วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ชีวิตพระเยซูคริสต์ : คำอุปมาเรื่องยกโทษมาก รักมาก ยกโทษน้อย รักน้อย


มาดูกันต่อครับ

Luke 7:36 มีคนหนึ่งในพวกฟาริสีเชิญพระองค์ไปเสวยพระกระยาหารกับเขาพระองค์ก็เสด็จเข้าไปในเรือนของคนฟาริสีคนนั้น แล้วเอนพระกายลง
Luke 7:37 และดูเถิด มีผู้หญิงคนหนึ่งของเมืองนั้นเคยเป็นหญิงชั่ว เมื่อรู้ว่าพระองค์ทรงเอนพระกายเสวยอยู่ในบ้านของคนฟาริสีนั้น นางจึงถือผอบน้ำมันหอม
Luke 7:38 มายืนอยู่ข้างหลังใกล้พระบาทของพระองค์ ร้องไห้น้ำตาไหลเปียกพระบาท เอาผมเช็ด จุบพระบาทของพระองค์มาก และเอาน้ำมันนั้นชโลม
Luke 7:39 ฝ่ายคนฟาริสีที่ได้เชิญพระองค์ เมื่อเห็นแล้วก็นึกในใจว่าถ้าท่านนี้เป็นผู้เผยพระวจนะก็คงจะรู้ว่า หญิงผู้นี้ที่ถูกต้องกายของท่านเป็นผู้ใดและเป็นคนอย่างไร เพราะนางเป็นคนชั่ว
Luke 7:40 ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบเขาว่าซีโมนเอ๋ย เรามีอะไรจะพูดกับท่านบ้างเขาทูลว่าท่านอาจารย์เจ้าข้า เชิญพูดไปเถิด
Luke 7:41 พระองค์จึงตรัสว่าเจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้เงินห้าร้อยเหรียญเดนาริอันอีกคนหนึ่งเป็นหนี้เงินห้าสิบเหรียญ
Luke 7:42 เมื่อเขาไม่มีอะไรจะใช้หนี้แล้ว ท่านจึงโปรดยกหนี้ให้เขาทั้งสองคน ในสองคนนั้น คนไหนจะรักนายมากกว่า
Luke 7:43 ซีโมนจึงทูลว่าข้าพเจ้าเห็นว่าคนที่นายได้โปรดยกหนี้ให้มากก็เป็นคนที่รักนายมาก” ​พระองค์จึงตรัสกับเขาว่าท่านคิดเห็นถูกแล้ว
Luke 7:44 พระองค์จึงทรงเหลียวหลังดูผู้หญิงนั้น และตรัสแก่ซีโมนว่าท่านเห็นผู้หญิงนี้หรือ เราได้เข้ามาในบ้านของท่าน ท่านมิได้ให้น้ำล้างเท้าของเรา แต่นางได้เอาน้ำตาชำระเท้าของเราและได้เอาผมของตนเช็ด
Luke 7:45 ท่านมิได้จุบเรา แต่ผู้หญิงนี้ตั้งแต่เราเข้ามา มิได้หยุดจุบเท้าของเรา
Luke 7:46 ท่านมิได้เอาน้ำมันชโลมศีรษะของเรา แต่นางได้เอาน้ำมันหอมชโลมเท้าของเรา
Luke 7:47 เหตุฉะนั้นเราบอกท่านว่า ความผิดบาปของนางซึ่งมีมากได้โปรดยกเสียแล้ว เพราะนางรักมาก แต่ผู้ที่ได้รับการยกโทษน้อย ผู้นั้นก็รักน้อย
Luke 7:48 พระองค์จึงตรัสแก่นางว่าความผิดบาปของเจ้าโปรดยกเสียแล้ว
Luke 7:49 ฝ่ายคนทั้งหลายที่เอนกายอยู่ด้วยพูดกันว่าคนนี้เป็นใคร แม้ความผิดบาปก็ยกให้ได้
Luke 7:50 พระองค์จึงตรัสแก่ผู้หญิงนั้นว่าความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้ารอด จงไปเป็นสุขเถิด

     เหตุการณ์ต่อมาฟาริสีเชิญพระเยซูไปรับประทานอาหารในบ้านของเขา ขณะนั้นเองมีผู้หญิงคนหนึ่งของเมืองนั้นเป็นหญิงชั่ว (ในภาษาไทยคิงเจมส์ เป็น ไม่ใช่เคยเป็น) เธอเป็นหญิงชั่ว แต่เธอได้พบพระเยซูคริสต์ ความสำนึกเสียใจในความผิดบาปของเอง ได้พรั่งพรูออกมาจากใจเธอ และเธอได้แสดงออกเป็นการกระทำด้วย เธอร้องไห้และเอาน้ำตาเธอชำระเท้า เอาผมเธอเช็ด แล้วเอาน้ำมันหอมชโลม ทุกสิ่งที่มีภายในใจเธอแสดงออกถึงการกระทำของเธอว่า เธอเสียใจ เธอกลับใจใหม่ เป็นเหมือนศักเคียสชายร่างเตี้ย เมื่อได้สำนึกกลับใจใหม่ เขาแสดงออกมาเป็นการกระทำ ยกทรัพย์สมบัติให้คนาถาครึ่งหนึ่ง และถ้าได้ฉ้อโกงใครมา คืนให้คนนั้นสี่เท่า (ลูกา 19:1-10) สิ่งนี้เราจะเห็นว่าการกลับใจใหม่ มีการแสดงออกมาด้วย เมื่อก่อนเราเคยเป็นคนอย่างไร เมื่อเรามาพบพระเยซูคริสต์แล้ว เราแสดงออกมาเป็นตรงกันข้าม หรือพิธีบัพติศมา เป็นเครื่องหมายสำคัญของการแสดงออกว่าเราเสียใจและเรากลับใจใหม่

     กลับมาที่เรื่องของหญิงชั่วคนนี้ ฟาริสีที่ชื่อว่าซีโมนที่ได้เชิญพระเยซูเข้ามาในบ้านได้คิดอยู่ในใจว่า ถ้าพระเยซูเป็นผู้เผยพระวจนะจริงก็ย่อมรู้ว่าหญิงนี้เป็นหญิงชั่ว นี่คือความคิดของมนุษย์ ที่มักมีแต่กฏบัญญัติต่างๆประหารให้ตายเท่านั้น แต่พระเจ้ามีความเมตตา สิ่งที่พระเจ้าคิดไม่เหมือนอย่างที่มนุษย์คิดในหลายครั้ง  พระเยซูจึงได้ยกตัวอย่างคำอุปมาเพื่อให้ฟาริสีคนนี้คิดได้ เป็นเรื่องของคนที่เป็นหนี้สองคนไม่เท่ากัน และพระเยซูได้สอนจากเหตุการณ์นี้ว่า คนที่สำนึกได้ว่าได้รับการยกโทษหนี้มากก็จะรักนายมาก เหมือนหญิงคนนี้รู้ตัวว่าทำผิดบาปมาก แต่พระคุณพระเจ้ามีสำหรับเธอ เธอรักพระเจ้ามาก การแสดงออกของเธอต่อพระเจ้าก็มากตามไปด้วย

     ดังนั้นแล้วในชีวิตเรา เราจะเป็นคนที่รักพระเจ้ามากเมื่อเราสำนึกในพระคุณที่มีต่อเรามา และการสำนึกในพระคุณนั้นก็จะนำมาซึ่งการดำเนินชีวิตของเราที่มีต่อคนทั้งหลายด้วยเช่นกัน สายตาของเราที่มีต่อบุคคลต่างๆก็จะเปลี่ยนไปเป็นเหมือนสายพระเนตรของพระเจ้าที่มีต่อเราจากเหตุการณ์นี้

C) Experience : ทริปอินเดีย 2

รวมเรื่องทริปอินเดีย
     วันนี้วันที่สองของการเดินทาง เมื่อคืนโดนปลุกตอนเที่ยงคืน เห็นว่าเคาะกันอยู่นาน กว่าจะตื่น ปรากฏว่าพวกเขาห้าคนมาถึงเอาเที่ยงคืน อ.พรทิพย์อาเจียรไปสามรอบ มากกว่าอ.อารมณ์อีก
รถที่ใช้เดินทางหน้าตาเป็นแบบนี้ครับ มีสองคัน คันที่ผมนั่งมีห้าคน ส่วนคันนี้มีสี่คน

     วันนี้เข้าใจว่าไปเยี่ยมโบสถ์Kottayam ซึ่งก่อนมาดูแผนที่ว่าไม่ไกลจากที่พัก คงสักประมาณ 1 กม. ที่ไหนได้พอออกเดินทางถามว่าไปกี่กม. เขาบอกประมาณ 30 กม. ตกใจหมดเลย นึกว่าเราทำการบ้านมาผิด เมื่อไปถึงที่แล้ว ต่อมาภายหลังถึงรู้ว่าไม่ใช่Kottayam แต่เป็น Thiruvalla ซึ่งเป็นคริสตจักรลูก อ.โธมัสมาแบ่งปันพระพรให้กับคริสเตียนแถบนี้ ลองดูรูปคจ.ที่นี่ดูนะครับ





     ธรรมดามากๆ พื้นเป็นดิน หลังคาเป็นสังกะสี ไม่มีเครื่องใช้ไม้สอยอะไร เขาบอกว่าที่นี่มีสมาชิกสักหนึ่งพันคน ตั้งมาได้ห้าปีแล้ว (โอ้โห.. ห้าปี หนึ่งพันคน) เป็นคจ.ธรรมดาที่ไม่ธรรมดาจริงๆ ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อพระเจ้าได้ คนที่มาร่วมประชุมนั่งฟังคำสอนไป ก็ตอบสนองคำสอนไปตลอดทาง ร่วมแรงร่วมใจดีจริงๆ ศบ.ที่นี่มีลูก อ.โธมัสให้มาแนะนำให้รู้จัก ลูกตาบอดแต่กำเนิดแต่โดยฤทธิ์เดชพระเจ้า พระเจ้ารักษาให้หาย เห็นได้ว่าคจ.The heavenly feast church มีรากฐานคจ.มาจากการอัศจรรย์จริงๆ และคนก็ตอบสนองพระเจ้าจริงๆ เมื่อเข้าไปก็เห็นคนทั้งผู้ชายผู้หญิงนั่งปะปนกัน ไม่แบ่งแยกเหมือนที่เราเห็นที่สนามบินเมื่อวาน ป้ายฉากเวทีก็บอก In Jesus Christ  แล้วก็มีข้อพระคัมภีร์ต่างๆบอกว่าเราจะทำ เราสามารถทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้ ติดเต็มไปทั้งฉาก



     การสอนของอ.โธมัสยาวมากครับ เรามาถึงเกือบเที่ยง สอนเสร็จเอาสองโมงกว่า ไม่นับเอาเวลาก่อนเรามา ไม่รู้ว่าสอนไปนานเท่าไรแล้ว แต่สมาชิกและคนที่นี่เขารักพระวจนะ รักพระเจ้า เห็นเขานั่งกันแถวหน้า ก็อาเมน ฮาเลลูยา ตอบสนองตลอดเวลา ผมเดินออกไประหว่างการสอน เห็นคนทำอาหารกัน ทราบว่าเขาฟังคำสอนเสร็จแล้วก็มาทานอาหารด้วยกัน คนที่มาคงประมาณสักสามร้อยคนได้  ส่วนพวกเราก็รับประทานอาหารด้วย แบบอินเดีย ทานอาหารกันด้วยมือเปล่า แต่เขาเอาช้อนมาให้เราด้วย มีทั้งหมู ปลา ไก่ เนื้อวัว ฯลฯ นานาสารพัด อร่อยครับอร่อย



     ระหว่างการเดินทาง เราจะเห็นโบสถ์เต็มไปหมด ส่วนมากจะเป็นโบสถ์คาธอลิคซะมาก ผมยังไม่รู้เลยว่าMuzirisคือส่วนไหนที่โธมัสเดินทางมาที่อินเดีย เดี๋ยวจะต้องสอบถามหาทางรู้ให้ได้ ถามคนขับรถแล้วเขาไม่รู้จัก พรุ่งนี้จะไปที่Main Church ที่Kottayam อ.มัทธิวเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศมาถึงพรุ่งนี้ เห็นบอกว่าลักษณะโบสถ์ก็จะเป็นประมาณนี้ เพียงแต่ว่ามีขนาดที่ใหญ่กว่า

รูปภาพอื่นๆระหว่างวันนี้
คนอินเดียเขานุ่งผ้ากันแบบนี้
บ้านเมืองระหว่างทางไป
ขายผลไม้ในซอย



C) Experience : ทริปอินเดีย 1

รวมเรื่องทริปอินเดีย


     วันนี้ออกเดินทางแต่เช้าไปสนามบินสุวรรณภูมิคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างเรียบ พอจะไปเช็คอิน พบว่าเอาพาสปอร์ตมาผิดเล่ม ต้องให้อ.โซ่ยวิ่งเอามาให้ ขอบคุณพระเจ้าเรียบร้อยไปหนึ่ง พอเดินเข้าpassport control โอ้โห..คิวยาวเหยียดแบบพับไปพับมาเลยครับ สงสัยคงกำลังปรับปรุงบริเวณนั้น แถวของคนไทยก็ไม่มีแล้ว รวมกันหมด เมื่อเข้าไปข้างในแล้วก่อนจะเข้าไปรอในห้องก่อนขึ้นเครื่อง ก็ให้สงสัยขึ้นมาว่าทำไมอินเดียจึงเข้มงวดจัง มีด่านด้านหน้าตรวจก่อนเข้าห้องอีกรอบด้วย ทำอย่างกับพวกเดินทางไปอิสราเอลเลย วันนี้เห็นการตรวจตราเข้มแข็งแบบนี้ ก็นึกว่าพวกอาจารย์จะผ่านด่านต่างๆไม่ทันเสียแล้ว สุดท้ายก็เข้ามาได้ เกือบไป การมาเที่ยวนี้ผมแยกนั่งกับคนอื่นๆ เพราะรอพาสปอร์ตอยู่

     และแล้วการเดินทางก็เริ่มต้นขึ้น เราบินจากกรุงเทพฯไปเปลี่ยนเครื่องที่มุมไบ ตอนเช็คอินเขาก็บอกว่าต้องถือกระเป๋าไปเปลี่ยนเครื่องเอง มีเพียงสองประเทศเท่านั้นที่ทำอย่างนี้คือจีนและอินเดีย การบินนี้ใช้เวลานานมากครับ ประมาณสี่ชั่วโมงกว่าๆ กว่าจะถึงมุมไบ ระหว่างนั่งอยู่บนเครื่องก็นึกถึงโธมัสอัครทูต เดินทางอย่างไรหนอ ล่องเรือข้ามน้ำข้ามแผ่นดินไปไกลมากๆ เมื่อบินไปถึงมุมไบเห็นคล้ายควันแบบภาพที่ลงไว้ครั้งก่อนให้ดูที่ผมถามว่านี่อะไรกันหมอกหรือควันรถกันแน่ มาถึงนี้แล้วตอนนี้ก็เข้าใจผิดนึกว่าควันรถ แต่ไม่ใช่ครับ หมอกฝนเต็มไปหมด เมื่อถึงimmigrationก็ทำตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่เช็คอินคนก่อน รับกระเป๋ามาแล้วก็ไปตรวจกระเป๋าเพื่อเอาไปโหลดขึ้นเครื่อง แถวยาวอีกแล้วครับ ขอบคุณพระเจ้าอีกครั้ง เจ้าหน้าที่มาเรียกคนที่ไปKochi ก็คือเรา เราก็เลยไปสแกนกระเป๋าอย่างรวดเร็ว เสร็จก็ออกไปขึ้นรถบัส ผมก็นึกว่าจะได้ไปขึ้นเครื่องบิน ที่ไหนได้ พาไปimigrationอีกทีในประเทศ แล้วก็ต้องลากกระเป๋าไปตรวจเช็คอีกแล้วก็ฝากกระเป๋าไว้ ส่วนเราก็ไปต่อคิวรอที่จะได้ขึ้นเครื่อง ที่ไหนได้ ยังไม่ใช่ ต้องไปต่อคิวสแกนอีกรอบ ตอนนั้นเข้าใจว่าพวกเราคงจะเบลอๆแล้วครับ ปรากฏว่าต่อแถวผิด เครื่องบินที่จะไปไม่ใช่อยู่ตรงนี้ รีบเอาสัมภาระที่กำลังสแกนอยู่ออกมาวิ่งขึ้นไปชั้นบน เจอแถวสแกนคิวยาวอีกแล้ว เหลือเวลาขึ้นเครื่องอีกเพียงครึ่งชั่วโมง กว่าจะผ่านตรงนี้ได้เหลืออีกไม่ถึงยี่สิบนาที เจ้าหน้าที่เรียกใหญ่ “ประกาศครั้งสุดท้ายๆ” วิ่งแน่บครับ เฮ่อ.. เหนื่อยครับ เหนื่อยมากๆ ความที่มีระเบิดที่สนามบินนี้ช่วงที่ผ่านมา เขาเลยเข้มงวดกันมาก

     ที่ตรงนี้ที่มีการสแกนกัน สังเกตุว่าเขาแยกผู้หญิงกับผู้ชายออกจากกัน ไปสแกนกันคนละที่ เออ..แปลกดีแหะ นั่งเครื่องบินต่อไปลงที่Kochi เที่ยวบินนี้แปลก เป็นเหมือนlow cost ไม่มีแจกน้ำอาหาร ต้องซื้อ ส่วนเที่ยวที่มาทีแรกแจกน้ำและอาหาร ทั้งๆที่เป็นสายการบินเดียวกัน มีสองระบบหรืออย่างไร บินไปชั่วโมงกว่าๆแต่ว่าถึงlateมากครับ เพราะผู้โดยสารกว่าจะผ่านด่านตรวจมาขึ้นเครื่องได้ก็สาย สรุปว่ามาถึงเอาเกือบสี่โมงเย็น เดินทางทั้งวันเลยครับกว่าจะมาถึง ที่สายพานรอกระเป๋าก็เห็นความแปลกอีกอย่าง ผู้หญิงเป็นเจ้าหน้าที่ลำเลียงกระเป๋า?? แปลกดี ใช้ผู้หญิง?? พอออกมาก็พบศบ.ที่มารอรับและส่งเราขึ้นรถที่อ.ประกาศิตบอกว่ารถแท๊กซี่ แต่ว่าดีมากๆ ค่อยยังชั่วหน่อย
     นี่ถ่ายตอนออกมาจากสนามบิน ระหว่างทางไม่มีอารมณ์ถ่ายเลย ไม่ได้เก็บภาพแม้แต่รูปเดียว แค่ต้องเอาตัวให้รอดให้ได้เท่านั้น


ระหว่างทางจากสนามบินไปที่พัก 75 กม. มีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด


    ศบ.คนนี้เขาบอกว่าให้เราไปเข้าที่พักเถิด ทางนี้เขาจัดการรอรับเอง(ขณะที่ผมกำลังพิมพ์อยู่นี้ก็ยังมาไม่ถึงครับ สี่ทุ่มครึ่งแล้ว บ้านเราเที่ยงคืน วันนี้อินเตอร์เน็ตโรงแรมเสีย ส่งบทความไม่ได้) เมื่อขึ้นมานั่งบนรถ ระยะทางจากสนามบินไปKottayam 75 กม. แต่พี่น้องเชื่อไหมครับ ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง 20 นาที จาก 16.00 น. ออกมาจากที่นั่น มาถึงโรงแรม 19.20 น. ถนนที่วิ่งเลนเดียว และวิ่งวกไปวกมา ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ ผมให้คะแนนเป็นรองอัฟริกานิดเดียว อ.อารมณ์ที่ไปด้วยกันอาเจียรแล้วอาเจียรอีกเพราะถนนที่วกวนนี่แหละครับ ขอบคุณพระเจ้า มาถึงเสียที ผจญภัยมานานมาก นึกถึงอ.มัทธิว เลยครับ ขยันไปประกาศที่ประเทศไทยมาก นึกถึงความยากลำบากในการเดินทางแล้ว ใช้เวลามากแล้วนับถือเลยครับ อ้อ.. ขอบคุณพระเจ้าเรื่องโรงแรมหน่อยครับ ห้องของผมพัก 3 คน แขกมาพักเต็มหมด เขาเลยให้พวกเรา 3 คน พักห้องสูทคิดราคาเดิม Praise the Lord! พรุ่งนี้คงได้ไปพบอ.มัทธิวกับอ.โธมัส แล้วคงได้เห็นโบสถ์ด้วย

     สำหรับที่นี่ก็เหมือนภาคใต้+ภาคเหนือบ้านเราครับ เต็มไปด้วยต้นไม้ ป่าเต็มไปหมด ชุ่มชื้น ยังนึกอยู่เลย คนพันล้านคนแต่ยังมีป่าอยู่ในประเทศด้วย ทำได้ไงเนี่ย ที่ที่มาก็คล้ายๆอำเภอๆหนึ่งในบ้านเราครับ