สวัสดีครับ วันนี้เริ่มบันทึกวีดีโอคำแบ่งปันพระวจนะจากที่คจ.ได้แจกให้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนะครับ (เผยแพร่วันเสาร์ที่ 29 ก็แสดงว่าวันพรุ่งนี้มีประชุมปกติครับ) อัดเองครับ มือสมัครเล่นเพื่อพี่น้องทั้งหลายที่อยู่ต่างจังหวัด อยู่ในกทม. ปริมณฑล หรือติดน้ำท่วมอยู่ในเวลานี้ครับ ขอพระเจ้าเสริมกำลังทุกท่านครับ
จัดทำไว้เพื่อสำรวจโลกและสิ่งต่างๆที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้เพื่อเรา บทความที่เขียน A) พระวจนะพระเจ้า B) การฟื้นฟู C) ประสบการณ์
วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ชีวิตพระเยซูคริสต์ : ตักเตือนคนที่ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว
ต่อครับ ลูกา 9:37-45
37 ต่อมาวันรุ่งขึ้นเมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกลงมาจากภูเขาแล้ว มีคนมากมายมาพบพระองค์ 38 ดูเถิด มีชายคนหนึ่งในหมู่ประชาชนนั้นร้องว่า "อาจารย์เจ้าข้า ขอพระองค์ทรงโปรดทอดพระเนตรบุตรชายของข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้ามีบุตรคนเดียว 39 และ ดูเถิด ผีมักจะเข้าสิงเขา เด็กก็โห่ร้องขึ้นทันที ผีทำให้เด็กนั้นชักดิ้น น้ำลายฟูมปาก ทำให้ตัวฟกช้ำ ไม่ใคร่ออกจากเขาเลย 40 ข้าพเจ้าได้ขอเหล่าสาวกของพระองค์ให้ขับมันออกเสีย แต่เขากระทำไม่ได้" 41 พระเยซูตรัสตอบว่า "โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว เราจะต้องอยู่กับเจ้าทั้งหลายและอดทนเพราะพวกเจ้านานเท่าใด จงพาบุตรของท่านมาที่นี่เถิด" 42 เมื่อเด็กนั้นกำลังมา ผีก็ทำให้เขาล้มชักดิ้นใหญ่ แต่พระเยซูตรัสสำทับผีโสโครกนั้นและทรงรักษาเด็กให้หาย แล้วส่งคืนให้บิดาเขา 43 คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนักเพราะฤทธิ์เดชอันใหญ่ยิ่งของพระเจ้า แต่เมื่อเขาทั้งหลายยังประหลาดใจอยู่เพราะเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งพระเยซูได้ทรงกระทำนั้น พระองค์จึงตรัสแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า 44 จงให้คำเหล่านี้เข้าหูของท่าน เพราะว่าบุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือมนุษย์ 45 แต่คำเหล่านั้นสาวกหาได้เข้าใจไม่ ความก็ถูกซ่อนไว้จากเขา เพื่อเขาจะไม่ได้เข้าใจ และเขาไม่กล้าถามพระองค์ถึงคำนั้น
นี่เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งเกี่ยวกับคนถูกผีเข้าที่มาขอให้พระเยซูช่วยขับผีให้เพราะพวกสาวกขับไม่ออก สาวกนี้อาจเป็นสาวกคนอื่นๆนอกเหนือจากพวกสาวก 12 คนก็เป็นได้ พวกสาวก 12 คนนั้น พระเยซูได้ส่งไปประกาศแผ่นดินพระเจ้าและกระทำการอัศจรรย์ในพระนามพระเยซูเจ้ามาก่อนหน้านี้ แต่พวกสาวกที่กล่าวถึงตรงนี้อาจเป็นพวกสาวกอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้ที่อยู่ใกล้ชิดพระเยซู เพราะสาวกคือผู้ที่เป็นลูกศิษย์ เป็นผู้ติดตาม ได้เรียนรู้ ได้เห็นการอัศจรรย์ต่างๆนานา ในบทที่ 8 ก็ได้เห็นการขับผี รักษาโรค และทำให้คนที่ตายแล้วเป็นขึ้นมาจากความตาย แต่กลัีบไม่สามารถอธิษฐานขับผีได้ พระเยซูจึงบอกว่า "ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว"
"ขาดความเชื่อ" ทั้งๆที่อยู่กับพระเยซูได้เห็นสิ่งต่างๆบังเกิดขึ้นผ่านกิจการที่พระเยซูคริสต์ไ้ด้ทำ ความเชื่อเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของผู้เชื่อ พระวจนะได้บอกไว้ว่า Rom 1:17 เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้สำแดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ ชีิวิตคริสเตียนเป็นชีวิตที่อาศัยความเชื่อ คนทั่วไปจะบอกว่า ทำให้เห็นก่อนแล้วจะเชื่อ แต่พระคัมภีร์ว่า เชื่อก่อนแล้วจึงจะเห็น เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์เราจะเห็นพระวจนะที่หนุนใจให้เรามีความเชื่อในตอนต่างๆ ขอบคุณพระเจ้าที่ให้เรามีีความเชื่อ เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ เขื่อในพระเจ้าที่ทรงดูแลเราตลอดเวลา แม้ไม่เห็นแต่เชื่อก็เป็นสุข ยอห์น 20:29 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข”
"มีทิฐิชั่ว" คือ คนที่อยู่ในยุคหรือรุ่นที่บิดเบี้ยวไป แปลความผิดๆ มีสิ่งเจือปนในชีวิต นี่คือสิ่งที่พระเยซูพูด เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนในสมัยยุคพระเยซู มาดูคำนี้ในที่อื่นๆบ้างครับ Acts 13:8 แต่เอลีมาสคนทำวิทยาคม (เพราะชื่อของเขาหมายอย่างนั้น) ได้คัดค้านขัดขวางบารนาบัสกับเซาโล หวังจะไม่ให้ผู้ว่าราชการเมืองเชื่อ ตรงนี้บอก คัดค้านขัดขวาง Acts 13:10 และพูดว่า “เจ้าเป็นคนเต็มไปด้วยอุบาย และใจร้ายทุกอย่าง ลูกของมารร้าย เป็นศัตรูต่อบรรดาความชอบธรรม เจ้าจะไม่หยุดพยายามทำทางตรงของพระเจ้าให้เขวไปหรือ ตรงนี้ใช้คำว่า ทำให้เขว จากตัวอย่างคำนี้ในพระคัมภีร์ตอนอื่นๆ คงพอทำให้เข้าใจสิ่งที่พระเยซูกำลังบอกเรื่องลักษณะของคนในยุคพระเยซูได้บ้าง ถามว่าคนในยุคเรามีลักษณะเช่นนั้นบ้างหรือไม่ พยายามทำให้เรื่องแห่งความจริงไขว้เขวไป ทำให้ความจริงเรื่องพระคริสต์บิดเบือนไป หรืออาจจะเป็นเรื่องอื่นๆก็ตามแต่ ทำให้ความจริงบิดเบี้ยวไป ถ้าลักษณะคนเป็นอย่างนี้ แน่นอนเขาไม่มีทางขับผีออกได้ ไม่เพียงไม่เชื่อในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า แต่ยังมีลักษณะบางอย่างในชีวิตที่คิด ทำให้เรื่องต่างๆบิดเบี้ยวไปอีกด้วย
คนของพระเจ้าต้องเป็นคนที่สัตย์ซื่อ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอันใด ดำเนินชีวิตตรงไปตรงมา ไม่มีเล่ห์เพทุบาย ไม่เป็นคนที่ทำให้ความจริงของพระเจ้าเขวไป ขอพระเจ้าชำระล้างชีวิตของเราทั้งหลายให้สะอาดทุกคน ให้กระแสน้ำที่มาท่วมประเทศไทยเป็นเหมือนสายน้ำที่มาชำระล้างสิ่งสกปรกโสโครกออกไปจากชีวิตคนไทยทุกคนในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน.
37 ต่อมาวันรุ่งขึ้นเมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกลงมาจากภูเขาแล้ว มีคนมากมายมาพบพระองค์ 38 ดูเถิด มีชายคนหนึ่งในหมู่ประชาชนนั้นร้องว่า "อาจารย์เจ้าข้า ขอพระองค์ทรงโปรดทอดพระเนตรบุตรชายของข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้ามีบุตรคนเดียว 39 และ ดูเถิด ผีมักจะเข้าสิงเขา เด็กก็โห่ร้องขึ้นทันที ผีทำให้เด็กนั้นชักดิ้น น้ำลายฟูมปาก ทำให้ตัวฟกช้ำ ไม่ใคร่ออกจากเขาเลย 40 ข้าพเจ้าได้ขอเหล่าสาวกของพระองค์ให้ขับมันออกเสีย แต่เขากระทำไม่ได้" 41 พระเยซูตรัสตอบว่า "โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว เราจะต้องอยู่กับเจ้าทั้งหลายและอดทนเพราะพวกเจ้านานเท่าใด จงพาบุตรของท่านมาที่นี่เถิด" 42 เมื่อเด็กนั้นกำลังมา ผีก็ทำให้เขาล้มชักดิ้นใหญ่ แต่พระเยซูตรัสสำทับผีโสโครกนั้นและทรงรักษาเด็กให้หาย แล้วส่งคืนให้บิดาเขา 43 คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนักเพราะฤทธิ์เดชอันใหญ่ยิ่งของพระเจ้า แต่เมื่อเขาทั้งหลายยังประหลาดใจอยู่เพราะเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งพระเยซูได้ทรงกระทำนั้น พระองค์จึงตรัสแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า 44 จงให้คำเหล่านี้เข้าหูของท่าน เพราะว่าบุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือมนุษย์ 45 แต่คำเหล่านั้นสาวกหาได้เข้าใจไม่ ความก็ถูกซ่อนไว้จากเขา เพื่อเขาจะไม่ได้เข้าใจ และเขาไม่กล้าถามพระองค์ถึงคำนั้น
นี่เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งเกี่ยวกับคนถูกผีเข้าที่มาขอให้พระเยซูช่วยขับผีให้เพราะพวกสาวกขับไม่ออก สาวกนี้อาจเป็นสาวกคนอื่นๆนอกเหนือจากพวกสาวก 12 คนก็เป็นได้ พวกสาวก 12 คนนั้น พระเยซูได้ส่งไปประกาศแผ่นดินพระเจ้าและกระทำการอัศจรรย์ในพระนามพระเยซูเจ้ามาก่อนหน้านี้ แต่พวกสาวกที่กล่าวถึงตรงนี้อาจเป็นพวกสาวกอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้ที่อยู่ใกล้ชิดพระเยซู เพราะสาวกคือผู้ที่เป็นลูกศิษย์ เป็นผู้ติดตาม ได้เรียนรู้ ได้เห็นการอัศจรรย์ต่างๆนานา ในบทที่ 8 ก็ได้เห็นการขับผี รักษาโรค และทำให้คนที่ตายแล้วเป็นขึ้นมาจากความตาย แต่กลัีบไม่สามารถอธิษฐานขับผีได้ พระเยซูจึงบอกว่า "ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว"
"ขาดความเชื่อ" ทั้งๆที่อยู่กับพระเยซูได้เห็นสิ่งต่างๆบังเกิดขึ้นผ่านกิจการที่พระเยซูคริสต์ไ้ด้ทำ ความเชื่อเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของผู้เชื่อ พระวจนะได้บอกไว้ว่า Rom 1:17 เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้สำแดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ ชีิวิตคริสเตียนเป็นชีวิตที่อาศัยความเชื่อ คนทั่วไปจะบอกว่า ทำให้เห็นก่อนแล้วจะเชื่อ แต่พระคัมภีร์ว่า เชื่อก่อนแล้วจึงจะเห็น เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์เราจะเห็นพระวจนะที่หนุนใจให้เรามีความเชื่อในตอนต่างๆ ขอบคุณพระเจ้าที่ให้เรามีีความเชื่อ เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ เขื่อในพระเจ้าที่ทรงดูแลเราตลอดเวลา แม้ไม่เห็นแต่เชื่อก็เป็นสุข ยอห์น 20:29 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข”
"มีทิฐิชั่ว" คือ คนที่อยู่ในยุคหรือรุ่นที่บิดเบี้ยวไป แปลความผิดๆ มีสิ่งเจือปนในชีวิต นี่คือสิ่งที่พระเยซูพูด เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนในสมัยยุคพระเยซู มาดูคำนี้ในที่อื่นๆบ้างครับ Acts 13:8 แต่เอลีมาสคนทำวิทยาคม (เพราะชื่อของเขาหมายอย่างนั้น) ได้คัดค้านขัดขวางบารนาบัสกับเซาโล หวังจะไม่ให้ผู้ว่าราชการเมืองเชื่อ ตรงนี้บอก คัดค้านขัดขวาง Acts 13:10 และพูดว่า “เจ้าเป็นคนเต็มไปด้วยอุบาย และใจร้ายทุกอย่าง ลูกของมารร้าย เป็นศัตรูต่อบรรดาความชอบธรรม เจ้าจะไม่หยุดพยายามทำทางตรงของพระเจ้าให้เขวไปหรือ ตรงนี้ใช้คำว่า ทำให้เขว จากตัวอย่างคำนี้ในพระคัมภีร์ตอนอื่นๆ คงพอทำให้เข้าใจสิ่งที่พระเยซูกำลังบอกเรื่องลักษณะของคนในยุคพระเยซูได้บ้าง ถามว่าคนในยุคเรามีลักษณะเช่นนั้นบ้างหรือไม่ พยายามทำให้เรื่องแห่งความจริงไขว้เขวไป ทำให้ความจริงเรื่องพระคริสต์บิดเบือนไป หรืออาจจะเป็นเรื่องอื่นๆก็ตามแต่ ทำให้ความจริงบิดเบี้ยวไป ถ้าลักษณะคนเป็นอย่างนี้ แน่นอนเขาไม่มีทางขับผีออกได้ ไม่เพียงไม่เชื่อในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า แต่ยังมีลักษณะบางอย่างในชีวิตที่คิด ทำให้เรื่องต่างๆบิดเบี้ยวไปอีกด้วย
คนของพระเจ้าต้องเป็นคนที่สัตย์ซื่อ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอันใด ดำเนินชีวิตตรงไปตรงมา ไม่มีเล่ห์เพทุบาย ไม่เป็นคนที่ทำให้ความจริงของพระเจ้าเขวไป ขอพระเจ้าชำระล้างชีวิตของเราทั้งหลายให้สะอาดทุกคน ให้กระแสน้ำที่มาท่วมประเทศไทยเป็นเหมือนสายน้ำที่มาชำระล้างสิ่งสกปรกโสโครกออกไปจากชีวิตคนไทยทุกคนในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน.
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554
คำแบ่งปันจากพระวจนะ
ทดสอบครับ สำหรับใช้เวลาน้ำท่่วมไปไหนไม่ได้ ก็ดูกัีนทางนี้ละครับ(ถ้ามีไฟฟ้าใช้นะครับ) ทุกวันอาทิตย์ แต่ถ้าวันอาทิตย์โบสถ์เปิดนมัสการได้ ก็จะนำมาลงไว้วันเสาร์สำหรับท่่านที่มาโบสถ์ไม่ได้นะครับ
ชีวิตพระเยซูคริสต์ : จำแลงพระกาย
ต่อครับ
Luke 9:28 ภายหลังพระองค์ได้ตรัสคำเหล่านั้นประมาณแปดวัน พระองค์จึงทรงพาเปโตร ยอห์น และยากอบขึ้นไปบนภูเขาเพื่อจะอธิษฐาน
Luke 9:29 เมื่อพระองค์กำลังอธิษฐานอยู่ วรรณพระพักตร์ของพระองค์ก็เปลี่ยนไป และฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ
Luke 9:30 ดูเถิด มีสองคนสนทนาอยู่กับพระองค์ คือโมเสสและเอลียาห์
Luke 9:31 ผู้มาปรากฏด้วยศักดิ์ศรี และกล่าวถึงการจากไปของพระองค์ ซึ่งจะสำเร็จในกรุงเยรูซาเล็ม
Luke 9:32 ฝ่ายเปโตรกับคนที่อยู่ด้วยนั้นก็ง่วงเหงาหาวนอน แต่เมื่อเขาตาสว่างขึ้นแล้ว เขาก็ได้เห็นพระสิริของพระองค์ และเห็นสองคนนั้นที่ยืนอยู่กับพระองค์
Luke 9:33 เมื่อสองคนนั้นกำลังลาไปจากพระองค์ เปโตรจึงทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ซึ่งเราอยู่ที่นี่ก็ดี ให้พวกข้าพระองค์ทำเพิงสามหลังสำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” เปโตรไม่รู้สึกตัวว่าได้พูดอะไร
Luke 9:34 เมื่อเขากำลังพูดคำเหล่านี้ มีเมฆมาคลุมเขาไว้ และเมื่อเขาอยู่ในเมฆนั้นเขาก็กลัว
Luke 9:35 มีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า “ผู้นี้เป็นบุตรของเรา เป็นผู้ถูกเลือกสรรไว้ จงเชื่อฟังท่านเถิด”
Luke 9:36 เมื่อพระสุรเสียงนั้นสงบแล้ว พระเยซูทรงสถิตอยู่องค์เดียว เขาทั้งสามก็นิ่งอยู่ และในกาลครั้งนั้นเขามิได้บอกเหตุการณ์ซึ่งเขาได้เห็นแก่ผู้ใด
ภายหลังจากที่พระองค์ตรัสคำเหล่านั้นได้แปดวัน คำเหล่านั้นคือคำกล่าวก่อนหน้านี้ที่พระองค์พูดถึงการสิ้นพระชนม์ การถูกฝัง และการฟื้น พอมาถึงตรงนี้ที่พระเยซูได้ไปอธิษฐานกับพวกสาวกสามคน มีสองคนมาปรากฏคือโมเสสและเอลียาห์ได้พูดสิ่งที่ต่อเนื่องกันกับสิ่งที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ คือเรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูซึ่งจะสำเร็จในกรุงเยรูซาเล็ม
สองคนที่มาปรากฏคือโมเสสกับเอลียาห์ สองคนนี้สำคัญอย่างไร โมเสสเป็นผู้ที่พระเจ้าใช้ให้พาชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ เปรียบเป็นภาพการพาคนออกมาจากอาณาจักรแห่งการเป็นทาสในอียิปต์ เอลียาห์เป็นบุคคลที่พระเจ้าใช้ในการทำการอัศจรรย์มากมาย ที่มีชื่อเสียงที่สุดเห็นจะเป็นการเรียกไฟจากสวรรค์ลงมาเผาเครื่องบูชาในการเผชิญหน้ากับพวกพระบาอัล นอกจากนั้นเอลียาห์ยังเป็นคนที่พระเจ้ารับขึ้นไปบนสวรรค์ทั้งเป็น และให้ฤทธิ์เดชแบบเอลียาห์ตกอยู่บนเอลีชาต่อไปด้วย
บุคคลที่มาสนทนากับพระเยซูคริสต์ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่พระเจ้าใช้ทำการต่างๆในโลกอย่างยิ่งใหญ่ และสองคนนี้ได้มาสนทนากับพระเยซูถึงสิ่งที่่พระเยซูจะทำอย่างยิ่งใหญ่ต่อไปคือด้วยความตายขององค์พระเยซูคริสต์ จะเห็นว่าขณะพระองค์กำลังอธิษฐาน วรรณพระพักตร์ของพระองค์ก็เปลี่ยนไป ในขณะใกล้ชิดสนิทสนมกับพระบิดา ในช่วงเวลาแห่งการอธิษฐานนั้นก็มีการสำแดงสิ่งต่างๆจากพระเจ้า เช่น สภาพกายของพระองค์เปลี่ยนไปเต็มด้วยสง่าราศี สภาพเครื่องนุ่งหมพระองค์เปลี่ยนไปขาวเป็นมันระยับ มีคนของพระเจ้าแต่โบราณมาปรากฏ ฯลฯ ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าสิ่งต่างๆในการสำแดงของพระเจ้าจะสำแดงแก่เราเช่นกันเมื่อเราอธิษฐานแสวงหาพระเจ้า
เมื่อเปโตรตื่นขึ้นมาเห็นเหตุการณ์นี้ด้วยความตื่นเต้นด้วยความกลัว (มาระโก 9:6) จึงได้พูดบางสิ่งออกไปโดยไม่ได้กลั่นกรองออกมาจากสมอง นี่ก็เป็นข้อคิดให้เราได้เวลาเราตื่นเต้นไม่มีสติ เราอาจพูดอะไรบางอย่างออกไปได้โดยไม่รู้ตัวว่าได้พูดออกไปเหมือนเปโตรเช่นกัน
เมื่อสนทนากันถึงเรื่องนี้พวกสาวกได้ทูลถามเรื่องเอลียาห์ พระเยซูได้ตรัสตอบใน มัทธิว 17:10-13 ได้บอกว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อนพระเยซูตามพระธรรม มาลาคี 4:5 เอลียาห์ในตอนนี้คือยอห์นบัพติศโตนั่นเอง (เข้าใจว่ามาด้วยวิญญาณแบบเอลียาห์)
และนี่เป็นข้อพระคัมภีร์อีกตอนที่เปโตรได้เขียนกล่าวถึงเหตุการณ์ในวันนั้น 2Pet 1:17 เพราะว่าคราวเมื่อพระองค์ได้ทรงรับเกียรติและสง่าราศีจากพระบิดา และพระสุรเสียงจากพระสิริอันยิ่งใหญ่ได้มาถึงพระองค์ ตรัสแก่พระองค์ว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านผู้นี้มาก”
ขอพระเจ้าได้ประทานให้เราได้สัมผัส ได้เห็นสง่าราศีของพระเยซูคริสต์ในขณะที่เราทั้งหลายยังอยู่ในโลกนี้ ขอพระองค์มาสำแดงมาปรากฏมาหนุนใจเราทั้งหลาย ขอพระเจ้าช่วยให้เราเชื่อและขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งยิ่งใหญ่สง่าราศีของพระเจ้าที่รอเราอยู่ในอนาคต ขอพระเจ้าช่วยให้เราไม่ทิ้งความเชื่อ ขอให้เรามีความเชื่อยิ่งใหญ่ ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี อาเมน.
Luke 9:28 ภายหลังพระองค์ได้ตรัสคำเหล่านั้นประมาณแปดวัน พระองค์จึงทรงพาเปโตร ยอห์น และยากอบขึ้นไปบนภูเขาเพื่อจะอธิษฐาน
Luke 9:29 เมื่อพระองค์กำลังอธิษฐานอยู่ วรรณพระพักตร์ของพระองค์ก็เปลี่ยนไป และฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ
Luke 9:30 ดูเถิด มีสองคนสนทนาอยู่กับพระองค์ คือโมเสสและเอลียาห์
Luke 9:31 ผู้มาปรากฏด้วยศักดิ์ศรี และกล่าวถึงการจากไปของพระองค์ ซึ่งจะสำเร็จในกรุงเยรูซาเล็ม
Luke 9:32 ฝ่ายเปโตรกับคนที่อยู่ด้วยนั้นก็ง่วงเหงาหาวนอน แต่เมื่อเขาตาสว่างขึ้นแล้ว เขาก็ได้เห็นพระสิริของพระองค์ และเห็นสองคนนั้นที่ยืนอยู่กับพระองค์
Luke 9:33 เมื่อสองคนนั้นกำลังลาไปจากพระองค์ เปโตรจึงทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ซึ่งเราอยู่ที่นี่ก็ดี ให้พวกข้าพระองค์ทำเพิงสามหลังสำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” เปโตรไม่รู้สึกตัวว่าได้พูดอะไร
Luke 9:34 เมื่อเขากำลังพูดคำเหล่านี้ มีเมฆมาคลุมเขาไว้ และเมื่อเขาอยู่ในเมฆนั้นเขาก็กลัว
Luke 9:35 มีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า “ผู้นี้เป็นบุตรของเรา เป็นผู้ถูกเลือกสรรไว้ จงเชื่อฟังท่านเถิด”
Luke 9:36 เมื่อพระสุรเสียงนั้นสงบแล้ว พระเยซูทรงสถิตอยู่องค์เดียว เขาทั้งสามก็นิ่งอยู่ และในกาลครั้งนั้นเขามิได้บอกเหตุการณ์ซึ่งเขาได้เห็นแก่ผู้ใด
ภายหลังจากที่พระองค์ตรัสคำเหล่านั้นได้แปดวัน คำเหล่านั้นคือคำกล่าวก่อนหน้านี้ที่พระองค์พูดถึงการสิ้นพระชนม์ การถูกฝัง และการฟื้น พอมาถึงตรงนี้ที่พระเยซูได้ไปอธิษฐานกับพวกสาวกสามคน มีสองคนมาปรากฏคือโมเสสและเอลียาห์ได้พูดสิ่งที่ต่อเนื่องกันกับสิ่งที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ คือเรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูซึ่งจะสำเร็จในกรุงเยรูซาเล็ม
สองคนที่มาปรากฏคือโมเสสกับเอลียาห์ สองคนนี้สำคัญอย่างไร โมเสสเป็นผู้ที่พระเจ้าใช้ให้พาชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ เปรียบเป็นภาพการพาคนออกมาจากอาณาจักรแห่งการเป็นทาสในอียิปต์ เอลียาห์เป็นบุคคลที่พระเจ้าใช้ในการทำการอัศจรรย์มากมาย ที่มีชื่อเสียงที่สุดเห็นจะเป็นการเรียกไฟจากสวรรค์ลงมาเผาเครื่องบูชาในการเผชิญหน้ากับพวกพระบาอัล นอกจากนั้นเอลียาห์ยังเป็นคนที่พระเจ้ารับขึ้นไปบนสวรรค์ทั้งเป็น และให้ฤทธิ์เดชแบบเอลียาห์ตกอยู่บนเอลีชาต่อไปด้วย
บุคคลที่มาสนทนากับพระเยซูคริสต์ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่พระเจ้าใช้ทำการต่างๆในโลกอย่างยิ่งใหญ่ และสองคนนี้ได้มาสนทนากับพระเยซูถึงสิ่งที่่พระเยซูจะทำอย่างยิ่งใหญ่ต่อไปคือด้วยความตายขององค์พระเยซูคริสต์ จะเห็นว่าขณะพระองค์กำลังอธิษฐาน วรรณพระพักตร์ของพระองค์ก็เปลี่ยนไป ในขณะใกล้ชิดสนิทสนมกับพระบิดา ในช่วงเวลาแห่งการอธิษฐานนั้นก็มีการสำแดงสิ่งต่างๆจากพระเจ้า เช่น สภาพกายของพระองค์เปลี่ยนไปเต็มด้วยสง่าราศี สภาพเครื่องนุ่งหมพระองค์เปลี่ยนไปขาวเป็นมันระยับ มีคนของพระเจ้าแต่โบราณมาปรากฏ ฯลฯ ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าสิ่งต่างๆในการสำแดงของพระเจ้าจะสำแดงแก่เราเช่นกันเมื่อเราอธิษฐานแสวงหาพระเจ้า
เมื่อเปโตรตื่นขึ้นมาเห็นเหตุการณ์นี้ด้วยความตื่นเต้นด้วยความกลัว (มาระโก 9:6) จึงได้พูดบางสิ่งออกไปโดยไม่ได้กลั่นกรองออกมาจากสมอง นี่ก็เป็นข้อคิดให้เราได้เวลาเราตื่นเต้นไม่มีสติ เราอาจพูดอะไรบางอย่างออกไปได้โดยไม่รู้ตัวว่าได้พูดออกไปเหมือนเปโตรเช่นกัน
เมื่อสนทนากันถึงเรื่องนี้พวกสาวกได้ทูลถามเรื่องเอลียาห์ พระเยซูได้ตรัสตอบใน มัทธิว 17:10-13 ได้บอกว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อนพระเยซูตามพระธรรม มาลาคี 4:5 เอลียาห์ในตอนนี้คือยอห์นบัพติศโตนั่นเอง (เข้าใจว่ามาด้วยวิญญาณแบบเอลียาห์)
และนี่เป็นข้อพระคัมภีร์อีกตอนที่เปโตรได้เขียนกล่าวถึงเหตุการณ์ในวันนั้น 2Pet 1:17 เพราะว่าคราวเมื่อพระองค์ได้ทรงรับเกียรติและสง่าราศีจากพระบิดา และพระสุรเสียงจากพระสิริอันยิ่งใหญ่ได้มาถึงพระองค์ ตรัสแก่พระองค์ว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านผู้นี้มาก”
ขอพระเจ้าได้ประทานให้เราได้สัมผัส ได้เห็นสง่าราศีของพระเยซูคริสต์ในขณะที่เราทั้งหลายยังอยู่ในโลกนี้ ขอพระองค์มาสำแดงมาปรากฏมาหนุนใจเราทั้งหลาย ขอพระเจ้าช่วยให้เราเชื่อและขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งยิ่งใหญ่สง่าราศีของพระเจ้าที่รอเราอยู่ในอนาคต ขอพระเจ้าช่วยให้เราไม่ทิ้งความเชื่อ ขอให้เรามีความเชื่อยิ่งใหญ่ ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี อาเมน.
วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ชีวิตพระเยซูคริสต์ : ผู้ใดใคร่ตามพระเยซู ให้เอาชนะตัวเอง แบกกางเขนของตนทุกวัน และตามพระองค์ไป
รวมบทความชีวิตพระเยซูคริสต์
ดูต่อครับ
Luke 9:21 พระองค์จึงกำชับสั่งเขามิให้บอกความนี้แก่ผู้ใด
Luke 9:22 และตรัสว่า “บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ พวกผู้ใหญ่ พวกมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์จะไม่ยอมรับพระองค์ ในที่สุดพระองค์จะต้องถึงถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่”
Luke 9:23 พระองค์จึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า “ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา
Luke 9:24 เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด
Luke 9:25 เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียตัวของตนเองผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร
Luke 9:26 เพราะถ้าผู้ใดมีความอายเพราะเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะผู้นั้น เมื่อท่านจะมาด้วยพระสิริของท่านเอง ของพระบิดา และของเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์
Luke 9:27 แต่เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มีบางคนที่ยืนอยู่ที่นี่ซึ่งยังจะไม่รู้รสความตาย จนกว่าจะได้เห็นแผ่นดินของพระเจ้า”
ดูต่อครับ
Luke 9:21 พระองค์จึงกำชับสั่งเขามิให้บอกความนี้แก่ผู้ใด
Luke 9:22 และตรัสว่า “บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ พวกผู้ใหญ่ พวกมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์จะไม่ยอมรับพระองค์ ในที่สุดพระองค์จะต้องถึงถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่”
Luke 9:23 พระองค์จึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า “ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา
Luke 9:24 เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด
Luke 9:25 เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียตัวของตนเองผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร
Luke 9:26 เพราะถ้าผู้ใดมีความอายเพราะเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะผู้นั้น เมื่อท่านจะมาด้วยพระสิริของท่านเอง ของพระบิดา และของเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์
Luke 9:27 แต่เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มีบางคนที่ยืนอยู่ที่นี่ซึ่งยังจะไม่รู้รสความตาย จนกว่าจะได้เห็นแผ่นดินของพระเจ้า”
หลังจากพวกสาวกได้กล่าวถูกต้องว่าพระเยซูคริสต์คือผู้รับการเจิมของพระเจ้า และงานของพระผู้ไถ่ พระผู้ช่วยให้รอด คือเข้ามาในโลกเพื่อมารับโทษทัณฑ์ความผิดบาปมาเพื่อสิ้นชีวิตแทนคนทุกคนในโลกดังที่พระเยซูได้กล่าวไว้ในข้อ 22 พระเยซูเป็นบุตรหัวปี Rom 8:29 เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉาย แห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก ดังนั้นพระองค์จึงบอกไว้ในข้อ 23 ผู้ใดใคร่ตามพระองค์ไป ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง แบกกางเขนของตนทุกวัน (กางเขนของตนนะครับ ไม่ใช่กางเขนของคนอื่น และต้องแบกทุกวันด้วย) แล้วก็ตามพระองค์ไป
กางเขนของพระเยซูคือการรับแบกความผิดบาปของคนทั้งโลก กางเขนของท่านคืออะไร ท่านคงต้องคิดเองและถามพระเจ้า เพราะกางเขนของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน หน้าที่ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เราจะเอามาทดแทนกันไม่ได้ พระเจ้าเรียกเรามาแต่ละคนไม่เหมือนกัน 1Cor 3:5 อปอลโลคือผู้ใด เปาโลคือผู้ใด คือผู้รับใช้ ซึ่งได้สอนพวกท่านให้เชื่อ เราแต่ละคนได้รับใช้ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดให้
ที่แน่ๆคือพระองค์เป็นบุตรหัวปีของเรา พระองค์เผชิญสิ่งใด พวกเราทั้งหลายคงเผชิญเหมือนดังสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้เผชิญเช่นกัน ข้อเตือนใจของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ข้อ 24 เป็นต้นไป ถ้าจะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่พระเยซู ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด เหมือนพระเยซูเสียชีวิตเพื่อให้คนในโลกได้รับความรอด สำหรับข้อความตอนนี้ก็เป็นตอนที่ชี้ให้เราเห็นว่า ถ้าเราทำสิ่งใดในโลกนี้ด้วยความเสียสละหรือแม้แต่กระทั่งเสียชีวิตจริงๆ แต่ในจิตวิญญาณของเขาได้รับความรอดแล้ว แต่คนที่ไม่ได้แสวงหาพระคริสต์ หวังเพียงตนเองจะไ้ด้ชีวิตรอด หวังเพียงสิ่งของที่อยู่ในโลกนี้ แต่จิตวิญญาณของเขาจะเสียไป เหมือนข้อต่อไปข้อ 25 ได้บอกให้เป็นข้อคิดว่า ถ้าเราแสวงหาสิ่งของสิ้นทั้งโลกนี้ ได้มีสิ่งของสิ้นทั้งโลกนี้ ได้เพียงของในโลก แต่ไม่ได้สะสมไว้สำหรับของที่อยู่เบื้องบน สะสมเพียงของที่อยู่ในโลกจะได้ประโยชน์อะไร
ดังนั้นถ้าเรายอมสละชีวิตเรา สละความเหนื่อยยากของเรา สละบางสิ่งบางอย่างในชีวิตเรา เพื่อผู้อื่นจะได้ชีิวิตนั่นก็เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก ข้อ 26 ได้บอกต่อว่า ในชีวิตคริสเตียนของเรา ถ้าเราอายมนุษย์ ไม่กล้ายอมรับต่อหน้าคนทั้งปวงว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ไม่กล้ากล่าวยอมรับพระคริสต์ต่อหน้าคนทั้งปวง พระคัมภีร์ข้อนี้บอกว่า พระองค์จะไม่กล่าวยอมรับเราต่อหน้าพระบิดาด้วย
อธิษฐาน : ข้าแต่พระคริสต์เจ้า ขอพระองค์ประทานกำลังเข้มแข็งให้กับคริสเตียนทุกคนในสภาวะการณ์เช่นยามนี้ ที่คนไทยทุกคนจะต้องช่วยเหลือกัน ขอพระเจ้าละลายใจคนไทยทุกคนให้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ให้เขาทั้งหลายได้เห็นประชาชนในยามทุกข์ยากและร่วมมือกัน ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวกอีกต่อไป และขอประทานช่องทางให้สมาชิกทั้งหลายมีส่วนช่วยเหลือสังคมในจุดต่างๆได้ ขอพระเจ้าเป็นกำลังเป็นเรี่ยวแรงเป็นผู้ปลอบประโลมพี่น้องบางส่วนที่ประสบภัยน้ำท่วมอยู่ในเวลานี้ด้วย ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน...
วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ชีวิตพระเยซูคริสต์ : พระเยซูคือผู้ใด - พระคริสต์ ผู้รับการเจิม
รวมบทความชีวิตพระเยซูคริสต์
แบ่งปันพระคัมภีร์ต่อครับ
Luke 9:18 เมื่อพระองค์กำลังอธิษฐานอยู่แต่ลำพัง เหล่าสาวกอยู่กับพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า “คนทั้งปวงพูดกันว่าเราเป็นผู้ใด”
Luke 9:19 เหล่าสาวกทูลตอบว่า “เขาว่าเป็นยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา บางคนว่าเป็นเอลียาห์ แต่คนอื่นว่าเป็นคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะโบราณเป็นขึ้นมาใหม่”
Luke 9:20 พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า “แล้วพวกท่านเล่าว่าเราเป็นใคร” เปโตรทูลตอบว่า “เป็นพระคริสต์ของพระเจ้า”
พระเยซูมีเวลาที่จะอธิษฐานตามลำพังเสมอเพื่อสนทนากับพระบิดา แล้วพระองค์ตรัสถามพวกสาวกว่า "คนทั้งปวงพูดกันว่าเราเป็นผู้ใด" ซึ่งเราได้ดูเหตุก่อนหน้านี้ถึงข้อสงสัยว่า พระเยซูคือผู้ใด วันนี้เรามาดูคำตอบกันครับ สิ่งที่เปโตรตอบได้นั้นคือคำตอบทีถูกต้อง เปโตรตอบว่า "เป็นพระคริสต์ของพระเจ้า" ภาษาอังกฤษคือ The Christ of God ภาษากรีกคือ τὸν χριστὸν τοῦ θεοῦ.
Χριστός Christos (khris-tos') พระคริสต์แปลว่า (ตามตัวอักษร) ผู้รับการเจิม , (ทับศัพท์) พระคริสต์ , (อย่างเหมาะสม)พระมาซีฮา , ผู้รับการเจิมของพระเจ้าของอับราฮาม อิสอัค และยาโคบ , (หน้าที่) พระผู้ไถ่ พระผู้ช่วยให้รอด
θεός theos (theh-os') พระเจ้า (โดยปริยาย)ผู้พิพากษา
พระเยซูถามว่าพระองค์คือผู้ใด เปโตรตอบว่าคือ Chirstos ของ Theos ผู้รับการเจิมของพระเจ้า เป็นพระผู้ไถ่ พระผู้ช่วยให้รอดของพระเจ้า มาเพื่อช่วยคนทั้งหลายที่ต้อนรับพระองค์ให้รอดพ้นจากความผิดบาป Luke 2:11 เพราะว่าในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลาย คือพระคริสตเจ้า มาบังเกิดที่เมืองดาวิด นี่เป็นคำพูดของทูตสวรรค์ที่มาแจ้งข่าวดีแก่คนเลี้ยงแกะ
กลับมาที่คำพูดคำตอบของเปโตร ในพระธรรมมัทธิว Matt 16:17 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ซีโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย ท่านก็เป็นสุขเพราะว่ามนุษย์มิได้แจ้งความนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ เป็นพระบิดาสำแดงความจริงนี้ให้แก่เปโตรได้ทราบ
คนจะรู้ความจริงนี้ได้จึงต้องได้รับการเปิดเผยให้ทราบ Rom 16:25 จงถวายพระเกียรติแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ อาจให้ท่านทั้งหลายตั้งมั่นคงตามกิตติคุณ ซึ่งข้าพเจ้าได้ประกาศนั้น และตามที่ได้ประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ ตามการเปิดเผยข้อความอันล้ำลึก ซึ่งได้ปิดบังไว้ตั้งแต่อดีตกาล
Rom 16:26 แต่มาบัดนี้ได้เปิดเผยให้ปรากฏแล้ว และโดยคัมภีร์ผู้เผยพระวจนะทรงให้ชนชาติทั้งปวงเห็นประจักษ์ ตามซึ่งพระเจ้าผู้ทรงดำรงถาวร ได้ทรงบัญชาไว้เพื่อให้เขาได้เชื่อ
Rom 16:27 โดยพระเยซูคริสต์ ขอพระสิริจงมีแด่พระเจ้าผู้ทรงสัพพัญญูแต่องค์เดียวสืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน พระวจนะของพระองค์เป็นความจริงเปิดเผยข้อล้ำลึกให้คนทั้งปวงได้ทราบว่า พระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด
แบ่งปันพระคัมภีร์ต่อครับ
Luke 9:18 เมื่อพระองค์กำลังอธิษฐานอยู่แต่ลำพัง เหล่าสาวกอยู่กับพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า “คนทั้งปวงพูดกันว่าเราเป็นผู้ใด”
Luke 9:19 เหล่าสาวกทูลตอบว่า “เขาว่าเป็นยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา บางคนว่าเป็นเอลียาห์ แต่คนอื่นว่าเป็นคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะโบราณเป็นขึ้นมาใหม่”
Luke 9:20 พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า “แล้วพวกท่านเล่าว่าเราเป็นใคร” เปโตรทูลตอบว่า “เป็นพระคริสต์ของพระเจ้า”
พระเยซูมีเวลาที่จะอธิษฐานตามลำพังเสมอเพื่อสนทนากับพระบิดา แล้วพระองค์ตรัสถามพวกสาวกว่า "คนทั้งปวงพูดกันว่าเราเป็นผู้ใด" ซึ่งเราได้ดูเหตุก่อนหน้านี้ถึงข้อสงสัยว่า พระเยซูคือผู้ใด วันนี้เรามาดูคำตอบกันครับ สิ่งที่เปโตรตอบได้นั้นคือคำตอบทีถูกต้อง เปโตรตอบว่า "เป็นพระคริสต์ของพระเจ้า" ภาษาอังกฤษคือ The Christ of God ภาษากรีกคือ τὸν χριστὸν τοῦ θεοῦ.
Χριστός Christos (khris-tos') พระคริสต์แปลว่า (ตามตัวอักษร) ผู้รับการเจิม , (ทับศัพท์) พระคริสต์ , (อย่างเหมาะสม)พระมาซีฮา , ผู้รับการเจิมของพระเจ้าของอับราฮาม อิสอัค และยาโคบ , (หน้าที่) พระผู้ไถ่ พระผู้ช่วยให้รอด
θεός theos (theh-os') พระเจ้า (โดยปริยาย)ผู้พิพากษา
พระเยซูถามว่าพระองค์คือผู้ใด เปโตรตอบว่าคือ Chirstos ของ Theos ผู้รับการเจิมของพระเจ้า เป็นพระผู้ไถ่ พระผู้ช่วยให้รอดของพระเจ้า มาเพื่อช่วยคนทั้งหลายที่ต้อนรับพระองค์ให้รอดพ้นจากความผิดบาป Luke 2:11 เพราะว่าในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลาย คือพระคริสตเจ้า มาบังเกิดที่เมืองดาวิด นี่เป็นคำพูดของทูตสวรรค์ที่มาแจ้งข่าวดีแก่คนเลี้ยงแกะ
กลับมาที่คำพูดคำตอบของเปโตร ในพระธรรมมัทธิว Matt 16:17 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ซีโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย ท่านก็เป็นสุขเพราะว่ามนุษย์มิได้แจ้งความนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ เป็นพระบิดาสำแดงความจริงนี้ให้แก่เปโตรได้ทราบ
คนจะรู้ความจริงนี้ได้จึงต้องได้รับการเปิดเผยให้ทราบ Rom 16:25 จงถวายพระเกียรติแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ อาจให้ท่านทั้งหลายตั้งมั่นคงตามกิตติคุณ ซึ่งข้าพเจ้าได้ประกาศนั้น และตามที่ได้ประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ ตามการเปิดเผยข้อความอันล้ำลึก ซึ่งได้ปิดบังไว้ตั้งแต่อดีตกาล
Rom 16:26 แต่มาบัดนี้ได้เปิดเผยให้ปรากฏแล้ว และโดยคัมภีร์ผู้เผยพระวจนะทรงให้ชนชาติทั้งปวงเห็นประจักษ์ ตามซึ่งพระเจ้าผู้ทรงดำรงถาวร ได้ทรงบัญชาไว้เพื่อให้เขาได้เชื่อ
Rom 16:27 โดยพระเยซูคริสต์ ขอพระสิริจงมีแด่พระเจ้าผู้ทรงสัพพัญญูแต่องค์เดียวสืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน พระวจนะของพระองค์เป็นความจริงเปิดเผยข้อล้ำลึกให้คนทั้งปวงได้ทราบว่า พระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด
ส่วนพระเจ้าของยุคนี้ได้ปิดบังตาใจของคนไว้เพื่อไม่ให้เขาถึงความรอด 2Cor 4:4 ส่วนคนที่ไม่เชื่อนั้น พระของยุคนี้ได้กระทำใจของเขาให้มืดไป เพื่อไม่ให้เขาได้เห็นความสว่างของข่าวประเสริฐ เรื่องพระสิริของพระคริสต์ผู้เป็นพระฉายของพระเจ้า เราถึงต้องอธิษฐานต่อสู้กับสิ่งที่ปิดบังตาใจ ขอพระเจ้าช่วยเปิดเผยพระองค์เองให้คนเหล่านี้ได้มาถึงความจริงของพระเจ้าว่า พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าผู้รับการเจิมมาช่วยคนในโลกมนุึษย์ให้รอดพ้นจากความผิดบาป
อธิษฐาน : ข้าแต่พระเจ้าของโปรดเปิดเผยสำแดงพระองค์เองให้คนทั้งหลายได้รู้จักพระเยซูคริสต์ผู้เป็นความจริง ขอเร้าใจพวกข้าพระองค์ทั้งหลายให้มีความกล้าหาญนำข่าวประเสริฐไปสู่คนทั้งหลายด้วยคำสั่งสอนและด้วยการกระทำหมายสำคัญการอัศจรรย์ ขอเชื่อพึ่งในพระองค์ว่าจะทรงอยู่ด้วยกับพวกข้าพระองค์ตลอดไป ขอบคุณพระองค์ ขอบคุณพระคริสต์ พระผู้ไถ่ พระผู้ช่วยให้รอด ผู้รับการเจิมเสด็จเข้ามาในโลกเพื่อช่วยคนทั้งหลายให้รับความรอด และขอทรงโปรดรักษาพวกข้าพระองค์ทั้งหลายไว้ในความจริงจนกว่าจะถึงวันที่พระองค์จะเสด็จกลับมารับพวกเราไปอยู่กับพระองค์ ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน...
วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ชีวิตพระเยซูคริสต์ : กระทำตามสิ่งที่พระเยซูบอกให้ทำด้วยความเชื่อ
รวมบทความชีวิตพระเยซูคริสต์
จากเหตุการณ์ครั้งก่อนๆ พระเยซูทำพระราชกิจอยู่ที่เก-ราซา(ฝั่งขวาล่างของรูปGadara)รักษาคนเจ็บป่วย ขับผี ฯลฯ และพระเยซูได้ส่งสาวกไป 12 คน ไปสั่งสอนและกระทำการอัศจรรย์เช่นพระเยซูคริสต์ เมื่อพวกเขากลับมาแล้ว และได้เล่าถึงบรรดาการที่เขาได้กระทำแล้ว พระองค์จึงพาเขาไปต่อที่เบธไซดา (อยู่ริมทะเลสาบด้านภาพบนขวาBethsaida)
Luke 9:10 ครั้นอัครทูตกลับมาแล้ว เขาทูลพระองค์ถึงบรรดาการ ซึ่งเขาได้กระทำนั้น พระองค์จึงพาเขาไปแต่ลำพังถึงเมืองที่เรียกว่าเบธไซดา
Luke 9:11 แต่เมื่อประชาชนรู้แล้วจึงตามพระองค์ไป พระองค์ทรงต้อนรับเขา ตรัสสั่งสอนเขาถึงแผ่นดินของพระเจ้า และทุกคนที่ต้องการให้หายโรคพระองค์ก็ทรงรักษาให้
Luke 9:12 ครั้นกำลังจะเย็นแล้ว สาวกสิบสองคนมาทูลพระองค์ว่า “ขอให้ประชาชนไปตามบ้านไร่บ้านนาที่อยู่แถบนี้ หาที่พักนอนและหาอาหารรับประทานเพราะที่เราอยู่นี้เป็นที่เปลี่ยว”
Luke 9:13 แต่พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด” เขาทูลว่า “เราไม่มีอะไรมาก มีแต่ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว เว้นเสียแต่เราจะไปซื้ออาหารสำหรับคนทั้งปวงนี้”
Luke 9:14 เพราะว่าคนเหล่านั้นนับแต่ผู้ชายประมาณห้าพันคน พระองค์จึงสั่งเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “จงให้คนทั้งปวงนั่งลงเป็นหมู่ๆ ราวหมู่ละห้าสิบคน”
Luke 9:15 เขาจึงกระทำตาม คือให้คนทั้งปวงเอนกายลง
Luke 9:16 เมื่อพระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว ก็แหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ขอพร แล้วหักส่งให้แก่เหล่าสาวก ให้เขาแจกแก่ประชาชน
Luke 9:17 เขาได้กินอิ่มทุกคน แล้วเขาเก็บเศษอาหารที่ยังเหลือนั้นได้สิบสองกระบุง
จะสังเกตุว่าตอนแรกพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูพาไปเบธไซดาแต่เพียงลำพัง แสดงว่าไม่มีประชาชนอยู่ด้วย มีเพียงพวกสาวกเหล่าอัครทูต ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระองค์ใช้เวลาสั่งสอนตามลำพังกับพวกสาวกของพระองค์ เล่าเหตุการณ์เรื่องต่่างๆที่เกิดขึ้นหลังจากสาวก 12 คนออกไปตามที่พระเยซูใช้ให้ไปด้วยอำนาจและสิทธิอำนาจ (ฉบับไทยคิงเจมส์ ภาษาไทยฉบับ1971แปลไม่กระจ่างเท่าคิงเจมส์) ผมเคยแบ่งปันเรื่องนี้นานมาแล้วว่า dunamisหรืออำนาจ นั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่ให้กับเราแล้ว ให้เรามีอำนาจรักษาคนเจ็บคนป่วย ฯลฯ ส่วนสิทธิอำนาจหรือexousia นั้น บางครั้งภาษาไทยก็แปลเป็นอำนาจเหมือนกันในบางทีซึ่งฉบับ1971 แปลทั้งสองคำในตอนนี้ว่า อำนาจ ส่วนฉบับไทยคิงเจมส์แปลตามฉบับคิงเจมส์ซึ่งแปลตามภาษากรีก exousiaในตอนนี้คือสิทธิอำนาจที่พระเจ้าให้กับเราแล้วเช่นเดียวกัีน ผมเคยอธิบายว่า ตำรวจกับรถบรรทุกขนาดต่างกัน แต่รถบรรทุกต้องหยุดให้เมื่อตำรวจยกมือให้หยุด เพราะตำรวจมีสิทธิอำนาจ เช่นเดียวกันนี่คือสถานะของเราที่มีสิทธิอำนาจเหนือผีร้ายทั้งปวง Luke 10:19 ดูเถิด เราได้ให้พวกท่านมีอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่อง และมีอำนาจใหญ่ยิ่งกว่ากำลังศัตรู ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะทำอันตรายแก่ท่านได้เลย เรามีอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่อง อำนาจในตอนนี้คือ exousia และมีอำนาจใหญ่ยิ่งกว่ากำลังศัตรู อำนาจในตอนนี้คือ dunamis ในภาษาอังกฤษคำนี้ก็เช่นกันแปลอย่างเดียวกันว่า power ซึ่งที่จริงควรจะเป็น authority และ power ครับก็ให้ท่านทั้งหลายได้ดูเบื้องหลังคำ เพื่อท่านจะได้ลึกซึ้งในพระวจนะพระเจ้า และเข้าใจสถานะของเรามากขึ้น คริสเตียนจึงควรดำเนินชีวิตให้ดีถวายพระเกีัยรติพระเจ้าเพื่อท่านจะได้มีความมั่นใจในอำนาจและสถานะที่พระเจ้าให้กับท่าน ถ้าท่านไม่รักษาชีวิต ท่านจะมีความมั่นใจหรือ เมื่อท่านอธิษฐานเผื่อคนเจ็บป่วย หรือไปขับผี เพราะว่าทุกสิ่งเราทำด้วยความเชื่อ ถ้าท่านไม่รักษาชีวิตของท่านไว้ให้อยู่ในอยู่โดยพระคุณของพระเจ้าตลอดเวลา แล้วท่านจะมีความเชื่อในฤทธิ์อำนาจการอัศจรรย์ของพระเจ้าหรือ เพราะบาปเป็นอุปสรรคขวางกั้นระหว่างท่านกับพระเจ้า ท่านจึงควรสำรวจตนเองเสมอ เผลอไปทำสิ่งใดผิดหรือเปล่า อธิษฐานสารภาพบาป ขอพระคุณพระเจ้าช่วยเหลือท่าน ชำระบาปท่าน และขอพระเจ้าช่วยท่าน เพื่อท่านจะไม่ทำสิ่งผิดนั้นอีกต่อไป อย่าลืมว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องร่วมมือทั้งสองฝ่าย ฝ่ายพระเจ้าท่านขอพระเจ้าเมตตาช่วยท่าน แต่ฝ่ายท่านต้องร่วมมือด้วยความตั้งใจของท่านด้วยที่จะไม่ทำสิ่งผิดนั้นอีก
ที่นี้พอประชาชนรู้แล้วว่าพระเยซูคริสต์อยู่ที่ไหนพวกเขาก็ตามพระองค์ไป ขอบคุณพระเยซู ข้อ 11 พระองค์ไม่เคยปฏิเสธประชาชนที่มาหาพระองค์ พระองค์ต้อนรับพวกเขาอยู่เสมอ เช่นกันครับพระองค์ไม่เคยปฏิเสธพวกท่าน ความต้องการ ความอ่อนแอ ความผิดบาป ฯลฯ พระองค์ช่วยได้ ที่นี่เราเห็นอีกครั้งแล้วว่าพระองค์สั่งสอนเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าและรักษาโรคให้หาย เราเห็นอีกแล้วว่านี่คือตัวอย่างการรับใช้่แบบพระเยซูคริสต์ ทั้งสอนและกระทำ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมไปเทศน์ที่ปทุมฯ พระธรรมตอนที่ผมเทศน์ก็บอกพระราชกิจพระเยซูเช่นเดียวกัน คือ สั่งสอนและกระทำ หวังใจว่านี่จะเป็นบทเรียนบทหนึ่งในการรับใช้พระเจ้าของท่านนะครับ ออกไปที่ใด ไปหาใคร สั่งสอนความจริงเรื่องแผ่นดินพระเจ้าและกระทำหมายสำคัญการอัศจรรย์ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า
ชีวิตและการรับใช้ต้องไปด้วยกันครับ ชีวิตดีเราจะมีความกล้าหาญในการทำทุักสิ่งเพื่อพระคริสต์ครับ เหมือนอย่างเหตุการณ์ในตอนนี้ ถ้าชีวิตเราดี เราก็จะมีความเชื่อ พระเยซูสั่งให้ทำอะไร เราจะมีความกล้าหาญที่จะทำด้วยความเชื่อ อย่างในตอนนี้พระเยซูบอกให้พวกเขาทำอะไร พวกเขาก็กระทำตาม ข้อ 15 พวกสาวกนั้นยังมีความคิดที่เป็นแบบมนุษย์อยู่ ในสภาพมนุษย์ที่มีความจำกัด เมื่อเห็นว่าเย็นลงแล้ว พวกสาวกก็บอกพระเยซูให้ส่งพวกเขากลับไปเพื่อพวกเขาจะได้หาที่พักนอนและหาอาหารทาน แต่พระเยซูบอกให้เลี้ยงพวกเขา พวกสาวกบอกว่าไม่มีอาหารมาก ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวเท่านั้น เว้นแต่จะไปซื้อมา แต่พระเยซูบอกให้พวกเขานั่งลงเป็นหมู่ๆ หมู่ละห้าสิบคน ท่านจะเห็นว่าพระเยซูมีการบริหารงานจัดแจงงานให้เป็นกลุ่มๆ แทนที่จะให้ทั้งห้าพันคนนั่งลงแบบสะเปะสะปะ แต่พระเยซูให้นั่งลงเป็นกลุ่มๆทำไม เพื่อเป็นการง่ายในการแจกขนมปังและปลา เป็นการบริหารในการแจก ไม่แจกโดยไม่มีทิศทาง แต่แจกโดยมียุทธศาสตร์ในการแจก(ภาษาการบริหาร) แจกแล้วไม่สับสน แจกลงไปในกลุ่มห้าสิบคน ก็จะมีทั้งหมดร้อยกลุ่ม พวกสาวกก็จะแจกได้โดยใช้เวลาแป๊ปเดียวแทนที่จะต้องแจกกับทุกคนห้าพันคน ก็มาแจกให้กับกลุ่มร้อยกลุ่มแทน และในกลุ่มนั้นก็มาแจกจ่ายกันไปต่ออีกห้าสิบคน ตัวอย่้างการบริหารงานเราก็ได้เห็นแล้วที่นี่
ดังนั้นในการดำเนินงานคจ. ในการรับใช้ เราคงไม่สามารถใช้เพียงความเชื่ออย่างเดียว แต่ใช้ความเชื่อพร้อมด้วยการจัดแจงจัดการด้วยว่าจะทำอย่างไรต่อไป ในการดำเนินการคจ.และในการรับใช้ของเรา เราต้องฟังเสียงผู้เลี้ยงคือพระเยซูด้วยว่าพระองค์ประสงค์จะให้เราทำอย่างไร เมื่อพระองค์บอกเราก็กระทำตามด้วยความเชื่อ ไม่ขาดความเชื่อ ทำตามสิ่งที่พระเยซูบอกให้ทำด้วยความเชื่อ
คำอธิษฐาน : ข้าแต่พระเยซูคริสต์เจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงห่วงใยมนุษย์ทุึกคน พระองค์ทรงเฝ้าดูชีวิตของพวกเราทั้งหลายอยู่ ไม่มีสิ่งใดที่รอดพ้นสายพระเนตรของพระองค์ได้เพราะพระองค์ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้อยู่ในเรา โดยพระคุณพระเจ้าข้าพเจ้าขอตั้งใจด้วยสุดกำลังที่จะดำเนินชีวิตด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมตลอดไป ขอพระองค์ทรงเพิ่มพูนความเชื่อข้าพเจ้าให้มั่นคงไม่สั่้นคลอน ขอบคุณพระเจ้าขอนำหน้าข้าพระองค์ตลอดไป ข้าพเจ้าจะเชื่อและไว้วางใจในพระองค์ เมื่อพระองค์ตรัสบอก ข้าพระองค์จะเชื่อฟังและกระทำตาม ขอบพระคุณพระเยซูคริสต์เจ้าอาเมน
จากเหตุการณ์ครั้งก่อนๆ พระเยซูทำพระราชกิจอยู่ที่เก-ราซา(ฝั่งขวาล่างของรูปGadara)รักษาคนเจ็บป่วย ขับผี ฯลฯ และพระเยซูได้ส่งสาวกไป 12 คน ไปสั่งสอนและกระทำการอัศจรรย์เช่นพระเยซูคริสต์ เมื่อพวกเขากลับมาแล้ว และได้เล่าถึงบรรดาการที่เขาได้กระทำแล้ว พระองค์จึงพาเขาไปต่อที่เบธไซดา (อยู่ริมทะเลสาบด้านภาพบนขวาBethsaida)
Luke 9:10 ครั้นอัครทูตกลับมาแล้ว เขาทูลพระองค์ถึงบรรดาการ ซึ่งเขาได้กระทำนั้น พระองค์จึงพาเขาไปแต่ลำพังถึงเมืองที่เรียกว่าเบธไซดา
Luke 9:11 แต่เมื่อประชาชนรู้แล้วจึงตามพระองค์ไป พระองค์ทรงต้อนรับเขา ตรัสสั่งสอนเขาถึงแผ่นดินของพระเจ้า และทุกคนที่ต้องการให้หายโรคพระองค์ก็ทรงรักษาให้
Luke 9:12 ครั้นกำลังจะเย็นแล้ว สาวกสิบสองคนมาทูลพระองค์ว่า “ขอให้ประชาชนไปตามบ้านไร่บ้านนาที่อยู่แถบนี้ หาที่พักนอนและหาอาหารรับประทานเพราะที่เราอยู่นี้เป็นที่เปลี่ยว”
Luke 9:13 แต่พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด” เขาทูลว่า “เราไม่มีอะไรมาก มีแต่ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว เว้นเสียแต่เราจะไปซื้ออาหารสำหรับคนทั้งปวงนี้”
Luke 9:14 เพราะว่าคนเหล่านั้นนับแต่ผู้ชายประมาณห้าพันคน พระองค์จึงสั่งเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “จงให้คนทั้งปวงนั่งลงเป็นหมู่ๆ ราวหมู่ละห้าสิบคน”
Luke 9:15 เขาจึงกระทำตาม คือให้คนทั้งปวงเอนกายลง
Luke 9:16 เมื่อพระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว ก็แหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ขอพร แล้วหักส่งให้แก่เหล่าสาวก ให้เขาแจกแก่ประชาชน
Luke 9:17 เขาได้กินอิ่มทุกคน แล้วเขาเก็บเศษอาหารที่ยังเหลือนั้นได้สิบสองกระบุง
จะสังเกตุว่าตอนแรกพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูพาไปเบธไซดาแต่เพียงลำพัง แสดงว่าไม่มีประชาชนอยู่ด้วย มีเพียงพวกสาวกเหล่าอัครทูต ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระองค์ใช้เวลาสั่งสอนตามลำพังกับพวกสาวกของพระองค์ เล่าเหตุการณ์เรื่องต่่างๆที่เกิดขึ้นหลังจากสาวก 12 คนออกไปตามที่พระเยซูใช้ให้ไปด้วยอำนาจและสิทธิอำนาจ (ฉบับไทยคิงเจมส์ ภาษาไทยฉบับ1971แปลไม่กระจ่างเท่าคิงเจมส์) ผมเคยแบ่งปันเรื่องนี้นานมาแล้วว่า dunamisหรืออำนาจ นั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่ให้กับเราแล้ว ให้เรามีอำนาจรักษาคนเจ็บคนป่วย ฯลฯ ส่วนสิทธิอำนาจหรือexousia นั้น บางครั้งภาษาไทยก็แปลเป็นอำนาจเหมือนกันในบางทีซึ่งฉบับ1971 แปลทั้งสองคำในตอนนี้ว่า อำนาจ ส่วนฉบับไทยคิงเจมส์แปลตามฉบับคิงเจมส์ซึ่งแปลตามภาษากรีก exousiaในตอนนี้คือสิทธิอำนาจที่พระเจ้าให้กับเราแล้วเช่นเดียวกัีน ผมเคยอธิบายว่า ตำรวจกับรถบรรทุกขนาดต่างกัน แต่รถบรรทุกต้องหยุดให้เมื่อตำรวจยกมือให้หยุด เพราะตำรวจมีสิทธิอำนาจ เช่นเดียวกันนี่คือสถานะของเราที่มีสิทธิอำนาจเหนือผีร้ายทั้งปวง Luke 10:19 ดูเถิด เราได้ให้พวกท่านมีอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่อง และมีอำนาจใหญ่ยิ่งกว่ากำลังศัตรู ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะทำอันตรายแก่ท่านได้เลย เรามีอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่อง อำนาจในตอนนี้คือ exousia และมีอำนาจใหญ่ยิ่งกว่ากำลังศัตรู อำนาจในตอนนี้คือ dunamis ในภาษาอังกฤษคำนี้ก็เช่นกันแปลอย่างเดียวกันว่า power ซึ่งที่จริงควรจะเป็น authority และ power ครับก็ให้ท่านทั้งหลายได้ดูเบื้องหลังคำ เพื่อท่านจะได้ลึกซึ้งในพระวจนะพระเจ้า และเข้าใจสถานะของเรามากขึ้น คริสเตียนจึงควรดำเนินชีวิตให้ดีถวายพระเกีัยรติพระเจ้าเพื่อท่านจะได้มีความมั่นใจในอำนาจและสถานะที่พระเจ้าให้กับท่าน ถ้าท่านไม่รักษาชีวิต ท่านจะมีความมั่นใจหรือ เมื่อท่านอธิษฐานเผื่อคนเจ็บป่วย หรือไปขับผี เพราะว่าทุกสิ่งเราทำด้วยความเชื่อ ถ้าท่านไม่รักษาชีวิตของท่านไว้ให้อยู่ในอยู่โดยพระคุณของพระเจ้าตลอดเวลา แล้วท่านจะมีความเชื่อในฤทธิ์อำนาจการอัศจรรย์ของพระเจ้าหรือ เพราะบาปเป็นอุปสรรคขวางกั้นระหว่างท่านกับพระเจ้า ท่านจึงควรสำรวจตนเองเสมอ เผลอไปทำสิ่งใดผิดหรือเปล่า อธิษฐานสารภาพบาป ขอพระคุณพระเจ้าช่วยเหลือท่าน ชำระบาปท่าน และขอพระเจ้าช่วยท่าน เพื่อท่านจะไม่ทำสิ่งผิดนั้นอีกต่อไป อย่าลืมว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องร่วมมือทั้งสองฝ่าย ฝ่ายพระเจ้าท่านขอพระเจ้าเมตตาช่วยท่าน แต่ฝ่ายท่านต้องร่วมมือด้วยความตั้งใจของท่านด้วยที่จะไม่ทำสิ่งผิดนั้นอีก
ที่นี้พอประชาชนรู้แล้วว่าพระเยซูคริสต์อยู่ที่ไหนพวกเขาก็ตามพระองค์ไป ขอบคุณพระเยซู ข้อ 11 พระองค์ไม่เคยปฏิเสธประชาชนที่มาหาพระองค์ พระองค์ต้อนรับพวกเขาอยู่เสมอ เช่นกันครับพระองค์ไม่เคยปฏิเสธพวกท่าน ความต้องการ ความอ่อนแอ ความผิดบาป ฯลฯ พระองค์ช่วยได้ ที่นี่เราเห็นอีกครั้งแล้วว่าพระองค์สั่งสอนเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าและรักษาโรคให้หาย เราเห็นอีกแล้วว่านี่คือตัวอย่างการรับใช้่แบบพระเยซูคริสต์ ทั้งสอนและกระทำ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมไปเทศน์ที่ปทุมฯ พระธรรมตอนที่ผมเทศน์ก็บอกพระราชกิจพระเยซูเช่นเดียวกัน คือ สั่งสอนและกระทำ หวังใจว่านี่จะเป็นบทเรียนบทหนึ่งในการรับใช้พระเจ้าของท่านนะครับ ออกไปที่ใด ไปหาใคร สั่งสอนความจริงเรื่องแผ่นดินพระเจ้าและกระทำหมายสำคัญการอัศจรรย์ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า
ชีวิตและการรับใช้ต้องไปด้วยกันครับ ชีวิตดีเราจะมีความกล้าหาญในการทำทุักสิ่งเพื่อพระคริสต์ครับ เหมือนอย่างเหตุการณ์ในตอนนี้ ถ้าชีวิตเราดี เราก็จะมีความเชื่อ พระเยซูสั่งให้ทำอะไร เราจะมีความกล้าหาญที่จะทำด้วยความเชื่อ อย่างในตอนนี้พระเยซูบอกให้พวกเขาทำอะไร พวกเขาก็กระทำตาม ข้อ 15 พวกสาวกนั้นยังมีความคิดที่เป็นแบบมนุษย์อยู่ ในสภาพมนุษย์ที่มีความจำกัด เมื่อเห็นว่าเย็นลงแล้ว พวกสาวกก็บอกพระเยซูให้ส่งพวกเขากลับไปเพื่อพวกเขาจะได้หาที่พักนอนและหาอาหารทาน แต่พระเยซูบอกให้เลี้ยงพวกเขา พวกสาวกบอกว่าไม่มีอาหารมาก ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวเท่านั้น เว้นแต่จะไปซื้อมา แต่พระเยซูบอกให้พวกเขานั่งลงเป็นหมู่ๆ หมู่ละห้าสิบคน ท่านจะเห็นว่าพระเยซูมีการบริหารงานจัดแจงงานให้เป็นกลุ่มๆ แทนที่จะให้ทั้งห้าพันคนนั่งลงแบบสะเปะสะปะ แต่พระเยซูให้นั่งลงเป็นกลุ่มๆทำไม เพื่อเป็นการง่ายในการแจกขนมปังและปลา เป็นการบริหารในการแจก ไม่แจกโดยไม่มีทิศทาง แต่แจกโดยมียุทธศาสตร์ในการแจก(ภาษาการบริหาร) แจกแล้วไม่สับสน แจกลงไปในกลุ่มห้าสิบคน ก็จะมีทั้งหมดร้อยกลุ่ม พวกสาวกก็จะแจกได้โดยใช้เวลาแป๊ปเดียวแทนที่จะต้องแจกกับทุกคนห้าพันคน ก็มาแจกให้กับกลุ่มร้อยกลุ่มแทน และในกลุ่มนั้นก็มาแจกจ่ายกันไปต่ออีกห้าสิบคน ตัวอย่้างการบริหารงานเราก็ได้เห็นแล้วที่นี่
ดังนั้นในการดำเนินงานคจ. ในการรับใช้ เราคงไม่สามารถใช้เพียงความเชื่ออย่างเดียว แต่ใช้ความเชื่อพร้อมด้วยการจัดแจงจัดการด้วยว่าจะทำอย่างไรต่อไป ในการดำเนินการคจ.และในการรับใช้ของเรา เราต้องฟังเสียงผู้เลี้ยงคือพระเยซูด้วยว่าพระองค์ประสงค์จะให้เราทำอย่างไร เมื่อพระองค์บอกเราก็กระทำตามด้วยความเชื่อ ไม่ขาดความเชื่อ ทำตามสิ่งที่พระเยซูบอกให้ทำด้วยความเชื่อ
คำอธิษฐาน : ข้าแต่พระเยซูคริสต์เจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงห่วงใยมนุษย์ทุึกคน พระองค์ทรงเฝ้าดูชีวิตของพวกเราทั้งหลายอยู่ ไม่มีสิ่งใดที่รอดพ้นสายพระเนตรของพระองค์ได้เพราะพระองค์ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้อยู่ในเรา โดยพระคุณพระเจ้าข้าพเจ้าขอตั้งใจด้วยสุดกำลังที่จะดำเนินชีวิตด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมตลอดไป ขอพระองค์ทรงเพิ่มพูนความเชื่อข้าพเจ้าให้มั่นคงไม่สั่้นคลอน ขอบคุณพระเจ้าขอนำหน้าข้าพระองค์ตลอดไป ข้าพเจ้าจะเชื่อและไว้วางใจในพระองค์ เมื่อพระองค์ตรัสบอก ข้าพระองค์จะเชื่อฟังและกระทำตาม ขอบพระคุณพระเยซูคริสต์เจ้าอาเมน
อีกครั้งหนึ่งให้ชมวีดีโอที่เคยมาฉายในคริสตจักรเรา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)