ต่อครับ ลูกา 9:37-45
37 ต่อมาวันรุ่งขึ้นเมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกลงมาจากภูเขาแล้ว มีคนมากมายมาพบพระองค์ 38 ดูเถิด มีชายคนหนึ่งในหมู่ประชาชนนั้นร้องว่า "อาจารย์เจ้าข้า ขอพระองค์ทรงโปรดทอดพระเนตรบุตรชายของข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้ามีบุตรคนเดียว 39 และ ดูเถิด ผีมักจะเข้าสิงเขา เด็กก็โห่ร้องขึ้นทันที ผีทำให้เด็กนั้นชักดิ้น น้ำลายฟูมปาก ทำให้ตัวฟกช้ำ ไม่ใคร่ออกจากเขาเลย 40 ข้าพเจ้าได้ขอเหล่าสาวกของพระองค์ให้ขับมันออกเสีย แต่เขากระทำไม่ได้" 41 พระเยซูตรัสตอบว่า "โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว เราจะต้องอยู่กับเจ้าทั้งหลายและอดทนเพราะพวกเจ้านานเท่าใด จงพาบุตรของท่านมาที่นี่เถิด" 42 เมื่อเด็กนั้นกำลังมา ผีก็ทำให้เขาล้มชักดิ้นใหญ่ แต่พระเยซูตรัสสำทับผีโสโครกนั้นและทรงรักษาเด็กให้หาย แล้วส่งคืนให้บิดาเขา 43 คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนักเพราะฤทธิ์เดชอันใหญ่ยิ่งของพระเจ้า แต่เมื่อเขาทั้งหลายยังประหลาดใจอยู่เพราะเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งพระเยซูได้ทรงกระทำนั้น พระองค์จึงตรัสแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า 44 จงให้คำเหล่านี้เข้าหูของท่าน เพราะว่าบุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือมนุษย์ 45 แต่คำเหล่านั้นสาวกหาได้เข้าใจไม่ ความก็ถูกซ่อนไว้จากเขา เพื่อเขาจะไม่ได้เข้าใจ และเขาไม่กล้าถามพระองค์ถึงคำนั้น
นี่เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งเกี่ยวกับคนถูกผีเข้าที่มาขอให้พระเยซูช่วยขับผีให้เพราะพวกสาวกขับไม่ออก สาวกนี้อาจเป็นสาวกคนอื่นๆนอกเหนือจากพวกสาวก 12 คนก็เป็นได้ พวกสาวก 12 คนนั้น พระเยซูได้ส่งไปประกาศแผ่นดินพระเจ้าและกระทำการอัศจรรย์ในพระนามพระเยซูเจ้ามาก่อนหน้านี้ แต่พวกสาวกที่กล่าวถึงตรงนี้อาจเป็นพวกสาวกอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้ที่อยู่ใกล้ชิดพระเยซู เพราะสาวกคือผู้ที่เป็นลูกศิษย์ เป็นผู้ติดตาม ได้เรียนรู้ ได้เห็นการอัศจรรย์ต่างๆนานา ในบทที่ 8 ก็ได้เห็นการขับผี รักษาโรค และทำให้คนที่ตายแล้วเป็นขึ้นมาจากความตาย แต่กลัีบไม่สามารถอธิษฐานขับผีได้ พระเยซูจึงบอกว่า "ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว"
"ขาดความเชื่อ" ทั้งๆที่อยู่กับพระเยซูได้เห็นสิ่งต่างๆบังเกิดขึ้นผ่านกิจการที่พระเยซูคริสต์ไ้ด้ทำ ความเชื่อเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของผู้เชื่อ พระวจนะได้บอกไว้ว่า Rom 1:17 เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้สำแดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ ชีิวิตคริสเตียนเป็นชีวิตที่อาศัยความเชื่อ คนทั่วไปจะบอกว่า ทำให้เห็นก่อนแล้วจะเชื่อ แต่พระคัมภีร์ว่า เชื่อก่อนแล้วจึงจะเห็น เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์เราจะเห็นพระวจนะที่หนุนใจให้เรามีความเชื่อในตอนต่างๆ ขอบคุณพระเจ้าที่ให้เรามีีความเชื่อ เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ เขื่อในพระเจ้าที่ทรงดูแลเราตลอดเวลา แม้ไม่เห็นแต่เชื่อก็เป็นสุข ยอห์น 20:29 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข”
"มีทิฐิชั่ว" คือ คนที่อยู่ในยุคหรือรุ่นที่บิดเบี้ยวไป แปลความผิดๆ มีสิ่งเจือปนในชีวิต นี่คือสิ่งที่พระเยซูพูด เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนในสมัยยุคพระเยซู มาดูคำนี้ในที่อื่นๆบ้างครับ Acts 13:8 แต่เอลีมาสคนทำวิทยาคม (เพราะชื่อของเขาหมายอย่างนั้น) ได้คัดค้านขัดขวางบารนาบัสกับเซาโล หวังจะไม่ให้ผู้ว่าราชการเมืองเชื่อ ตรงนี้บอก คัดค้านขัดขวาง Acts 13:10 และพูดว่า “เจ้าเป็นคนเต็มไปด้วยอุบาย และใจร้ายทุกอย่าง ลูกของมารร้าย เป็นศัตรูต่อบรรดาความชอบธรรม เจ้าจะไม่หยุดพยายามทำทางตรงของพระเจ้าให้เขวไปหรือ ตรงนี้ใช้คำว่า ทำให้เขว จากตัวอย่างคำนี้ในพระคัมภีร์ตอนอื่นๆ คงพอทำให้เข้าใจสิ่งที่พระเยซูกำลังบอกเรื่องลักษณะของคนในยุคพระเยซูได้บ้าง ถามว่าคนในยุคเรามีลักษณะเช่นนั้นบ้างหรือไม่ พยายามทำให้เรื่องแห่งความจริงไขว้เขวไป ทำให้ความจริงเรื่องพระคริสต์บิดเบือนไป หรืออาจจะเป็นเรื่องอื่นๆก็ตามแต่ ทำให้ความจริงบิดเบี้ยวไป ถ้าลักษณะคนเป็นอย่างนี้ แน่นอนเขาไม่มีทางขับผีออกได้ ไม่เพียงไม่เชื่อในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า แต่ยังมีลักษณะบางอย่างในชีวิตที่คิด ทำให้เรื่องต่างๆบิดเบี้ยวไปอีกด้วย
คนของพระเจ้าต้องเป็นคนที่สัตย์ซื่อ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอันใด ดำเนินชีวิตตรงไปตรงมา ไม่มีเล่ห์เพทุบาย ไม่เป็นคนที่ทำให้ความจริงของพระเจ้าเขวไป ขอพระเจ้าชำระล้างชีวิตของเราทั้งหลายให้สะอาดทุกคน ให้กระแสน้ำที่มาท่วมประเทศไทยเป็นเหมือนสายน้ำที่มาชำระล้างสิ่งสกปรกโสโครกออกไปจากชีวิตคนไทยทุกคนในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน.
37 ต่อมาวันรุ่งขึ้นเมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกลงมาจากภูเขาแล้ว มีคนมากมายมาพบพระองค์ 38 ดูเถิด มีชายคนหนึ่งในหมู่ประชาชนนั้นร้องว่า "อาจารย์เจ้าข้า ขอพระองค์ทรงโปรดทอดพระเนตรบุตรชายของข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้ามีบุตรคนเดียว 39 และ ดูเถิด ผีมักจะเข้าสิงเขา เด็กก็โห่ร้องขึ้นทันที ผีทำให้เด็กนั้นชักดิ้น น้ำลายฟูมปาก ทำให้ตัวฟกช้ำ ไม่ใคร่ออกจากเขาเลย 40 ข้าพเจ้าได้ขอเหล่าสาวกของพระองค์ให้ขับมันออกเสีย แต่เขากระทำไม่ได้" 41 พระเยซูตรัสตอบว่า "โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว เราจะต้องอยู่กับเจ้าทั้งหลายและอดทนเพราะพวกเจ้านานเท่าใด จงพาบุตรของท่านมาที่นี่เถิด" 42 เมื่อเด็กนั้นกำลังมา ผีก็ทำให้เขาล้มชักดิ้นใหญ่ แต่พระเยซูตรัสสำทับผีโสโครกนั้นและทรงรักษาเด็กให้หาย แล้วส่งคืนให้บิดาเขา 43 คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนักเพราะฤทธิ์เดชอันใหญ่ยิ่งของพระเจ้า แต่เมื่อเขาทั้งหลายยังประหลาดใจอยู่เพราะเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งพระเยซูได้ทรงกระทำนั้น พระองค์จึงตรัสแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า 44 จงให้คำเหล่านี้เข้าหูของท่าน เพราะว่าบุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือมนุษย์ 45 แต่คำเหล่านั้นสาวกหาได้เข้าใจไม่ ความก็ถูกซ่อนไว้จากเขา เพื่อเขาจะไม่ได้เข้าใจ และเขาไม่กล้าถามพระองค์ถึงคำนั้น
นี่เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งเกี่ยวกับคนถูกผีเข้าที่มาขอให้พระเยซูช่วยขับผีให้เพราะพวกสาวกขับไม่ออก สาวกนี้อาจเป็นสาวกคนอื่นๆนอกเหนือจากพวกสาวก 12 คนก็เป็นได้ พวกสาวก 12 คนนั้น พระเยซูได้ส่งไปประกาศแผ่นดินพระเจ้าและกระทำการอัศจรรย์ในพระนามพระเยซูเจ้ามาก่อนหน้านี้ แต่พวกสาวกที่กล่าวถึงตรงนี้อาจเป็นพวกสาวกอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้ที่อยู่ใกล้ชิดพระเยซู เพราะสาวกคือผู้ที่เป็นลูกศิษย์ เป็นผู้ติดตาม ได้เรียนรู้ ได้เห็นการอัศจรรย์ต่างๆนานา ในบทที่ 8 ก็ได้เห็นการขับผี รักษาโรค และทำให้คนที่ตายแล้วเป็นขึ้นมาจากความตาย แต่กลัีบไม่สามารถอธิษฐานขับผีได้ พระเยซูจึงบอกว่า "ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว"
"ขาดความเชื่อ" ทั้งๆที่อยู่กับพระเยซูได้เห็นสิ่งต่างๆบังเกิดขึ้นผ่านกิจการที่พระเยซูคริสต์ไ้ด้ทำ ความเชื่อเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของผู้เชื่อ พระวจนะได้บอกไว้ว่า Rom 1:17 เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้สำแดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ ชีิวิตคริสเตียนเป็นชีวิตที่อาศัยความเชื่อ คนทั่วไปจะบอกว่า ทำให้เห็นก่อนแล้วจะเชื่อ แต่พระคัมภีร์ว่า เชื่อก่อนแล้วจึงจะเห็น เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์เราจะเห็นพระวจนะที่หนุนใจให้เรามีความเชื่อในตอนต่างๆ ขอบคุณพระเจ้าที่ให้เรามีีความเชื่อ เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ เขื่อในพระเจ้าที่ทรงดูแลเราตลอดเวลา แม้ไม่เห็นแต่เชื่อก็เป็นสุข ยอห์น 20:29 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข”
"มีทิฐิชั่ว" คือ คนที่อยู่ในยุคหรือรุ่นที่บิดเบี้ยวไป แปลความผิดๆ มีสิ่งเจือปนในชีวิต นี่คือสิ่งที่พระเยซูพูด เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนในสมัยยุคพระเยซู มาดูคำนี้ในที่อื่นๆบ้างครับ Acts 13:8 แต่เอลีมาสคนทำวิทยาคม (เพราะชื่อของเขาหมายอย่างนั้น) ได้คัดค้านขัดขวางบารนาบัสกับเซาโล หวังจะไม่ให้ผู้ว่าราชการเมืองเชื่อ ตรงนี้บอก คัดค้านขัดขวาง Acts 13:10 และพูดว่า “เจ้าเป็นคนเต็มไปด้วยอุบาย และใจร้ายทุกอย่าง ลูกของมารร้าย เป็นศัตรูต่อบรรดาความชอบธรรม เจ้าจะไม่หยุดพยายามทำทางตรงของพระเจ้าให้เขวไปหรือ ตรงนี้ใช้คำว่า ทำให้เขว จากตัวอย่างคำนี้ในพระคัมภีร์ตอนอื่นๆ คงพอทำให้เข้าใจสิ่งที่พระเยซูกำลังบอกเรื่องลักษณะของคนในยุคพระเยซูได้บ้าง ถามว่าคนในยุคเรามีลักษณะเช่นนั้นบ้างหรือไม่ พยายามทำให้เรื่องแห่งความจริงไขว้เขวไป ทำให้ความจริงเรื่องพระคริสต์บิดเบือนไป หรืออาจจะเป็นเรื่องอื่นๆก็ตามแต่ ทำให้ความจริงบิดเบี้ยวไป ถ้าลักษณะคนเป็นอย่างนี้ แน่นอนเขาไม่มีทางขับผีออกได้ ไม่เพียงไม่เชื่อในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า แต่ยังมีลักษณะบางอย่างในชีวิตที่คิด ทำให้เรื่องต่างๆบิดเบี้ยวไปอีกด้วย
คนของพระเจ้าต้องเป็นคนที่สัตย์ซื่อ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอันใด ดำเนินชีวิตตรงไปตรงมา ไม่มีเล่ห์เพทุบาย ไม่เป็นคนที่ทำให้ความจริงของพระเจ้าเขวไป ขอพระเจ้าชำระล้างชีวิตของเราทั้งหลายให้สะอาดทุกคน ให้กระแสน้ำที่มาท่วมประเทศไทยเป็นเหมือนสายน้ำที่มาชำระล้างสิ่งสกปรกโสโครกออกไปจากชีวิตคนไทยทุกคนในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น