อนหลายคนในพวกอิสราเอลในคราวเอลีชาผู้เผยพระวจนะ แต่ไม่มีผู้ใดได้รับการรักษาให้หายโรคนั้นเลย เว้นแต่นาอามานชาวซีเรีย"
28 เมื่อคนทั้งปวงในธรรมศาลาได้ยินดังนั้นก็โกรธยิ่งนัก
29 จึงลุกขึ้นผลักพระองค์ออกจากเมือง พาไปยังแง่ของเงื้อมเขาที่เมืองของเขาซึ่งตั้งอยู่บนเนินนั้น หมายจะผลักพระองค์ลงไป
30 แต่พระองค์ทรงดำเนินผ่านท่ามกลางเขาพ้นไป
31 พระองค์เสด็จลงไปถึงเมืองคาเปอรนาอุมแคว้นกาลิลี และได้ทรงสั่งสอนเขาทั้งหลายในวันสะบาโต
32 คนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจด้วยการสอนของพระองค์ เพราะคำของพระองค์ประกอบด้วยอำนาจ
33 มีคนหนึ่งในธรรมศาลาที่มีผีโสโครกเข้าสิง เขาร้องเสียงดังว่า
34 "ไฮ้ พระเยซูชาวนาซาเร็ธ ท่านมายุ่งกับเราทำไม ท่านมาทำลายพวกเราหรือ เรารู้ว่าท่านเป็นผู้ใด ท่านคือองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า"
35 พระเยซูจึงตรัสห้ามมันว่า "จงนิ่งเสีย ออกมาจากเขาซี" เมื่อผีนั้นได้ทำให้เขาล้มลงท่ามกลางประชุมชน แล้วก็ออกมาจากเขาแต่มิได้ทำอันตรายเขาเลย
36 คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนัก พูดกันว่า "คนนี้เป็นอย่างไรหนอ เพราะว่าท่านได้สั่งผีโสโครกด้วยสิทธิอำนาจและด้วยฤทธิ์เดช มันก็ออกมา"
37 กิตติศัพท์ของพระองค์จึงได้เลื่องลือไปทุกตำบลที่อยู่รอบนั้น
38 ฝ่ายพระองค์ทรงลุกขึ้นออกจากธรรมศาลา เสด็จเข้าไปในเรือนของซีโมน แม่ยายซีโมนป่วยเป็นไข้หนัก เขาทั้งหลายจึงอ้อนวอนพระองค์ให้ช่วยหญิงนั้น
39 พระองค์ทรงยืนอยู่ข้างคนเจ็บ ทรงขนาบไข้ ไข้ก็หาย และในทันใดนั้นแม่ยายของซีโมนก็ลุกขึ้นปรนนิบัติพระองค์กับพวกของพระองค์
40 ครั้นเวลาตะวันยอแสง ใครมีคนเจ็บเป็นโรคต่างๆ ก็พามาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงวางพระหัตถ์ถูกต้องเขาทุกคน ให้เขาหายโรค
41 ผีก็ออกมาจากคนหลายคนด้วย ร้องว่า "ท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า" ฝ่ายพระองค์ก็ทรงขนาบมัน และไม่ให้มันพูด เพราะว่ามันรู้แล้วว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์
42 ครั้นรุ่งเช้า พระองค์เสด็จออกไปยังที่เปลี่ยว ประชาชนเที่ยวเสาะหาพระองค์ ครั้นพบแล้วก็หน่วงเหนี่ยวพระองค์ไว้ ไม่ให้ไปจากเขา
43 แต่พระองค์ตรัสแก่เขาว่า "เราต้องไปประกาศข่าวประเสริฐแห่งแผ่นดินของพระเจ้าแก่เมืองอื่นด้วย เพราะว่าที่เราได้รับใช้มา ก็เพราะเหตุนี้เอง"
44 พระองค์ทรงประกาศในธรรมศาลาทั่วยูเดีย {ในที่นี้หมายถึงประเทศของพวกยิว สำเนาต้นฉบับบางฉบับมีคำ กาลิลี}
อธิษฐานด้วยกันกับผู้เชื่อใหม่ นำอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์เยียวยา รักษาบาดแผลภายในให้ ให้นำผู้เชื่อใหม่อธิษฐานยกโทษคนอื่นที่ทำผิดต่อเรา ให้นำอธิษฐานยกโทษตนเองด้วย
สุดท้าย ก็เป็นเพลงจากพระธรรมลูกา 4:18-19
อีกเพลงมาจากพระธรรมอิสยาห์ 61:1-3 พระธรรมตอนเดียวกันกับลูกา
อีกเพลงไหมครับ แถมท้าย ฟังสนุกๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น