ุ ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่กล่าวถึงโลกของเราในอนาคตด้านทรัพยากรธรรมชาติครับ เราได้ดูเรื่องราวต่างๆที่จะเกิดขึ้น ผมได้รวบรวมเอาไว้ในหน้าเว็บเรื่อง โลกอนาคต พี่น้องสามารถกลับไปดูได้ครับว่ามีเรื่องอะไรบ้าง สำหรับในคริสตจักรของเรา คาดว่าในเดือนหน้าจะมีบอร์ดนิทรรศการเกี่ยวกับเรื่องโลกอนาคตครับ จุดประสงค์เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้รู้ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับโลกของเราบ้าง ท่านจะได้รับองค์ความรู้เหมือนกับที่ได้อ่านในเว็บบล็อกนี้ และเราสามารถเอาองค์ความรู้เหล่านี้ไปกล่าวเตือนใจคนทั่วไปให้ได้รับทราบเช่นกัน เพื่อคนที่รับรู้ข่าวสารนี้จะได้เตรียมตนเองไว้สำหรับอนาคต ไม่ตระหนกตกใจ อีกทั้งเรายังสามารถใช้โอกาสนี้นำเขาเหล่านั้นมาถึงความรอดในองค์พระคริสต์ได้ด้วย ซึ่งเรื่องราวต่างๆที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นได้มีกล่าวถึงไว้ในพระคัมภีร์ เมื่อสองวันก่อนผมได้ไปประชุมกับพี่น้องในภาคกลางและการแบ่งปันพระคัมภีร์ตอนหนึ่งของพี่น้องได้กล่าวถึงวิวรณ์บทที่ 6 ซึ่งเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นกับแผ่นดินโลกนี้ เช่น
ในวิวรณ์ 6:4 และมีม้าอีกตัวหนึ่งออกไปเป็นม้าสีแดงสด ผู้ที่ขี่ม้าตัวนี้ได้รับอนุญาตให้นำสันติสุขไปจากแผ่นดินโลก เพื่อให้คนทั้งปวงรบราฆ่าฟันกัน และผู้นี้ได้รับดาบใหญ่เล่มหนึ่ง
ดิน มี ประ โยชน์ มาก มาย มหาศาล ต่อ มนุษย์ และ สิ่ง มี ชีวิต อื่น ๆ คือ1. ประ โยชน์ ต่อ การ เกษตร กรรม เพราะ ดิน เป็น ต้น กำเนิด ของ การ เกษตร กรรม เป็น แหล่ง ผลิต อาหาร ของ มนุษย์ ใน ดิน จะ มี อินทรียวัตถุ และ ธาตุ อาหาร รวม ทั้ง น้ำ ที่ จำ เป็น ต่อ การ เจริญ เติบ โต ของ พืช อาหาร ที่ คน เรา บริโภค ใน ทุก วัน นี้ มา จาก การ เกษตร กรรม ถึง 90% 2. การ เลี้ยง สัตว์ ดิน เป็น แหล่ง อาหาร สัตว์ ทั้ง พวก พืช และ หญ้า ที่ ขึ้น อยู่ ตลอด จน เป็น แหล่ง ที่ อยู่ อาศัย ของ สัตว์ บาง ชนิด เช่น งู แมลง นาก ฯล ฯ 3. เป็น แหล่ง ที่ อยู่ อาศัย แผ่น ดิน เป็น ที่ ตั้ง ของ เมือง บ้าน เรือน ทำ ให้ เกิด วัฒนธรรม และ อารยธรรม ของ ชุม ชน ต่าง ๆ มาก มาย 4. เป็น แหล่ง เก็บกักน้ำ เนื้อ ดิน จะ มี ส่วน ประกอบ สำคัญ ๆ คือ ส่วน ที่ เป็น ของ แข็ง ได้ แก่ กรวด ทราย ตะกอน และ ส่วน ที่ เป็น ของ เหลว คือ น้ำ ซึ่ง อยู่ ใน รูป ของ ความ ชื้น ใน ดิน ซึ่ง ถ้า มี อยู่ มาก ๆ ก็ จะ กลาย เป็น น้ำ ซึม อยู่ คือ น้ำ ใต้ ดิน น้ำ เหล่า นี้ จะ ค่อย ๆ ซึม ลง ที่ ต่ำ เช่น แม่ น้ำ ลำ คลอง ทำ ให้ เรา มี น้ำ ใช้ ได้ ตลอด ปี
ชนิด ของ ดินอนุภาค ของ ดิน จะ รวม ตัว กัน เข้า เกิด เป็น เม็ด ดิน อนุภาค เหล่า นี้ จะ มี ขนาด ไม่ เท่า กัน ขนาด เล็ก ที่ สุด คือ อนุภาค ดิน เหนียว อนุภาค ขนาด กลาง เรียก อนุภาค ทราย แป้ง อนุภาค ขนาด ใหญ่ เรียก ว่า อนุภาค ทราย เนื้อ ดิน จะ มี อนุภาค ทั้ง 3 กลุ่ม นี้ ผสม กัน อยู่ ใน สัด ส่วน ที่ ไม่ เท่า กัน ทำ ให้ เกิด ลักษณะ ของ ดิน 3 ชนิด ใหญ่ ๆ คือ ดิน เหนียว ดิน ทราย และ ดิน ร่วน
1. ดิน เหนียว เป็น ดิน ที่ เมื่อ เปียก แล้ว มี ความ ยืด หยุ่น อาจ ปั้น เป็น ก้อน หรือ คลึง เป็น เส้น ยาว ได้ เหนียว เหนอะหนะ ติด มือ เป็น ดิน ที่ มี การ ระบาย น้ำ และ อากาศ ไม่ ดี มี ความ สามารถ ใน การ อุ้ม น้ำ ได้ ดี มี ความ สามารถ ใน การ จับ ยึด และ แลก เปลี่ยน ธาตุ อาหาร พืช ได้ สูง หรือ ค่อน ข้าง สูง เป็น ดิน ที่ มี ก้อน เนื้อ ละเอียด เพราะ มี ปริมาณ อนุภาค ดิน เหนียว อยู่ มาก เหมาะ ที่ จะ ใช้ ทำ นา ปลูก ข้าว เพราะ เก็บ น้ำ ได้ นาน2. ดิน ทราย เป็น ดิน ที่ มี การ ระบาย น้ำ และ อากาศ ดี มาก มี ความ สามารถ ใน การ อุ้ม น้ำ ต่ำ มี ความ อุดม สมบูรณ์ ต่ำ เพราะ ความ สามารถ ใน การ จับ ยึด ธาตุ อาหาร พืช มี น้อย พืช ที่ ชั้น บน ดิน ทราย จึง มัก ขาด ทั้ง อาหาร และ น้ำ เป็น ดิน ที่ มี เนื้อ ดิน ทราย เพราะ มี ปริมาณ อนุภาค ทราย มาก 3. ดิน ร่วน เป็น ดิน ที่ มี เนื้อ ดิน ค่อน ข้าง ละเอียด นุ่ม มือ ยืด หยุ่น ได้ บ้าง มี การ ระบาย น้ำ ได้ ดี ปาน กลาง จัด เป็น เนื้อ ดิน ที่ เหมาะ สม สำหรับ การ เพาะ ปลูก ใน ธรรม ชาติ มัก ไม่ ค่อย พบ แต่ จะ พบ ดิน ที่ มี เนื้อ ดิน ใกล้ เคียง กัน มาก กว่า
ดิน ส่วน ใหญ่ ถูก ทำลาย ให้ สูญ เสีย ความ อุดม สมบูรณ์ หรือ ตัว เนื้อ ดิน ไป เนื่อง จาก การก ระ ทำ ของ มนุษย์ และ การ สูญ เสีย ตาม ธรรม ชาติ ทำ ให้ เรา ไม่ อาจ ใช้ ประ โยชน์ จาก ดิน ได้ อย่าง เต็ม ประสิทธิภาพ
การ สูญ เสีย ดิน เกิด ได้ จาก1. การ กัดเซาะและ พัง ทลาย โดย น้ำ น้ำ จำนวน มาก ที่ กระ ทบ ผิว ดิน โดย ตรง จะ กัดเซาะผิว ดิน ให้ หลุด ลอย ไป ตาม น้ำ การ สูญ เสีย บริเวณ ผิว ดิน จะ เป็น พื้น ที่ กว้าง หรือ ถูก กัดเซาะเป็น ร่อง เล็ก ๆ ก็ ขึ้น อยู่กับความ แรง และ บริเวณ ของ น้ำ ที่ ไหล บ่า ลง มาก 2. การ ตัด ไม้ ทำลาย ป่า การ เผา ป่า ถาง ป่า ทำ ให้ หน้า ดิน เปิด และ ถูก ชะ ล้าง ได้ ง่ายโดย น้ำ และ ลม เมื่อ ฝน ตก ลง มา น้ำ ก็ ชะ ล้าง เอา หน้า ดิน ที่ อุดม สมบูรณ์ ไปกับน้ำ ทำ ให้ ดิน มี คุณภาพ เสื่อม ลง
โลกของเราประกอบขึ้นด้วยพื้นดินและพื้นน้ำ โดยส่วนที่เป็นฝืนน้ำนั้น มีอยู่ประมาณ 3 ส่วน (75%) และเป็นพื้นดิน 1 ส่วน (25%) น้ำมีความสำคัญอย่างยิ่งกับชีวิตของพืชและสัตว์บนโลกรวมทั้งมนุษย์เราด้วย น้ำเป็นทรัพยากรที่สามารถเกิดหมุนเวียนได้เรื่อย ๆ ไม่มีวันหมดสิ้น เมื่อแสงแดดส่องมาบนพื้นโลก น้ำจากทะเลและมหาสมุทรก็จะระเหยเป็นไอน้ำลอยขึ้นสู่เบื้องบนเนื่องจากไอน้ำมีความเบากว่าอากาศ เมื่อไอน้ำลอยสู่เบื้องบนแล้ว จะได้รับความเย็นและกลั่นตัวกลายเป็นละอองน้ำเล็ก ๆ ลอยจับตัวกันเป็นกลุ่มเฆม เมื่อจับตัวกันมากขึ้นและกระทบความเย็นก็จะกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำตกลงสู่พื้นโลก น้ำบนพื้นโลกจะระเหยกลายเป็นไอน้ำอีกเมื่อได้รับความร้อนจากดวงทิตย์ ไอน้ำจะรวมตัวกันเป็นเมฆและกลั่นตัวเป็นหยดน้ำกระบวนการเช่นนี้ เกิดขึ้นเป็นวัฏจักรหมุนเวียนต่อเนื่องกันตลอดเวลา เรียกว่า วัฏจักรน้ำทำให้มีน้ำเกิดขึ้นบนผิวโลกอยู่
สม่ำเสมอ
ประโยชน์ของน้ำ
น้ำเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตของสัตว์และพืชคนเรามีชีวิตอยู่โดยขาดน้ำได้ไม่เกิน 3 วัน และน้ำยังมีความจำเป็นทั้งในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาประเทศ ประโยชน์ของน้ำ ได้แก่
1 น้ำเป็นสิ่งจำเป็นที่เราใช้สำหรับการดื่มกิน การประกอบอาหาร ชำระร่างกาย ฯลฯ
2 น้ำมีความจำเป็นสำหรับการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ แหล่งน้ำเป็นที่อยู่อาศัยของปลาและสัตว์น้ำอื่น ๆ ซึ่งคนเราใช้เป็นอาหาร
3 ในการอุตสาหกรรม ต้องใช้น้ำในขบวนการผลิตใช้ล้างของเสียใช้หล่อเครื่องจักรและระบายความร้อน ฯลฯ
4 การทำนาเกลือโดยการระเหยน้ำเค็มจากทะเล
5 น้ำเป็นแหล่งพลังงาน พลังงานจากน้ำใช้ทำระหัด ทำเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าได้
6 แม่น้ำ ลำคลอง ทะเล มหาสมุทร เป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งที่สำคัญ
7 ทัศนียภาพของริมฝั่งทะเลและน้ำที่ใสสะอาดเป็นแหล่งท่องเที่ยวของมนุษย์
ปัญหาของทรัพยากรน้ำ
ปัญหาสำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้น คือ
- น้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม
- น้ำฝนพัดพาเอาสารพิษที่ตกค้างจากแหล่งเกษตรกรรมลงสู่แม่น้ำลำคลอง
ทรัพยากร ป่า ไม้
"ป่าไม้" หมายถึง ถิ่นที่อยู่อาศัยร่วมกันของสิ่งมีชีวิต ทั้งพืชและสัตว์นานาชนิดรวมทังจุลชีพทั้งมวลต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ส่วนใหญ่ประกอบด้วยต้นไม้อันขึ้นอยู่บนพื้นดิน และมีรากยึดเหนี่ยวอยู่ใต้ดิน
ป่าไม้เป็นสิ่งที่ปลูกทดแทนขึ้นมาใหม่ได้ และสามารถเอื้ออำนวยประโยชน์ให้แก่มวลมนุษย์
ประโยชน์ของป่าไม้
้1.มีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เช่นที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค อาหาร เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น
2.มีประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ เป็นแหล่งประกอบอาชีพ และหารายได้ของมนุษย์
3.มีประโยชน์ในการท่องเที่ยว พักผ่อนหย่อนใจ
4.มีประโยชน์ด้านนิเวศน์วิทยา เช่น ช่วยป้องกันการพังทลายของดิน ช่วยรักษาต้นน้ำลำธาร ป้องกันน้ำท่วม เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า
ประเภทของป่า ป่ามีลักษณะแตกต่างกันตามสภาพภูมิประเทศ และภูมิอากาศ
ป่าไม้แบ่งออกได้ 2 ประเภทใหญ่ๆคือ
1.ป่าไม้ไม่ผลัดใบ เป็นป่าที่มีต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดปีที่เรียกว่า Evergreen tree ป่าไม้ที่จัดเป็นป่าผลัดใบได้แก่
1.1.ป่าดงดิบ เป็นป่าทึบในเขตร้อนมีพันธุ์ไม้มากมายหนาแน่น ทำให้แดดส่องถึงพื้นน้อยมาก ต้นไม่ส่วนใหญ่เป็นต้นไม้ใหญ่ใบกว้าง ไม้ที่สำคัญได้แก่ ไม้ยาง ตะเคียน ตะบาก เป็นต้น และมีไม้เล็ก เช่น ไผ่ ระกำ หวาย เป็นต้น
1.2.ป่าดิบเขา เป็นป่าที่มีสภาพคล้ายป่าดงดิบ แต่มีความรกน้อยกว่า ซึ่งพบตามบริเวณภูเขามีระดับสูง 1000 เมตร ไม้ที่สำคัญได้แก่ ต้นก่อ มะขามป้อม ดงหว้า จำปีป่า เป็นต้น
1.3.ป่าสนเขา จัดเป็นป่าผลัดใบ มีต้นไม้ขนาดใหญ่ แต่มีใบเล็กเรียว พันธุ์ไม้สนพื้นเมืองของไทย ได้แก่สนสองใบและสนสามใบ เป็นป่าอยู่บนภูเขาสูงตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป
1.4.ป่าชายเลน เป็นป่าตามชายฝั่งทะเลที่เป็นหาดเลน ต้นไม้ที่ขึ้นบริเวณนี้มักมีลักษณะพิเศษ เช่นมีรากอากาศโผล่พ้นขึ้นมาบนดินเลน หรือมีรากงอกจากส่วนของลำต้นมาช่วยพยุงลำต้น ต้นไม้เขตนี้ชอบน้ำเค็ม เช่น โกงกาง แสมทะเล ปาง ตะบูน ลำพู เป็นต้น
2.ป่าไม้ผลัดใบ ต้นไม้ในป่าชนิดนี้จะสลัดใบในฤดูแล้ง ป่าไม้ที่จัดอยู่ในกลุ่มพวกนี้ได้แก่
2.1.ป่าเบญจพรรณ เป็นป่าโปร่ง มีต้นไม้หลายขนาดรวมกันขึ้นอยู่ห่างๆไม่รกทึบ บางแห่งมีทุ่งหญ้าและไม้ไผ่ขึ้นอยู่ด้วย ต้นไม้สำคัญได้แก่ สัก ประดู่ แดง ตะแบก เสลา มะค่าโมง เป็นป่าที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจสูงมาก
2.2.ป่าแดง ( ป่าโคก ป่าแพะ ป่าเต็งรัง ) เป็นป่าโปร่งต้นไม้ไม่หนาแน่น มีทุ่งหญ้าสลับ ป่าชนิดนี้ไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้มีขนาดไม่ใหญ่นัก เพราะเป็นป่าในเขตอากาศแห้งแล้ง พันธุ์ไม้ที่สำคัญ คือ เต็ง รัง เทียง พลวง พะยอม มะค่า ฯลฯ
3.ป่าชนิดอื่นๆ เป็นป่าที่มีความสำคัญน้อย เช่น
3.1.ป่าพรุ เป็นปาที่พบตามบริเวณพื้นที่ลุ่มที่มีน้ำขัง ป่าพรุน้ำจืดอยู่ตามขอบแอ่งหนองบึง และที่ราบชายฝั่งทะเลจะพบป่าพรุน้ำกร่อย ป่าพรุน้ำจืดมีต้นสนุ่น จิก หวายน้ำ อ้อ และแขม ส่วนป่าพรุน้ำกร่อยมีไม้สำคัญได้แก่ เสม็ด และกก
3.2.ป่าชายหาด คือ ป่าตามบริเวณหาดชายทะเลที่น้ำท่วมไม่ถึง ไม้ที่สำคัญได้แก่ สนทะเล หูกวาง โพทะเล กระทิง ตีนเป็ดทะเล เป็นต้น
ปัญหาที่เกี่ยวกับป่าไม้ ป่าไม้ที่ถูกทำลายจำนวนมากโดยวิธีต่างๆ เช่น การตัดไม้จำนวนมาก การเผาป่า ฯลฯ เพื่อนำไม้มาใช้ในอุตสาหกรรม เพื่อพื้นที่ทำการเกษตร เป็นต้น
การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
1.ออกกฏหมายคุ้มครองป่าไม้
2.ควบคุมดูแลการตัดไม้ เพื่อป้องกันการสูญเสียป่า
3.การปลูกป่าเพื่อทดแทนป่าไม้ธรรมชาติ
4.ป้องกันไฟไหม้ป่า และแมลงทำลายต้นไม้
5.ใช้ไม้อย่างประหยัด และทำวัสดุอื่นมาใช้ทดแทนไม้
ที่มา http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-5/no42-43-47/suppamai.html
นี่ก็เป็นความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติที่มีในโลกของเรา ที่นี่มาอ่านดูการแบ่งประเภททรัพยากรธรรมชาติในโลกของเราบ้าง
ความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์นี้ 7/10
ความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์นี้ 7/10
3. ปรากฏการณ์ขาดแคลนน้ำมัน โลกใกล้เข้าสู่ยุคขาดแคลนน้ำมันอย่างสิ้นเชิงเข้าไปทุกที หลังจากมีการตรวจพบว่าปริมาณน้ำมันทั่วโลกนั้นลดลง เนื่องจากความต้องการที่มากขึ้น จากการสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ขึ้นมาทุก ๆ วัน แล้วใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงในการใช้งาน ก็มีความเป็นไปได้ว่าอีกไม่นาน โลกจะถึงจุด Peak Oil หรือภาวะขาดแคลนน้ำมันชนิดที่ไม่เหลือน้ำมันเหลืออยู่เลย ซึ่งวิกฤตน้ำมันนี้จะเกิดขึ้นภายในไม่เกินปี 2020 ตราบใดที่ยังไม่มีการใช้เชื้อเพลิงอื่นแทนน้ำมัน
ความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์นี้ 4/10
ความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์นี้ 2/10
ความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์นี้ 1.5/10
6. ปรากฏการณ์ภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ โดยเฉลี่ยแล้วในทุก ๆ 50,000 - 60,000 ปี โลกจะเกิดภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง ซึ่งมันจะทำลายล้างพื้นที่โดยรอบกว่า 1,500 ตารางกิโลเมตร ก็อาจเป็นไปได้ว่าอีกไม่นานลาวาที่อยู่ใต้พื้นพิภพจะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง เป็นเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่เลยทีเดียว โดยหลังจากที่เกิดภูเขาไฟแล้ว ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิบนโลกอีกครั้ง ทำให้โลกมีอุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว และนอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังทำนายจากการเคลื่อนไหวของลาวาใต้เปลือกโลก พบว่า มันพร้อมที่จะระเบิดออกมาแล้วภายในศตวรรษนี้
ความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์นี้ 1/10
7. การเปลี่ยนขั้วของสนามแม่เหล็ก โดยปกติแล้วสนามแม่เหล็กจะเปลี่ยนขั้วโดยทิ้งช่วงระยะเวลาห่างกันเฉลี่ยนอยู่ที่ประมาณ 250,000 ปีต่อครั้ง ซึ่งถึงแม้ว่าจะยังไม่มีทฤษฎีใดสามารถอธิบายใดว่าการกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่หากมันเกิดขึ้นแล้ว ก็ย่อมส่งผลต่อโลกให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในบริเวณต่าง ๆ เช่น ทำให้ประเทศเขตร้อนมีหิมะตก หรือมีอากาศหนาวเหน็บจนยากที่จะปรับตัวได้ทัน เกิดพายุหมุนอย่างรุนแรง แผ่นดินไหว แต่ไม่อาจคร่าชีวิตประชากรโลกจนสูญพันธุ์ได้
ความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์นี้ 1/10
ความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์นี้ 0.3/10
ความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์นี้ 0.2/10
10. มนุษย์ต่างดาวบุกโลก แม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันได้อย่างแน่ชัดว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่ แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์กันว่าอีกไม่เกิน 30 ปี มนุษย์ต่างดาวจะบุกโลก ส่วนจะทำอะไรกับโลกหรือประชากรบนโลกหรือไม่นั้น ยังไม่มีการระบุแต่อย่างใด
ความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์นี้ 0.1/10
ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ข้างต้นเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่นักวิทยาศาสตร์คาดเดาว่าอาจจะเกิดขึ้นเท่านั้น แต่สิ่งที่เราควรตระหนักถึงคือการเตรียมตัวรับมือกับปรากฏการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นเหล่านี้ โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นมากที่สุด ที่มีความน่าจะเป็นถึง 7/10 คะแนน นั่นคือ วิกฤตการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ที่ในขณะนี้มีหลักฐานออกมาชัดเจน ยืนยันว่าโลกกำลังเข้าใกล้ยุคโลกร้อนเต็มทีแล้ว ก็คงถึงเวลาแล้วที่ประชากรโลกควรร่วมมือกันยื้อเวลาวิกฤตสิ่งแวดล้อมนี้เสียที
ในวิวรณ์ 6:4 และมีม้าอีกตัวหนึ่งออกไปเป็นม้าสีแดงสด ผู้ที่ขี่ม้าตัวนี้ได้รับอนุญาตให้นำสันติสุขไปจากแผ่นดินโลก เพื่อให้คนทั้งปวงรบราฆ่าฟันกัน และผู้นี้ได้รับดาบใหญ่เล่มหนึ่ง
- กล่าวถึงการต่อสู้กัน การรบราฆ่าฟันกัน สิ่งนี้ก็จะนำไปสู่ความอดอยาก ข้าวยากหมากแพง น้ำ อาหาร มีปัญหา เศรษฐกิจโลก มีปัญหา
วิวรณ์ 6:6 แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงออกมาจากท่ามกลางสิ่งที่มีชีวิตอยู่ทั้งสี่นั้นว่า "ข้าวสาลีราคาทะนานละหนึ่งเดนาริอัน ข้าวบารลีสามทะนานต่อหนึ่งเดนาริอัน และเจ้าอย่าทำอันตรายแก่น้ำมันและน้ำองุ่น"
- สิ่งนี้ก็บอกถึงอาหารราคาแพง
วิวรณ์ 6:8 แล้วข้าพเจ้าก็แลเห็น และดูเถิด มีม้าสีกะเลียวตัวหนึ่ง ผู้ที่นั่งบนหลังม้านั้นมีชื่อว่าความตาย และนรกก็ติดตามเขามาด้วย และได้ให้ทั้งสองนี้มีอำนาจล้างผลาญแผ่นดินโลกได้หนึ่งในสี่ส่วน ด้วยดาบ ด้วยความอดอยาก ด้วยความตาย และด้วยสัตว์ร้ายแห่งแผ่นดิน
- พูดถึงความอดอยาก และโรคระบาด(พระคัมภีร์ฉบับ1971)
ดังนั้นในอนาคตเราคงต้องเตรียมตัวไว้ ไม่ตระหนก อธิษฐานและรู้ว่าพระวจนะกล่าวไ้ว้อย่างไร ยึดแนวทางในพระวจนะไว้ให้มั่น
สำหรับครั้งสุดท้ายนี้เราจะมาดูข้อเขียนวิชาการต่างๆที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ
ทรัพยากรธรรมชาติ
ทรัพยากร ดิน
ทรัพยากร
ดิน เป็น สิ่ง แวด ล้อม ที่ เกิด ขึ้น เอง โดย ธรรม ชาติ เกิด จาก การ สลาย ตัว ผุ พัง ของ หิน ชนิด ต่าง ๆ โดย ใช้ เวลา ที่ นาน มาก หิน ที่ สลาย ตัว ผุ กร่อน นี้ จะ มี ขนาด ต่าง ๆ กัน เมื่อ ผสม รวมกับซาก พืช ซาก สัตว์ น้ำ อากาศ ก็ กลาย เป็น เนื้อ ดิน ซึ่ง ส่วน ประกอบ เหล่า นี้ จะ มาก น้อย แตก ต่าง กัน ไป ตาม ชนิด ของดิน
ประ โยชน์ ของ ดิน
ประ
ดิน
ชนิด
1. ดิน
ปัญหา ทรัพยากร ดิน
ดิน
การ
ทรัพยากร น้ำ
สม่ำเสมอ
ประโยชน์ของน้ำ
น้ำเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตของสัตว์และพืชคนเรามีชีวิตอยู่โดยขาดน้ำได้ไม่เกิน 3 วัน และน้ำยังมีความจำเป็นทั้งในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาประเทศ ประโยชน์ของน้ำ ได้แก่
1 น้ำเป็นสิ่งจำเป็นที่เราใช้สำหรับการดื่มกิน การประกอบอาหาร ชำระร่างกาย ฯลฯ
4 การทำนาเกลือโดยการระเหยน้ำเค็มจากทะเล
5 น้ำเป็นแหล่งพลังงาน พลังงานจากน้ำใช้ทำระหัด ทำเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าได้
7 ทัศนียภาพของริมฝั่งทะเลและน้ำที่ใสสะอาดเป็นแหล่งท่องเที่ยวของมนุษย์
ปัญหาของทรัพยากรน้ำ
ปัญหาสำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้น คือ
1. ปัญหาการมีน้ำน้อยเกินไป เกิดการขาดแคลนอันเป็นผลเนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้ปริมาณน้ำฝนน้อยลง เกิดความแห้งแล้งเสียหายต่อพืชเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์
2. ปัญหาการมีน้ำมากเกินไป เป็นผลมาจากการตัดไม้มากเกินไป ทำให้เกิดน้ำท่วมไหลบ่าในฤดูฝน สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน
3. ปัญหาน้ำเสีย เป็นปัญหาใหม่ในปัจจุบัน สาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำเสีย ได้แก่
- น้ำทิ้งจากบ้านเรือน ขยะมูลฝอยและสิ่งปฎิกูลที่ถูกทิ้งสู่แม่น้ำลำคลอง- น้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม
- น้ำฝนพัดพาเอาสารพิษที่ตกค้างจากแหล่งเกษตรกรรมลงสู่แม่น้ำลำคลอง
- น้ำเสียที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลเสียหายทั้งต่อสุขภาพอนามัย เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำ และ มนุษย์ ส่งกลิ่นเหม็น รบกวน ทำให้ไม่สามารถนำแหล่งน้ำนั้นมาใช้ประโยชน์ได้ทั้ง การอุปโภค บริโภค เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม
ทรัพยากร
"ป่าไม้" หมายถึง ถิ่นที่อยู่อาศัยร่วมกันของสิ่งมีชีวิต ทั้งพืชและสัตว์นานาชนิดรวมทังจุลชีพทั้งมวลต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ส่วนใหญ่ประกอบด้วยต้นไม้อันขึ้นอยู่บนพื้นดิน และมีรากยึดเหนี่ยวอยู่ใต้ดิน
ป่าไม้เป็นสิ่งที่ปลูกทดแทนขึ้นมาใหม่ได้ และสามารถเอื้ออำนวยประโยชน์ให้แก่มวลมนุษย์
ประโยชน์ของป่าไม้
้1.มีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เช่นที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค อาหาร เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น
2.มีประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ เป็นแหล่งประกอบอาชีพ และหารายได้ของมนุษย์
3.มีประโยชน์ในการท่องเที่ยว พักผ่อนหย่อนใจ
4.มีประโยชน์ด้านนิเวศน์วิทยา เช่น ช่วยป้องกันการพังทลายของดิน ช่วยรักษาต้นน้ำลำธาร ป้องกันน้ำท่วม เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า
ประเภทของป่า ป่ามีลักษณะแตกต่างกันตามสภาพภูมิประเทศ และภูมิอากาศ
ป่าไม้แบ่งออกได้ 2 ประเภทใหญ่ๆคือ
1.ป่าไม้ไม่ผลัดใบ เป็นป่าที่มีต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดปีที่เรียกว่า Evergreen tree ป่าไม้ที่จัดเป็นป่าผลัดใบได้แก่
1.1.ป่าดงดิบ เป็นป่าทึบในเขตร้อนมีพันธุ์ไม้มากมายหนาแน่น ทำให้แดดส่องถึงพื้นน้อยมาก ต้นไม่ส่วนใหญ่เป็นต้นไม้ใหญ่ใบกว้าง ไม้ที่สำคัญได้แก่ ไม้ยาง ตะเคียน ตะบาก เป็นต้น และมีไม้เล็ก เช่น ไผ่ ระกำ หวาย เป็นต้น
1.2.ป่าดิบเขา เป็นป่าที่มีสภาพคล้ายป่าดงดิบ แต่มีความรกน้อยกว่า ซึ่งพบตามบริเวณภูเขามีระดับสูง 1000 เมตร ไม้ที่สำคัญได้แก่ ต้นก่อ มะขามป้อม ดงหว้า จำปีป่า เป็นต้น
1.3.ป่าสนเขา จัดเป็นป่าผลัดใบ มีต้นไม้ขนาดใหญ่ แต่มีใบเล็กเรียว พันธุ์ไม้สนพื้นเมืองของไทย ได้แก่สนสองใบและสนสามใบ เป็นป่าอยู่บนภูเขาสูงตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป
1.4.ป่าชายเลน เป็นป่าตามชายฝั่งทะเลที่เป็นหาดเลน ต้นไม้ที่ขึ้นบริเวณนี้มักมีลักษณะพิเศษ เช่นมีรากอากาศโผล่พ้นขึ้นมาบนดินเลน หรือมีรากงอกจากส่วนของลำต้นมาช่วยพยุงลำต้น ต้นไม้เขตนี้ชอบน้ำเค็ม เช่น โกงกาง แสมทะเล ปาง ตะบูน ลำพู เป็นต้น
2.ป่าไม้ผลัดใบ ต้นไม้ในป่าชนิดนี้จะสลัดใบในฤดูแล้ง ป่าไม้ที่จัดอยู่ในกลุ่มพวกนี้ได้แก่
2.1.ป่าเบญจพรรณ เป็นป่าโปร่ง มีต้นไม้หลายขนาดรวมกันขึ้นอยู่ห่างๆไม่รกทึบ บางแห่งมีทุ่งหญ้าและไม้ไผ่ขึ้นอยู่ด้วย ต้นไม้สำคัญได้แก่ สัก ประดู่ แดง ตะแบก เสลา มะค่าโมง เป็นป่าที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจสูงมาก
2.2.ป่าแดง ( ป่าโคก ป่าแพะ ป่าเต็งรัง ) เป็นป่าโปร่งต้นไม้ไม่หนาแน่น มีทุ่งหญ้าสลับ ป่าชนิดนี้ไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้มีขนาดไม่ใหญ่นัก เพราะเป็นป่าในเขตอากาศแห้งแล้ง พันธุ์ไม้ที่สำคัญ คือ เต็ง รัง เทียง พลวง พะยอม มะค่า ฯลฯ
3.ป่าชนิดอื่นๆ เป็นป่าที่มีความสำคัญน้อย เช่น
3.1.ป่าพรุ เป็นปาที่พบตามบริเวณพื้นที่ลุ่มที่มีน้ำขัง ป่าพรุน้ำจืดอยู่ตามขอบแอ่งหนองบึง และที่ราบชายฝั่งทะเลจะพบป่าพรุน้ำกร่อย ป่าพรุน้ำจืดมีต้นสนุ่น จิก หวายน้ำ อ้อ และแขม ส่วนป่าพรุน้ำกร่อยมีไม้สำคัญได้แก่ เสม็ด และกก
3.2.ป่าชายหาด คือ ป่าตามบริเวณหาดชายทะเลที่น้ำท่วมไม่ถึง ไม้ที่สำคัญได้แก่ สนทะเล หูกวาง โพทะเล กระทิง ตีนเป็ดทะเล เป็นต้น
ปัญหาที่เกี่ยวกับป่าไม้ ป่าไม้ที่ถูกทำลายจำนวนมากโดยวิธีต่างๆ เช่น การตัดไม้จำนวนมาก การเผาป่า ฯลฯ เพื่อนำไม้มาใช้ในอุตสาหกรรม เพื่อพื้นที่ทำการเกษตร เป็นต้น
การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
1.ออกกฏหมายคุ้มครองป่าไม้
2.ควบคุมดูแลการตัดไม้ เพื่อป้องกันการสูญเสียป่า
3.การปลูกป่าเพื่อทดแทนป่าไม้ธรรมชาติ
4.ป้องกันไฟไหม้ป่า และแมลงทำลายต้นไม้
5.ใช้ไม้อย่างประหยัด และทำวัสดุอื่นมาใช้ทดแทนไม้
ที่มา http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-5/no42-43-47/suppamai.html
ทรัพยากร แร่ธาตุ
แร่ คือ ธาตุแท้ หรือสารบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยมีส่วนประกอบทางเคมีและมีรูปผลึกที่แน่นอน จัดเป็นทรัพยากรธรรมชาติประเภทหนึ่งที่มีความสำคัญต่อมนุษย์มาตั้งแต่สมัยโบราณชนิดของแร่ เราสามารถแบ่งแร่ออกเป็น 3 ชนิด คือ แร่โลหะ แร่อโลหะ และแร่เชื้อเพลิง
1) แร่โลหะคือ แร่ที่นำมาถลุงก่อน แล้วจึงนำไปใช้ประโยชน์ แร่โลหะที่สำคัญ ได้แก่
(1) ดีบุก เป็นแร่ที่อยู่ในหินแข็งจำพวกหินแกรนิต มีลักษณะเป็นผลึกแต่อาจเป็นก้อนผิวเป็น เส้นๆ คล้ายไม้ ถ้าบริสุทธิ์จะมีสีคล้ายน้ำผึ้ง ถ้าไม่บริสุทธิ์จะมีสีน้ำตาลหรือดำ นิยมนำมาทำโลหะผสม ทำภาชนะจำพวกปีบ กระป๋อง นำมาใช้เคลือบหรือชุบแผ่นเหล็ก ทำโลหะบัดกรี ทำเป็นแผ่นสำหรับห่ออาหาร บุหรี่
(2) วุลแฟรม มีลักษณะเป็นแผ่นหรือแท่งมีสีน้ำตาลแก่หรือดำ เมื่อถลุงแล้วเรียกว่า “ทังสเตน”มีคุณสมบัติทนความร้อนได้ดีจึงนิยมนำมาทำไส้หลอดไฟฟ้า ทำเครื่องเจาะ ตัดและกลึงโลหะ (3) เหล็ก มีสีน้ำตาลปนแดงหรือสีดำ มีความมันวาวแบบโลหะ เป็นแร่ที่มีความสำคัญมากที่สุด นิยมใช้ในการก่อสร้าง ทำเครื่องมือ เครื่องจักรกลต่างๆ และอาวุธ
(4) ตะกั่ว มีลักษณะเป็นเกล็ด เม็ด บางทีเป็นผลึกรูปลูกเต๋า มีสีเทาแก่ออกดำ นิยมนำมาทำลูกกระสุนปืน ทำตัวพิมพ์ ทำโลหะบัดกรี แบตเตอรี่รถยนต์ เป็นต้น
(5) ทองแดง มีลักษณะเป็นของแข็งสีแดง เนื้ออ่อนบุให้เป็นแผ่นยางและรีดเป็นเส้นลวดได้ง่ายเราใช้ทองแดงมากเป็นอันดับสองรองจากเหล็ก โดยใช้ทำอุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องมือเครื่องใช้ ต่างๆ
(2) วุลแฟรม มีลักษณะเป็นแผ่นหรือแท่งมีสีน้ำตาลแก่หรือดำ เมื่อถลุงแล้วเรียกว่า “ทังสเตน”มีคุณสมบัติทนความร้อนได้ดีจึงนิยมนำมาทำไส้หลอดไฟฟ้า ทำเครื่องเจาะ ตัดและกลึงโลหะ (3) เหล็ก มีสีน้ำตาลปนแดงหรือสีดำ มีความมันวาวแบบโลหะ เป็นแร่ที่มีความสำคัญมากที่สุด นิยมใช้ในการก่อสร้าง ทำเครื่องมือ เครื่องจักรกลต่างๆ และอาวุธ
(4) ตะกั่ว มีลักษณะเป็นเกล็ด เม็ด บางทีเป็นผลึกรูปลูกเต๋า มีสีเทาแก่ออกดำ นิยมนำมาทำลูกกระสุนปืน ทำตัวพิมพ์ ทำโลหะบัดกรี แบตเตอรี่รถยนต์ เป็นต้น
(5) ทองแดง มีลักษณะเป็นของแข็งสีแดง เนื้ออ่อนบุให้เป็นแผ่นยางและรีดเป็นเส้นลวดได้ง่ายเราใช้ทองแดงมากเป็นอันดับสองรองจากเหล็ก โดยใช้ทำอุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องมือเครื่องใช้ ต่างๆ
2) แร่อโลหะ คือ แร่ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้โดยไม่ต้องถลุงแร่อโลหะที่สำคัญได้แก่
(1) ยิปซัม เป็นแร่ที่เกิดขึ้นเป็นชั้นหนา ลักษณะคล้ายหินปูน มีสีขาว ใช้ทำปูนซีเมนต์ ปูนปลาสเตอร์ ชอล์ก
(2) เกลือแกง มี 2 ชนิด คือเกลือสินเธาว์ หรือเกลือหิน ซึ่งเป็นเกลือที่ได้จากดินเค็มและเกลือสมุทรซึ่งได้จากน้ำทะเล
(3) แร่รัตนชาติ ได้แก่ พวกพลอยต่างๆ ส่วนมากจะพบในลานดินที่เกิดจากการผุพังของหินบะซอลต์
แร่เชื้อเพลิง คือ แร่ที่ใช้เป็นพลังงานเชื้อเพลิง แร่เชื้อเพลิงที่สำคัญ ได้แก่ ลิกไนต์ น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ
ประโยชน์ของแร่
1) ใช้ในกิจการอุตสาหกรรม
2) ใช้ทำเครื่องใช้ เครื่องประดับต่างๆ
3) ใช้ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือน
4) ใช้เป็นเชื้อเพลิงให้ความร้อนและพลังงานตลอดจนนำมาสร้างเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ
ทีมา http://www.sema.go.th/node/1759
(2) เกลือแกง มี 2 ชนิด คือเกลือสินเธาว์ หรือเกลือหิน ซึ่งเป็นเกลือที่ได้จากดินเค็มและเกลือสมุทรซึ่งได้จากน้ำทะเล
(3) แร่รัตนชาติ ได้แก่ พวกพลอยต่างๆ ส่วนมากจะพบในลานดินที่เกิดจากการผุพังของหินบะซอลต์
แร่เชื้อเพลิง คือ แร่ที่ใช้เป็นพลังงานเชื้อเพลิง แร่เชื้อเพลิงที่สำคัญ ได้แก่ ลิกไนต์ น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ
ประโยชน์ของแร่
1) ใช้ในกิจการอุตสาหกรรม
2) ใช้ทำเครื่องใช้ เครื่องประดับต่างๆ
3) ใช้ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือน
4) ใช้เป็นเชื้อเพลิงให้ความร้อนและพลังงานตลอดจนนำมาสร้างเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ
ทีมา http://www.sema.go.th/node/1759
นี่ก็เป็นความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติที่มีในโลกของเรา ที่นี่มาอ่านดูการแบ่งประเภททรัพยากรธรรมชาติในโลกของเราบ้าง
ทรัพยากรธรรมชาติ (natural resources)
ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งมนุษย์สามารถนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการดำรงชีวิตได้ โดยอาศัการดัดแปลง แปรรูป หรือการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมตามความต้องการของมนุษ์ เช่น พืช ดิน น้ำ แร่ธาตุต่าง ๆ เป็นต้น ทรัพยากรธรรมชาติแบ่งได้ 2 ประเภท คือ ทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป และทรัพยากรที่ใช้ไม่หมดหรือมีตลอดไป ดังนี้
1. ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป (exhausting natural resources) เป็นทรัพยากรที่นำไปใช้แล้วจะสิ้นเปลืองและหมดไปในที่สุด ทรัพยากรประเภทนี้มีอยู่อย่างจำกัด การเกิดขึ้นทดแทนได้เพียงพอกับความต้องการใช้งาน ดังนั้นจึงพบว่าทรัพยากรประเภทนี้บางชนิดอาจหมดไปจากโลก ในช่วงเวลาอีกไม่นานนัก ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไปนี้ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
1. ทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดขึ้นใหม่ทดแทนหรือรักษาให้คงอยู่ได้ (renewable natural resources หรือ replaceable natural resources) เป็นทรัพยากรที่นำไปใช้ประโยชน์แล้ว สามารถรักษาเกิดขึ้นทดแทนได้ หากมีการจัดการแนวทาง การใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม จะทำให้ทรัพยากรมีเพียงพอใช้ได้ตลอดไป เช่น ดิน ป่าไม้ และสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ เป็นต้น
2. ทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่สามารถสร้างเสริมหรือทดแทนได้ (irreplaceable natural resources) เป็นทรัพยากรที่นำไปใช้ประโยชน์แล้วหมดสิ้นไปโดยไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ทดแทนให้เหมือนเดิมได้ เช่น แร่ธาตุต่าง ๆ ปิโตรเลียม เป็นต้น
2. ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้ไม่หมดหรือมีใช้ตลอดไป (non-exhausting natural resources) เป็นทรัพยากรที่สามารถเกิดขึ้นมาใหม่ทดแทนได้โดยไม่หมดสิ้นไป สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ตลอดทรัพยากรเหล่านี้มีอยุ่อย่างมากมายทั่วทุกหนแห่งในโลกและมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น น้ำ อากาศ แสงแดด เป็นต้น แต่ทรัพยากรธรรมชาติบางชนิดในกลุ่มนี้ หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสมแล้ว จะทำให้เกิดความเป็นพิษ ซึ่งก่อให้เกิดโทษหรือส่งผลเสียต่อสิ่งมีชีวิตได้ เช่น การปนเปื้อนสารพิษในแหล่งน้ำ การเกิดแก๊สและฝุ่นละอองในอากาศต่าง ๆ เป็นต้น
หากกล่าวโดยรวมแล้วทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะมีความสัมพันธ์กันทั้งในทางตรงและทางอ้อม โดยทรัพยากรธรรมชาติจะเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม หรือเป็นสิ่งแวดล้อมที่สามารถเกิดขึ้นเองได้ตามธรรมชาติ ซึ่งหากมีการใช้งานอย่างไม่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว ทรัพยากรธรรมชาติเหล่านั้นก็ย่อมหมดสิ้นสูญหายไปได้ และจะส่งผลกระทบทำให้สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมเกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะนำไปสู่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับความเป็นอยู่ของมนุษย์ในที่สุด
ที่มาและได้รับอนุญาตจาก :
ดร.ฤทธิ์ วัฒนชัยยิ่งเจริญ . ชีวิตกับสิ่งแวดล้อมสิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต
ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งมนุษย์สามารถนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการดำรงชีวิตได้ โดยอาศัการดัดแปลง แปรรูป หรือการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมตามความต้องการของมนุษ์ เช่น พืช ดิน น้ำ แร่ธาตุต่าง ๆ เป็นต้น ทรัพยากรธรรมชาติแบ่งได้ 2 ประเภท คือ ทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป และทรัพยากรที่ใช้ไม่หมดหรือมีตลอดไป ดังนี้
1. ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป (exhausting natural resources) เป็นทรัพยากรที่นำไปใช้แล้วจะสิ้นเปลืองและหมดไปในที่สุด ทรัพยากรประเภทนี้มีอยู่อย่างจำกัด การเกิดขึ้นทดแทนได้เพียงพอกับความต้องการใช้งาน ดังนั้นจึงพบว่าทรัพยากรประเภทนี้บางชนิดอาจหมดไปจากโลก ในช่วงเวลาอีกไม่นานนัก ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไปนี้ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
1. ทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดขึ้นใหม่ทดแทนหรือรักษาให้คงอยู่ได้ (renewable natural resources หรือ replaceable natural resources) เป็นทรัพยากรที่นำไปใช้ประโยชน์แล้ว สามารถรักษาเกิดขึ้นทดแทนได้ หากมีการจัดการแนวทาง การใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม จะทำให้ทรัพยากรมีเพียงพอใช้ได้ตลอดไป เช่น ดิน ป่าไม้ และสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ เป็นต้น
2. ทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่สามารถสร้างเสริมหรือทดแทนได้ (irreplaceable natural resources) เป็นทรัพยากรที่นำไปใช้ประโยชน์แล้วหมดสิ้นไปโดยไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ทดแทนให้เหมือนเดิมได้ เช่น แร่ธาตุต่าง ๆ ปิโตรเลียม เป็นต้น
2. ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้ไม่หมดหรือมีใช้ตลอดไป (non-exhausting natural resources) เป็นทรัพยากรที่สามารถเกิดขึ้นมาใหม่ทดแทนได้โดยไม่หมดสิ้นไป สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ตลอดทรัพยากรเหล่านี้มีอยุ่อย่างมากมายทั่วทุกหนแห่งในโลกและมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น น้ำ อากาศ แสงแดด เป็นต้น แต่ทรัพยากรธรรมชาติบางชนิดในกลุ่มนี้ หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสมแล้ว จะทำให้เกิดความเป็นพิษ ซึ่งก่อให้เกิดโทษหรือส่งผลเสียต่อสิ่งมีชีวิตได้ เช่น การปนเปื้อนสารพิษในแหล่งน้ำ การเกิดแก๊สและฝุ่นละอองในอากาศต่าง ๆ เป็นต้น
หากกล่าวโดยรวมแล้วทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะมีความสัมพันธ์กันทั้งในทางตรงและทางอ้อม โดยทรัพยากรธรรมชาติจะเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม หรือเป็นสิ่งแวดล้อมที่สามารถเกิดขึ้นเองได้ตามธรรมชาติ ซึ่งหากมีการใช้งานอย่างไม่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว ทรัพยากรธรรมชาติเหล่านั้นก็ย่อมหมดสิ้นสูญหายไปได้ และจะส่งผลกระทบทำให้สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมเกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะนำไปสู่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับความเป็นอยู่ของมนุษย์ในที่สุด
ที่มาและได้รับอนุญาตจาก :
ดร.ฤทธิ์ วัฒนชัยยิ่งเจริญ . ชีวิตกับสิ่งแวดล้อมสิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต
มาดูกันต่อว่าวิกฤติด้านทรัพยากรธรรมชาติมีอะไรบ้าง
วิกฤตการณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของโลก
1. ปัญหาวิกฤตด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของโลก ปัญหาวิกฤตการณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของโลกในปัจจุบัน แบ่งได้เป็น 3 ปัญหาใหญ่ ๆ ดังนี้
1.1 ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติลดความอุดมสมบูรณ์ ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ ได้แก่ ดิน น้ำ ป่าไม้ สัตว์ป่า และแร่ธาตุต่าง ๆ
1.2 ปัญหาการเกิดมลภาวะหรือมลพิษต่าง ๆ ของสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำเน่าเสีย อากาศเป็นพิษ มลพิษของเสียง และมลพิษจากขยะมูลฝอย เป็นต้น
1.3 ปัญหาที่เกิดจากการทำลายระบบนิเวศทางธรรมชาติ เช่น ฝนทิ้งช่วง ภัยจากความแห้งแล้ง อุทกภัย วาตภัย และภาวะโลกร้อนมีอุณหภูมิสูง เป็นต้น
2. สาเหตุที่ทำให้โลกเกิดวิกฤตด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สาเหตุพื้นฐานของปัญหาวิกฤติการณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของโลกในปัจจุบัน คือ
2.1 การเพิ่มของจำนวนประชากรโลก ในปัจจุบัน ประชากรโลกมีประมาณ 6,314 ล้านคน (พ.ศ. 2546)จึงเป็นสาเหตุโดยตรงทำให้เกิดการสูญเสียในทรัพยากรธรรมชาติอย่างรวดเร็ว และเกิดมลพิษของสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ตามมา สรุปได้ดังนี้
(1) อัตราการเพิ่มของประชากร ประเทศที่พัฒนาแล่วมีอัตราการเพิ่มของประชากรค่อนข้างต่ำเฉลี่ยร้อยละ 0.1 ต่อปี ส่วนประเทศที่กำลังพัฒนามีอัตราการเพิ่มของประชากรอยู่ในเกณฑ์สูงเฉลี่ยร้อนละ 1.5 ต่อปี
(2) การเพิ่มของจำนวนประชากรในชนบท ทำให้ผู้คนในชนบทอพยพเข้ามาหางานทำในเมืองเกิดการขยายตัวของชุมชนเมืองอย่างรวดเร็ว และยิ่งมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตภาคอุตสาหกรรมมากขึ้นก็ยิ่งส่งผลให้เกิดปัญหามลพิษของสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ตามมา
(3) การเพิ่มของจำนวนประชากรส่งผลให้เกิดการแปรรูปทรัพยากรธรรมชาติเพื่อนำมาใช้ประโยชน์สนองความต้องการของประชาชนมากยิ่งขึ้น มีการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้เพื่อนำมาใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม เช่น พื้นที่ป่าลุ่มแม่น้ำอะเมซอน (Amazon) ในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งทำให้ทั่วโลกหวั่นวิตกว่าจะเป็นการสูญเสียพื้นที่ปอดของโลก
2.2 ผลกระทบจากการใช้วิทยาการและเทคโนโลยี ในปัจจุบัน มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการผลิตด้านต่าง ๆ อย่างกว้างขวางทั้งในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรมและบริการ แต่ถ้านำเทคโนโลยีไปใช้อย่างไม่เหมาะสม อาจส่งผลกระทบทำให้เกิดการสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ดังเช่น
(1) การสำรวจ ขุดเจาะ หรือขนส่งน้ำทันดิบจากแหล่งขุดเจาะในทะเลโดยทางเรือบรรทุกน้ำทัน อาจเกิดอุบัติเหตุทำให้น้ำมันรั่วไหลมีคราบน้ำมันปนเปื้อนบริเวณพื้นผิวน้ำ เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล และทำให้ระบบนิเวศของท้องทะเลต้องเสียความสมดุลไป
(2) การสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ทำให้สูญเสียพื้นที่ป่าไม้จำนวนมาก
(3) การตั้งโรงงานอุตสาหกรรมอย่างหนาแน่น ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ เสียง และแหล่งน้ำตามธรรมชาติ เป็นต้น
3. สรุปวิกฤตการณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของโลก
3.1 วิกฤตการด้านทรัพยากรธรรมชาติของโลก มีดังนี้
(1) การตัดไม้ทำลายป่า และการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้
(2) ความเสื่อมโทรมของดิน และการชะล้างพังทลายของดิน
(3) การขาดแคลนทรัพยากรน้ำจืด
3.2 วิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมของโลก
(1) การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (ภาวะโลกร้อน และชั้นโอโซนถูกทำลาย)
(2) มลพิษทางอากาศ
(3) หมอกควัน และฝนกรด
(4) ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Green house effect)
(5) ปรากฏการณ์เอลนิโญ (El Nino)
(6) การละลายของธารน้ำแข็งและภาวะน้ำท่วม
(7) การเพิ่มขึ้นของขยะเทคโนโลยี
การอนุรักษ์ทรัพยากรทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคต่างๆของโลก
(1) ปลูกต้นไม้เพื่อทดแทนของเดิมที่ถูกทำลายไป
(2) อนุรักษ์ป่าไม้ไว้ไม่ให้บุกรุกไปสร้างบ้านเรือนจนกินเนื้อที่ป่ามาก
(3) ควบคุมดูแลการใช้น้ำ ไฟ อย่างประหยัด
แหล่งอ้างอิง:
http://www.ertc.deqp.go.th/ertc/สุดท้ายเอาสิ่งที่เขาสำรวจและจัดอันดับความร้ายแรงมาให้ดู ซึ่งผมก็ไม่ได้เห็นด้วยกับข้อมูลนี้ เช่นเรื่องความเป็นไปได้ในการขาดแคลนน้ำมัน ความเป็นไปได้เรื่องผึ้งสูญพันธ์ หรือเรื่องอื่นๆ แม้แต่เรื่องมนุษย์ต่างดาวบุกโลก โดยสรุปแล้ว ในความเห็นของผมข้อมูลเหล่านี้เชื่อถือไม่ได้ในแง่การให้น้ำหนัก หรือสิ่งที่คาดว่าจะเกิด เป็นเพียงความคิดเห็น ไม่ได้มีหลักการทางวิทยาศาสตร์มายืนยัน แต่ที่เอาลงมาให้ดูเพียงเพื่อให้ท่านทั้งหลายได้รู้ว่ามีอะไรบ้างที่คนในโลกเขาหวาดกลัวกันอยู่
10 ทฤษฎีวันสิ้นโลก Doomsday Theories นำไปสู่ วันสิ้นโลก
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก 2012endoftheworld.com
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก 2012endoftheworld.com
ดูเหมือนจะกลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงกันไปทั่วโลกในขณะนี้ สำหรับทฤษฎีโลกาวินาศ หรือ ทฤษฎีวันสิ้นโลก (Doomsday Theories) ที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับโลกเร็ว ๆ นี้ ในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป และประเด็นดังกล่าวก็ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงกันอีกครั้งในขณะนี้ ยิ่งปี 2012 ที่เชื่อว่าจะเป็นวันสิ้นโลกกำลังจะมาถึงในเวลาอีกไม่นานนี้ อีกทั้งยังมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยครั้งและทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ยิ่งทำให้ทฤษฎีวันสิ้นโลกของนักวิทยาศาสตร์กลายเป็นที่สนใจของคนทั่วโลกกันมากขึ้น ด้วยเชื่อว่ามันอาจจะเกิดขึ้นจริงตามที่นักวิทยาศาสตร์ได้เคยคาดการณ์กันไว้ก็เป็นได้
เว็บไซต์เทเลกราฟ ของอังกฤษ จึงได้มีการจัดอันดับปรากฏการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้น อันเป็นปรากฏการณ์ที่นำไปสู่ยุคโลกาวินาศ โดยอาศัยหลักฐานต่าง ๆ มาประเมินความน่าจะเป็นของทฤษฎีต่าง ๆ และจัดอันดับความน่าจะเป็นของปรากฏการณ์สู่ยุคโลกาวินาศออกมาได้ดังนี้
1. ปรากฏการณ์วิกฤตโลกร้อน ภายในปี 2100 นี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ โลกจะร้อนขึ้นจนทำลายสมดุลทางธรรมชาติ ขณะที่คาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ และแพร่กระจายไปทุกอณูอากาศ และความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่รวดเร็ว จะส่งผลให้เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่จำเป็นต่อชีวิตมนุษย์ จนโลกใบนี้มีทรัพยากรน้อยลง และในที่สุด ประชากรบนโลกก็จะอพยพหนีจากที่ที่เสียหายจากภัยพิบัติไปรวมตัวกันในพื้นที่แห่งใหม่ที่ปลอดภัยและมีทรัพยากรหล่อเลี้ยงชีวิต แต่ในยุคนั้นที่ทรัพยากรถูกทำลายไปจนเหลือน้อยลงแล้ว ก็จะไม่มีทรัพยากรเพียงพอต่อประชากรทั้งโลก และสิ่งที่ตามมาเป็นอันดับสุดท้ายก็คือการยื้อแย่งทรัพยากรกันเองในหมู่ประชากรโลก ท่ามกลางสภาพอากาศที่อุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อง ๆ จนประชากรโลกอยู่ได้อย่างลำบาก
ความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์นี้ 7/10
2. ปรากฏการณ์การค่อย ๆ สูญพันธุ์ของผึ้ง มีความเป็นไปได้ว่าอีกไม่นานนี้ ผึ้งจะค่อย ๆ หายสาบสูญไปจากโลก หลังจากที่มีการพบว่าผึ้งที่เลี้ยงอยู่ในสหรัฐกว่าครึ่งหายสาบสูญไปจากรัง จนนางพญาไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้เพราะไม่มีอาหาร ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ถูกตั้งข้อสันนิษฐานว่ามาจากปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ยาฆ่าแมลง การตัดแต่งพันธุกรรมในพืช หรืออาจมาจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากเสาไฟฟ้าแรงสูงก็เป็นได้ แต่จากหลักฐานที่มีการพบว่าผึ้งได้หายสาบสูญไป ก็พอจะทำให้นักวิทยาศาสตร์ทำนายได้ว่า มันอาจจะสูญพันธุ์ไปในเวลาอันใกล้นี้ และนั่นจะส่งผลร้ายต่อพืชที่มีผึ้งเป็นตัวผลิตอย่างแน่นอน
ความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์นี้ 7/10
3. ปรากฏการณ์ขาดแคลนน้ำมัน โลกใกล้เข้าสู่ยุคขาดแคลนน้ำมันอย่างสิ้นเชิงเข้าไปทุกที หลังจากมีการตรวจพบว่าปริมาณน้ำมันทั่วโลกนั้นลดลง เนื่องจากความต้องการที่มากขึ้น จากการสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ขึ้นมาทุก ๆ วัน แล้วใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงในการใช้งาน ก็มีความเป็นไปได้ว่าอีกไม่นาน โลกจะถึงจุด Peak Oil หรือภาวะขาดแคลนน้ำมันชนิดที่ไม่เหลือน้ำมันเหลืออยู่เลย ซึ่งวิกฤตน้ำมันนี้จะเกิดขึ้นภายในไม่เกินปี 2020 ตราบใดที่ยังไม่มีการใช้เชื้อเพลิงอื่นแทนน้ำมัน
ความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์นี้ 4/10
4. ปรากฏการณ์ก่อการร้ายทำลายโลก หลังจากมีเหตุการณ์ก่อการร้าย 911 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 ที่ส่งผลให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตกว่า 3,000 คนแล้ว กลุ่มก่อการร้ายอัลเกดาห์ จะยังคงรวมตัวกันสร้างความวุ่นวายให้กับโลกด้วยการรวบรวมอาวุธสงครามทำลายล้างโลกโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายเหมือนที่เคยเกิดขึ้น และกลุ่มก่อการร้ายนี้เองจะมุ่งเป้าไปที่ชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และอังกฤษก่อนเป็นอันดับแรก และส่งผลกระทบต่อประเทศต่าง ๆ ในเวลาต่อมา และจะสร้างความเสียหายหนักกว่าที่เคยเป็นมาเมื่อ 9 ปีก่อนอย่างแน่นอน
ความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์นี้ 2/10
5. สงครามโลกครั้งที่ 3 สงครามโลกครั้งที่ 3 นี้จะเกิดขึ้นจากผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติที่จำเป็นต่อชีวิตมนุษย์ถูกทำลาย และก่อให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรในหมู่ประชากรโลกครั้งใหญ่ มีการผลิตอาวุธสงครามเพื่อทำลายกันเอง และในที่สุดจะทำให้ประชากรโลกต้องเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก อีกทั้งสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ก็จะพังทลาย สร้างความเสียหายไปทุกพื้นที่บนโลก หรืออีกคำทำนายหนึ่งคือสงครามโลกครั้งที่ 3 อาจเป็นสงครามนิวเคลียร์ที่อาจทำลายล้างโลก เพราะมีกองทัพรูปแบบเก่าคอยจ้องจะก่อสงครามได้ตลอดเวลา
ความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์นี้ 1.5/10
6. ปรากฏการณ์ภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ โดยเฉลี่ยแล้วในทุก ๆ 50,000 - 60,000 ปี โลกจะเกิดภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง ซึ่งมันจะทำลายล้างพื้นที่โดยรอบกว่า 1,500 ตารางกิโลเมตร ก็อาจเป็นไปได้ว่าอีกไม่นานลาวาที่อยู่ใต้พื้นพิภพจะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง เป็นเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่เลยทีเดียว โดยหลังจากที่เกิดภูเขาไฟแล้ว ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิบนโลกอีกครั้ง ทำให้โลกมีอุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว และนอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังทำนายจากการเคลื่อนไหวของลาวาใต้เปลือกโลก พบว่า มันพร้อมที่จะระเบิดออกมาแล้วภายในศตวรรษนี้
ความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์นี้ 1/10
7. การเปลี่ยนขั้วของสนามแม่เหล็ก โดยปกติแล้วสนามแม่เหล็กจะเปลี่ยนขั้วโดยทิ้งช่วงระยะเวลาห่างกันเฉลี่ยนอยู่ที่ประมาณ 250,000 ปีต่อครั้ง ซึ่งถึงแม้ว่าจะยังไม่มีทฤษฎีใดสามารถอธิบายใดว่าการกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่หากมันเกิดขึ้นแล้ว ก็ย่อมส่งผลต่อโลกให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในบริเวณต่าง ๆ เช่น ทำให้ประเทศเขตร้อนมีหิมะตก หรือมีอากาศหนาวเหน็บจนยากที่จะปรับตัวได้ทัน เกิดพายุหมุนอย่างรุนแรง แผ่นดินไหว แต่ไม่อาจคร่าชีวิตประชากรโลกจนสูญพันธุ์ได้
ความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์นี้ 1/10
8. ปรากฏการณ์ภัยพิบัติจากดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์จะเกิดการปะทุครั้งใหญ่และความร้อนจากดวงอาทิตย์จะเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกให้หายไปในชั่วพริบตา และโลกจะเกิดหายนะในปี 2012
ความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์นี้ 0.3/10
9. ปรากฏการณ์ดาวนิบิรุชนโลก แม้จะเป็นดาวลึกลับในตำนาน แต่นิบิรุกลับถูกเชื่อมโยงเข้ากับปรากฏการณ์วันสิ้นโลก โดยดาวนิบิรุจะมีวงโคจรทับเส้นเดียวกับวงโคจรของโลก และยังมีการคาดการณ์ว่าในปี 2012 นี้ มันจะเดินทางเข้าใกล้โลกมากจนสามารถมองเห็นมันใหญ่กว่าดวงอาทิตย์เลยทีเดียว
ความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์นี้ 0.2/10
10. มนุษย์ต่างดาวบุกโลก แม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันได้อย่างแน่ชัดว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่ แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์กันว่าอีกไม่เกิน 30 ปี มนุษย์ต่างดาวจะบุกโลก ส่วนจะทำอะไรกับโลกหรือประชากรบนโลกหรือไม่นั้น ยังไม่มีการระบุแต่อย่างใด
ความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์นี้ 0.1/10
ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ข้างต้นเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่นักวิทยาศาสตร์คาดเดาว่าอาจจะเกิดขึ้นเท่านั้น แต่สิ่งที่เราควรตระหนักถึงคือการเตรียมตัวรับมือกับปรากฏการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นเหล่านี้ โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นมากที่สุด ที่มีความน่าจะเป็นถึง 7/10 คะแนน นั่นคือ วิกฤตการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ที่ในขณะนี้มีหลักฐานออกมาชัดเจน ยืนยันว่าโลกกำลังเข้าใกล้ยุคโลกร้อนเต็มทีแล้ว ก็คงถึงเวลาแล้วที่ประชากรโลกควรร่วมมือกันยื้อเวลาวิกฤตสิ่งแวดล้อมนี้เสียที
ที่มา Kapook.com
***ทั้งหมดนั้นคือบทความทางวิชาการที่ได้รวบรวมมาให้ท่านทั้งหลายได้ทราบกันครับ ครั้งต่อๆไปกำลังคิดพิจารณาอธิษฐานดูว่าจะแบ่งปันอะไรดี แบ่งปันเรื่องพระวจนะเพื่อคริสตชนต่อดีไหม หรือว่าแบ่งปันแนวคิดต่อจากที่เขียนไว้ในสูจิบัตรให้ละเอียดครอบคลุมมากขึ้น หรือว่าแบ่งปันพระลักษณะของพระคริสต์ในการรับใช้หรือในการปฏิสัมพันธ์ปฏิบัติต่อผู้คนด้านต่างๆดี แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้าครับ***
ขอพระเจ้าเปิดเผยและสำแดงกับอ.ตามที่อ.ร้องทูลคะ
ตอบลบเพื่อทุกครั้งที่อ.แบ่งปันจะนำมาซึ่งประโยชน์สูงสุดตามน้ำพระทัยของพระองค์
พิมพ์ๆอยู่ ก็นึกถึงเพลงๆ นี้(จำชื่อเพลงไม่ได้คะแต่เนื้อประมาณนี้)
ตาของผู้รับใช้..จ้องมองนายของเขา สายตาของข้าจ้องดูเช่นกัน
ขอบูชาพระเจ้าผู้ทรงเมตตา ดวงตาข้าจะมองจ้องจับที่พระองค์