เราได้ดูชีวิตมนุษย์กันมาหลายครั้งแล้ว เรื่องการตกอยู่ภายใต้การแช่งสาป เรื่องการเยียวยาบาดแผลภายใน และนั่นเป็นเหตุที่เราต้องประกาศนำเขามารู้จักพระเจ้า ซึ่งเราได้ดูวิธีการเป็นพยานไปในครั้งที่แล้ว ถ้าเขาผู้นั้นตัดสินใจต้อนรับพระคริสต์ ชีวิตใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นภายในผู้นั้นแล้ว เราควรปูพื้นฐานพระวจนะอะไรในชีวิตของเขา ผมขอใช้แนวทางจากในพระธรรมฮีบรูมาประกอบการเขียนครับ
ฮีบรู 6:1-3
1 เหตุฉะนั้นขอให้เราผ่านหลักธรรมเบื้องต้นแห่งคริสตศาสนา ไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ไม่วางรากฐานซ้ำอีก คือเรื่องการกลับใจจากการประพฤติที่นำไปสู่ความตาย เรื่องความเชื่อในพระเจ้า
2 และคำสอนว่าด้วยพิธีล้างชำระ และพิธีวางมือ และการเป็นขึ้นมาจากตาย และการพิพากษาลงโทษเป็นนิตย์นั้น
3 ถ้าพระเจ้าจะทรงโปรดอนุญาต เราก็จะได้ก้าวหน้าไปอย่างนี้
ความจริงแล้วไม่ค่อยชอบการแปลพระคัมภีร์แบบนี้เลย “คริสตศาสนา” ผู้เชื่อทุกคนต้องรู้ว่าเรามาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่มาเชื่อในศาสนาคริสต์ ศาสนาคือหลักคำสอน แต่ที่เราเชื่อคือตัวองค์พระเยซูคริสต์ เป็นตัวบุคคลที่เป็นพระเจ้าที่สามารถช่วยเราได้ เป็นความหวังให้กับเรา ให้สันติสุข ให้ความรอด ฯลฯ ให้กับเราแบบที่ศาสนาไม่ว่าศาสนาใดในโลกนี้สามารถทำได้ ศาสนาสอนดีไหม? สอนดี แต่เราทำไม่ได้ อะไรผิด? ทำไมเราทำไม่ได้ เพราะเราไม่มีกำลังที่จะทำ
โรม 7:12-13
12 เหตุฉะนั้นธรรมบัญญัติจึงเป็นสิ่งบริสุทธิ์ และข้อบัญญัติก็บริสุทธิ์ยุติธรรมและดีงาม
13 ถ้าเช่นนั้น สิ่งที่ดีกลับทำให้ข้าพเจ้าต้องตายหรือ หามิได้ บาปต่างหาก คือบาปซึ่งอาศัยสิ่งที่ดีนั้นทำให้ข้าพเจ้าต้องตาย เพื่อจะให้ปรากฏว่าบาปนั้นเป็นบาปจริง และโดยอาศัยธรรมบัญญัตินั้น บาปก็ปรากฏว่าชั่วร้ายยิ่งนัก
คำสอนของศาสนาสอนดีไหม? สอนดี แต่เราทำไม่ได้ ที่เราทำไม่ได้เพราะบาปที่อยู่ในตัวเรา อำนาจบาปที่อยู่ในตัวเรา อำนาจบาปที่นำให้คนทั้งโลกไปสู่ขุมนรกนั้น
โรม 7:15-20
15 ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำ แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น
16 เหตุฉะนั้นถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาที่จะทำ และข้าพเจ้ายอมรับว่าธรรมบัญญัตินั้นดี
17 ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมิใช่ผู้กระทำ แต่ว่าบาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้ทำ
18 ด้วยว่าในตัวข้าพเจ้า คือในตัวของข้าพเจ้าไม่มีความดีประการใดอยู่เลย เพราะว่าเจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่ซึ่งจะกระทำการดีนั้นข้าพเจ้าหาได้กระทำไม่
19 ด้วยว่าการดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่
20 ถ้าแม้ข้าพเจ้ายังทำสิ่งซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะทำ ก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำ แต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้กระทำ
นี่คือคำพูดของอ.เปาโลที่น่าสมเพชชีวิตตนเองยิ่งนัก ไม่เข้าใจตัวเอง รู้ว่าอะไรดี แต่ไม่ทำ ไปทำสิ่งที่น่าเกลียดน่าชัง นี่เป็นชีวิตของมนุษย์ทุกคนใช่ไหม รู้ว่าอะไรดี รู้ว่าศาสนาสอนเราให้เราเป็นคนดี รู้ทั้งรู้ว่าอะไรดีถูกต้อง แต่ไม่ทำ ทำไม่ได้ กลับไปทำสิ่งที่ไม่อยากทำ เปาโลบอกว่า ถ้าเรายังทำสิ่งที่เราไม่ปรารถนาจะทำ นั่นก็เพราะบาปที่อยู่ในตัวเราเป็นผู้กระทำ อำนาจฝ่ายต่ำในตัวเรากระทำ
โรม 7:23-24
23 แต่ข้าพเจ้าเห็นมีกฎอีกอย่างหนึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า ซึ่งต่อสู้กับกฎแห่งจิตใจของข้าพเจ้า และชักนำให้ข้าพเจ้าอยู่ใต้บังคับกฎแห่งบาป ซึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า
24 โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้ ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายนี้ซึ่งเป็นของความตายได้
แล้วใครจะช่วยเราได้ เปาโลร้อง ใครจะช่วยเราให้พ้นจากกฏแห่งบาป กฏแห่งบาปที่ชักนำให้เราทำสิ่งที่ผิดจริยธรรม สิ่งที่ผิดต่อศีลธรรมอันดีที่อยู่ในใจเรา(กฎแห่งจิตใจ)
โรม 7:25
25 ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ฉะนั้นทางด้านจิตใจของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าเชื่อฟังกฎของพระเจ้า แต่ด้านฝ่ายเนื้อหนังของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นทาสของกฎแห่งบาป
เปาโลขอบพระคุณพระเจ้า เพราะโดยพระเยซูคริสต์ ได้ไถ่เราแล้ว ได้ล้างบาปผิดโทษทัณฑ์แห่งบาปไปหมดสิ้นแล้ว สิ่งที่คงเหลืออยู่ในชีวิตของเราคือเนื้อหนังของเราซึ่งอยู่ภายใต้กฏแห่งบาป เมื่อใดที่เรายอมให้เนื้อหนังของเรามีอิทธิพลต่อชีวิตเรา เราก็กลายเป็นทาสของกฏแห่งบาป ทาสไม่ได้เป็นเจ้าของตนเอง เขาเป็นทาส เขาไม่มีสิทธิคิดอะไร ทำอะไรเองได้ เขาต้องทำตามที่นายสั่งเท่านั้น (นายในที่นี้ได้แก่กฏแห่งบาป)
เราผู้เชื่อได้รับการไถ่แล้ว รอดพ้นจากความผิดบาปแล้ว เราต้องไม่ยกชีวิตเราให้อยู่ใต้อำนาจบาปอีกต่อไป พระเจ้าจะช่วยเรา ค่อยๆขัดสีฉวีวรรณชีวิตเราให้สวยสดงดงามมากขึ้นเรื่อยๆ กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวนะครับ ชีวิตเราพระเจ้ากำลังสร้าง กำลังขัดเกลา ปรับปรุงตกแต่งให้สวยงามมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเราติดตามพระเจ้าไปนานๆ เรายิ่งรับการเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ
จะมีเพียงกรณีที่เรายอมตกอยู่ภายใต้อำนาจบาป เรายกสิทธิแห่งการไถ่นั้นไปให้มารใช้ เรายอมมาร เราไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์อำนาจช่วยเราทั้งหลายทุกคนได้
โรม 8:1-2
1 เหตุฉะนั้นการลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์
2 เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ ได้ทำให้ข้าพเจ้าพ้นจากกฎแห่งบาปและความตาย
ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครมาทำอันตรายเราได้ ไม่มีการลงโทษใดใดมาถึงชีวิตเราได้ ไม่มีการแช่งสาปใดใดตกทอดมาสู่เราได้ เราเป็นลูกของพระเยซูคริสต์ เราอยู่ภายใต้กฏใหม่แล้ว คือกฏของพระวิญญาณแห่งชีวิต เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฏแห่งบาปและความตายอีกต่อไป ยกเว้นแต่เรายอมให้เนื้อหนังเรามีอำนาจเหนือเรา เราถึงต้องปราบ ต้องทุบตีเนื้อหนังของเราให้อยู่มือ 1 โครินธ์ 9:27 (เขียนมาถึงตรงนี้ อนาคตคงต้องเขียนเรื่องชีวิตคริสเตียนที่อยู่ภายใต้อำนาจของเนื้อหนังแทนที่จะอยู่ภายใต้พระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย)
โรม 8:5-6
5 เพราะว่าคนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง ก็ปักใจในสิ่งซึ่งเป็นของของเนื้อหนัง แต่คนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายพระวิญญาณ ก็สนใจในสิ่งซึ่งเป็นของพระวิญญาณ
6 ด้วยว่าซึ่งปักใจอยู่กับเนื้อหนัง ก็คือความตาย และซึ่งปักใจอยู่กับพระวิญญาณก็คือชีวิตและสันติสุข
สรุปตอนนี้ว่า เมื่อเราเชื่อเป็นคริสเตียน เราไม่ได้อยู่ใต้กฏแห่งบาปอีกต่อไป พระเยซูไถ่ให้แล้ว แต่ในตัวเรายังมีตัวเก่าอยู่ คือ เนื้อหนังของเรา ซึ่งจะต้องขอพระเยซูชำระและเราเองก็ต้องตัดสินใจยอมตายต่อตนเองด้วย ในขณะเดียวกันก็มีพระวิญญาณพระเจ้าอยู่ในชีวิตเรา เป็นสิ่งใหม่เกิดขึ้นเมื่อเรามาเชื่อ ซึ่งสองสิ่งนี้ต่อสู้กันอยู่ คริสเตียนจึงต้องสนับสนุนพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้ยิ่งนานวันยิ่งทวีกำลังมากขึ้นในชีวิตเรา ด้วยการให้อาหารฝ่ายวิญญาณคือพระคัมภีร์ ออกกำลังกายความเชื่อด้วยการอธิษฐาน สัมพันธ์สนิทกับพระคริสต์ สำหรับผู้เชื่อเมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ดีที่สุดคือแนะนำให้เขาอ่านพระคัมภีร์ทุกวันเริ่มจากเล่มที่ง่ายๆที่สุดก่อนเช่นมาระโกเป็นต้น อย่าเอาอย่างผมเลย เมื่อผมเชื่อเล่มที่ผมอ่านก่อนคือวิวรณ์เพราะอยากรู้ (นั่นยากเกินไปสำหรับผู้เชื่อใหม่ๆ) อ่านพระคัมภีร์ไปเรื่อยๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนความเข้าใจให้กับผู้เชื่อเอง นอกจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยังมีผู้เชื่อเก่าที่ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลสมัยเริ่มต้นเชื่อ เหมือนต้นไม้เวลาเริ่มงอกขึ้นมาใหม่ๆ เราจะเห็นมีใบเลี้ยงสำหรับระยะแรกๆ นอกจากพระคัมภีร์แล้วก็อธิษฐานด้วยกัน ผู้เชื่อใหม่จะเรียนรู้การอธิษฐานจากตัวของเราที่อธิษฐานร่วมกับเขา
เขียนมาเสียยาวยังไม่ได้เข้าเรื่องการกลับใจใหม่เลย
ในข้อ 1 ของฮีบรูบทที่ 6 บอกว่าให้เราผ่านหลักธรรมเบื้องต้น ในภาษาแปลเดิม ไทยคิงเจมส์ บอกว่า Heb 6:1 เหตุฉะนั้นให้เราละประถมโอวาทของพระคริสต์ไว้ และให้เราก้าวหน้าไปถึงความบริบูรณ์ อย่าเอาสิ่งเหล่านี้มาวางเป็นรากอีกเลย คือการกลับใจเสียใหม่จากการกระทำที่ตายแล้ว และความเชื่อในพระเจ้า
ให้เราละประถมโอวาทของพระคริสต์ไว้ อาเมน.. แปลอย่างนี้ค่อยน่าฟังหน่อย ดีกว่าแปลว่า ผ่านหลักธรรมเบื้องต้นแห่งคริสตศาสนา แปลแบบฉบับปี 1971 เลยเขียนเสียยาวเลย
ละประถมโอวาทของพระคริสต์ = ให้เราผ่านโอวาทเบื้องต้น คำสอนเบื้องต้นของพระคริสต์ ซึ่งได้แก่
1. การกลับใจจากการประพฤติที่นำไปสู่ความตาย
2. เรื่องความเชื่อในพระเจ้า
3. คำสอนว่าด้วยพิธีล้างชำระ
4. พิธีวางมือ
5. การเป็นขึ้นมาจากตาย
6. การพิพากษาลงโทษเป็นนิตย์นั้น
ในภาษากรีก ก็พูดแบบเดียวกับฉบับไทยคิงเจมส์ ให้ผ่านพระวจนะ(Logos)เริ่มแรก ให้ผ่านไปข้างหน้า ครับ 6 อย่างนั้นคือจุดเริ่มต้น ไปสู่คำสอนอื่นๆต่อไป เพื่อเราจะเติบโตขึ้นสู่ความไพบูลย์ หกอย่างนี้ก็เป็นเหมือนน้ำนมฝ่ายวิญญาณที่ใช้เลี้ยงดูทารกแรกเกิด ทารกแรกเกิดหรือผู้เชื่อใหม่เขายังทานอาหารแข็งไม่ได้ อาหารแข็งเหมาะสำหรับผู้ใหญ่ ถูกฝึกให้มีวิจารณญาณแล้ว
ฮีบรู 5:14 อาหารแข็งเป็นอาหารสำหรับผู้ใหญ่ สำหรับผู้ที่ได้รับการฝึกหัดอบรมให้สามารถรู้จักผิดชอบชั่วดีแล้ว
สำหรับสัปดาห์นี้ขอหยุดไว้ที่ตรงนี้ก่อนครับ แล้วสัปดาห์หน้าถึงค่อยมาเริ่มดูเรื่องการกลับใจใหม่ด้วยกัน
ขอบพระคุณองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์
ตอบลบเพราะโดยพระองค์แล้ว
เราจึงมิได้ถูกจำกัดด้วยภาษา..