สวัสดีครับ ผมเพิ่งเดินทางกลับมาจากการไปร่วมงานประกาศคริสต์มาสที่แถบภาคอีสาน ถือได้ว่านี่เป็นการเดินทางไปครั้งแรกตั้งแต่หายป่วย ไม่นับรวมการไปเยี่ยมครน.ชนเผ่าที่ไปเป็นประจำอยู่แล้ว เห็นได้เลยว่าย่านฟ้าอากาศของหลายๆที่ในภาคอีสานเปิดแล้ว มีคจ.หนึ่งฟื้นฟูมาก มีคนมาแสวงหาพระเจ้ามากมาย และสัมผัสได้ว่าเขาเหล่านั้นหิวกระหายหาพระเจ้าจริงๆ อีกที่หนึ่งไปจัดงานประกาศกลางแจ้ง ผมตั้งใจเทศน์ให้คนที่วิ่งออกกำลังกายแถวนั้นได้ิยินพระกิตติคุณด้วย และเมื่อนำต้อนรับพระเยซู เขาอธิษฐานตาม และท่องสถานที่ที่ผมบอกว่าเป็นที่ตั้งคจ.ให้เขาฟััง แล้วเขาก็วิ่งต่อไป ขอบคุณพระเจ้า
ในการไปที่อีสานนั้น ต้องขอบคุณพระเจ้าอีกสิ่งหนึ่งสำหรับการช่วยปกป้องของพระเจ้าให้พ้นจากอุบัติเหตุและพ้นภัย คือว่ารถมอเตอร์ไซค์อยู่ดีดี ก็เบี่ยงขวาปาดหน้ารถผม เขาไม่ระวังเวลาจะเลี้ยวรถ พอหักรถมาแล้วถึงเห็นรถผม ขอบคุณพระเจ้าที่เขาชะงัก ส่วนผมก็หักหลบไป ดีที่เลนนั้นที่ไม่มีรถวิ่งสวนมา ผ่านเหตุการณ์นี้ไปแล้ว ถึงได้เห็นmanifestationจากพระเจ้า ว่าพระเจ้าส่งทูตสวรรค์มาปกป้องคุ้มครองเราจริงๆ
ก็เล่าสู่กันฟังเล็กๆน้อยๆครับ สำหรับพระคุณของพระเจ้า การคุ้มครองของพระเจ้า ฮาเลลูยา!
จัดทำไว้เพื่อสำรวจโลกและสิ่งต่างๆที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้เพื่อเรา บทความที่เขียน A) พระวจนะพระเจ้า B) การฟื้นฟู C) ประสบการณ์
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552
A) Word of God : Faith
เชื่อ
เหตุที่เขียนเรื่องนี้เพราะว่าใกล้จะถึงแล้ว คำพยากรณ์ที่มาถึงประเทศไทย และเราจะมีประสบการณ์ร่วมกับคำพยากรณ์นี้ได้ เราต้องอาศัยความเชื่อของเราเท่านั้น คำว่า “เชื่อ” ดูเหมือนพูดง่ายๆ ดูเหมือนทำง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว คริสเตียนหลายคนกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น หากบอกว่าเราเชื่อจริง เชื่อคำพยากรณ์จริงก็จงแสดงผลของการกระทำออกมา (ยากอบ 2:17 , 2:26) เช่น การสร้างคน การเตรียมผู้ประกาศ การเตรียมคริสตจักร(เหมือนที่ผมเคยเล่าเรื่องคริสตจักรของอ.ยุทธศักดิ์ที่เตรียมการรองรับการฟื้นฟูไว้แล้ว) การตั้งเป้าหมาย ฯลฯ ชีวิตคริสเตียนของเราล้วนเกี่ยวข้องกับความเชื่อในพระเจ้าทั้งสิ้น พระคัมภีร์บอกว่าเริ่มต้นด้วยความเชื่อ สุดท้ายก็จบลงด้วยความเชื่อเช่นกัน (โรม 1:17) เหมือนเหตุการณ์การโจมตีของผีมารที่ผมไปเจอมา คนที่ไม่มีความเชื่อเรื่องนี้ ก็จะไม่ระวังตนเอง ไม่อธิษฐานปกป้องตนเอง ไม่ทำสงครามกับผีมารซาตานในพระนามพระเยซู จะดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ วันๆ โดยหารู้ไม่ว่า ยังมีโลกในฝ่ายวิญญาณ ที่ตาเรามองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง และเราจะรู้ความจริงเรื่องนี้ได้ เราต้องอาศัยจิตวิญญาณของเราเท่านั้น สำหรับคริสเตียนทั่วๆไป เขาไม่ประสบสงคราม เพราะเขาไม่ดำเนินชีวิตแบบเอาจริงเอาจัง ผีมารก็คงไม่ค่อยไปสนใจเท่าไร แต่สำหรับคนที่เอาจริง เห็นทุกสิ่งในพระวจนะเป็นเรื่องจริง และระมัดระวังกระทำตาม แน่นอน ผีมารย่อมแสวงหาโอกาสโจมตี เขาผู้นั้นต้องตั้งมั่นคงอยู่ ระมัดระวังตัว และทำสงครามกับผีมารในพระนามพระเยซู โดยมีคริสเตียนท่านอื่นๆเป็นแนวร่วมช่วยกันสร้างเกราะ ล้อมรั้วฝ่ายวิญญาณไว้รอบชีวิตเขา
ถามว่าผีมารซาตานชอบการฟื้นฟูประเทศไทยไหม แน่นอนตอบได้ว่า ไม่ชอบแน่ เพราะจำนวนคนไทยจำนวนมากจะหลุดไปจากพวกมัน ไปอยู่ฝ่ายพระเยซู พวกมันย่อมไม่ชอบแน่ แล้วมันจะทำอะไร มันจะปิดบังความจริงไว้จากพวกคริสเตียนใช่ไหม ทำให้คริสเตียนไม่เชื่อคำพยากรณ์นี้ใช่ไหม มันจะทำให้พวกคริสเตียนไม่เชื่อเรื่องวาระสุดท้ายหรือยุคสุดท้ายใช่ไหม ทำให้คริสเตียนไม่เตรียมตัวใช่ไหม
สิ่งที่เราทำได้ส่วนหนึ่งคือ ใช้ความเชื่อ เอาความเชื่อเป็นโล่ห์เพื่อดับลูกศรเพลิงของพญามาร (เอเฟซัส 6:16) มารซาตานยิงลูกศรเพลิงมา ถ้าเราไม่มีความเชื่อ ไม่ใช้ความเชื่อ ก็เหมือนโล่ห์นั้นไม่ได้ยกขึ้น ลูกศรเพลิงของพญามารก็สามารถปักเราได้
อยากจะยกเรื่องความเชื่อมากล่าว จากพระธรรมฮีบรู บทที่ 11
1 ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง
ถามตัวเราเองว่า เราหวังในการฟื้นฟูไหม เราแน่ใจไหมว่าพระเจ้าจะฟื้นฟูประเทศไทย เราพูด เราประกาศออกไปด้วยความเชื่อไหมว่าสิ่งที่ยังไม่เห็น ยังไม่เกิดนั้น จะเกิดขึ้น
พระคัมภีร์ได้ให้ตัวอย่างแห่งความเชื่อจากบุคคลท่านต่างๆ จากบทที่ 11 นี้
6 แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้าได้นั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์
ถ้าไม่มีความเชื่อ จะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าไม่ได้ ข้อ 33 เป็นต้นไป ผลของคนที่มีความเชื่อ
เมื่อเราดูหนังสือพระกิตติคุณ เราจะเห็นว่าสิ่งที่พระเยซูกระทำ ล้วนแล้วแต่เพราะความเชื่อทั้งสิ้น และตอนที่พระเยซูพูดถึงความเชื่อของเราหากมีเพียงเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด หมายความถึงมีเพียงน้อยนิดเปรียบได้กับเมล็ดพืชที่เล็กมาก (ดูรูปประกอบ) ก็สามารถเคลื่อนทั้งภูเขาได้
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่านให้สามารถใช้ความเชื่อ หรือฝึกใช้ความเชื่อ จนเห็นสิ่งต่างๆได้บังเกิดขึ้นตามน้ำพระทัยพระเจ้าครับ อาเมน!
มาระโก 9:23 พระเยซูจึงตรัสแก่บิดานั้นว่า "ถ้าท่านเชื่อได้ ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง"
ยอห์น 14:12 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเราจะกระทำกิจการซึ่งเราได้กระทำนั้นด้วย และเขาจะกระทำกิจการที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก เพราะว่าเราจะไปถึงพระบิดาของเรา
วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552
A) Word of God : The Glory of God
พระสิริพระเจ้า
ได้ยินคำนี้ที่คนพูดถึงบ่อยๆ แล้วก็คิดถึงว่า จะจับต้องได้อย่างไร หรือว่าเป็นสัญญลักษณ์เท่านั้น แสดงการมาอยู่ด้วยของพระเจ้า จึงเริ่มค้นคว้าดูจากพระคัมภีร์ ประจวบเหมาะกับมาเจอเหตุการณ์ที่ผมไปประกาศที่หมู่บ้านชนเผ่า ดังที่ได้เล่าให้ท่านทั้งหลายได้อ่านไปแล้วนั้น หลังจากนั้นได้มาดูรูปในกล้องที่ลูกสาวผมได้ถ่ายเอาไว้ในบางภาพ บางเหตุการณ์ เห็นเป็นหมอกบางๆ และมีบางช่วงที่คนเห็นนิมิตเป็นไฟกระจายรอบเต็นท์นั้น ซึ่งลูกสาวได้บอกว่าเวลานั้น ในเต็นท์นั้นร้อน ทั้งๆที่อากาศหนาว คนอื่นๆก็เช่นกัน สัมผัสความร้อนได้จากการที่พระเจ้ามาสถิตอยู่ด้วย และพระสิริของพระเจ้าได้ลงมาท่ามกลางพวกเรา จึงคิดว่าประจวบเหมาะพอดีกับที่เขียนเรื่องนี้
ขอเล่าเพิ่มเติมอีกนิดครับ ตอนที่ผมหงายหลังหมดสติไปนั้น ภรรยาผมได้ถามหมอนิดในเวลาต่อมาเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดกับผม หมอนิดบอกว่าผมมีโอกาสตายได้ ถ้าศรีษะผมฟาดพื้น หมอคนที่ดูแลผมตอนผมเข้าโรงพยาบาลสมัยแรกเมื่อสี่ปีที่แล้วบอกว่า ต้องระวังศรีษะให้ดี อย่าให้ล้ม เพราะจะทำให้เสียชีวิตได้ นี่แสดงว่า ผีมารจ้องเอาชีวิตผม แต่ทำไม่ได้ พระเจ้าอนุญาตแค่นี้ อาจารย์คนที่มาจากเบนิน เขาบอกว่าเขาเห็นทูตสวรรค์เต็มไปหมด และพระเจ้าบอกเขาว่า พระเจ้าอนุญาตให้เกิดเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น คนในที่ประชุมบอกผมว่าเมื่อผมล้มหงายหลังนั้นเหมือนภาพสโลโมชั่น คือค่อยๆหงายหลังไป เหมือนผีมารผลักให้ผมล้ม แต่ทูตสวรรค์ประคองหลังและศรีษะผมไว้ เพราะเขาบอกว่า เมื่อผมล้มไปถึงดิน แต่ศรีษะผมยกอยู่ ไม่กระแทกใส่พื้น ขอบคุณพระเจ้า
คนจากส่วนที่ไปด้วยกันที่อ่อนแรงและไม่คิดจะไปค่ายสิ้นปี เกิดการเปลี่ยนแปลง สมัครค่ายวันนั้นเลย ฯลฯ มีหลายสิ่งหลายอย่างทีเดียวครับที่เกิดขึ้น ขอบคุณพระเจ้า
ภาพเปรียบเทียบบางภาพที่ไปมา
จะเห็นว่าภาพขวามือเป็นเหมือน หมอกบางๆที่อยู่ที่นั่น สองภาพนี้ถ่ายมาจากกล้องถ่ายรูปของลูกสาวผมครับ
นี่ก็เช่นกัน
ภาพนี้จะเห็นเป็นรูปดาว นี่เป็นเพียงบางภาพเท่านั้นครับ ที่เอามาให้ดู ขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้าหนุนใจเราว่า พระองค์ทรงอยู่ที่นั่น
กลับมาดูเรื่องพระสิริพระเจ้าบ้าง ขอเริ่มต้นดูจากพระคัมภีร์เดิมก่อนครับ
H3519 כָּבוֹד כָּבוֹד kabowd (kaw-bode')
นอกจากที่เห็นในพระคัมภีร์ตอนต่างๆแล้ว ภาษาฮีบรู พระสิริพระเจ้ายังหมายถึงน้ำหนักด้วย นั่นหมายความว่าเวลาพระสิริพระเจ้าลงมา จะเหมือนมีน้ำหนักลงมาที่ตัวเราด้วย
จากคำที่ H3519 เห็นพระสิริ เป็นเหมือนเมฆปกคลุม อพยพ 16:10 , 24:16 , 40:35 เป็นเหมือนเปลวไฟ อพยพ 26:17
พระสิริพระเจ้าเป็นเหมือนเมฆ เป็นเหมือนไฟ ที่นำทางคนอิสราเอล อพยพ 40:34-38 , ลนต.9:23-24
· สง่าราศีของพระเจ้าเป็นดั่งเมฆ
กันดารวิถี 16:42 ต่อมาเมื่อชุมนุมชนมาประชุมประจัญหน้าโมเสสและอาโรน เขาหันหน้ามาสู่พลับพลาแห่งชุมนุม และดูเถิด เมฆมาคลุมพลับพลานั้น และสง่าราศีของพระเยโฮวาห์ก็ปรากฏ
1 พงษ์กษัตริย์ 8:10-11
10 และอยู่มาเมื่อปุโรหิตออกมาจากที่บริสุทธิ์ที่สุด เมฆมาเต็มพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ 11 ปุโรหิตจึงยืนปรนนิบัติอยู่ไม่ได้เพราะเมฆนั้น เพราะสง่าราศีของพระเยโฮวาห์เต็มพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
· เมื่อคนอิสราเอลถวายสรรเสริญพระเจ้า ร้องเพลงโมทนาด้วยใจพร้อมเพรียงกัน สง่าราศีของพระเจ้าก็ลงมาปกคลุมเต็มพระนิเวศ
2 พงศาวดาร 5:13-14
13 อยู่มาพวกคนเป่าแตรและพวกนักร้องจะทำให้คนได้ยินเขาทั้งหลายร้องเพลงสรรเสริญ และเพลงโมทนาพระคุณพระเยโฮวาห์เป็นเสียงเดียวกัน และเมื่อเขาร้องขึ้นพร้อมกับแตรและฉาบกับเครื่องดนตรีอย่างอื่น ในการถวายสรรเสริญแด่พระเยโฮวาห์ว่า "เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์" พระนิเวศคือพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ก็มีเมฆเต็มไปหมด 14 จนปุโรหิตจะยืนปรนนิบัติไม่ได้ด้วยเหตุเมฆนั้น เพราะสง่าราศีของพระเยโฮวาห์เต็มพระนิเวศของพระเจ้า
· อีกครั้ง 2 พงศาวดาร 7:1-3
1 เมื่อซาโลมอนทรงจบคำอธิษฐานของพระองค์แล้ว ไฟได้ลงมาจากฟ้าสวรรค์ไหม้เครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชาเสีย และสง่าราศีของพระเยโฮวาห์ก็เต็มพระนิเวศ 2 ปุโรหิตเข้าไปในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ไม่ได้ เพราะว่าสง่าราศีของพระเยโฮวาห์เต็มพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
3 เมื่อบรรดาชนอิสราเอลได้เห็นไฟลงมาและสง่าราศีของพระเยโฮวาห์อยู่บนพระนิเวศ เขาทั้งหลายก็กราบซบหน้าลงถึงพื้นหิน และได้นมัสการสรรเสริญพระเยโฮวาห์ว่า "เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์"
3 เมื่อบรรดาชนอิสราเอลได้เห็นไฟลงมาและสง่าราศีของพระเยโฮวาห์อยู่บนพระนิเวศ เขาทั้งหลายก็กราบซบหน้าลงถึงพื้นหิน และได้นมัสการสรรเสริญพระเยโฮวาห์ว่า "เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์"
1 ซามูเอล 4:21-22 ได้พูดไว้อย่างน่าสนใจว่า เพราะหีบแห่งพันธสัญญาถูกเอาไป สง่าราศีของพระเจ้าจึงไม่ได้อยู่ด้วย หีบแห่งพันธสัญญาในสมัยพระคัมภีร์เดิมเป็นเครื่องหมายแห่งการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า เมื่อหีบของพระเจ้าไม่อยู่กับอิสราเอล การอวยพรของพระเจ้าก็ไม่มาถึง หีบของพระเจ้าจะกลับมาอยู่กับอิสราเอล พวกเขาต้องชำระตัวเองให้บริสุทธิ์ด้วย นั่นแสดงว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับผู้ที่มือสะอาดและใจบริสุทธิ์ เมื่อหีบแห่งพันธสัญญากลับมาอยู่กับอิสราเอล ด้วยความยินดี ดาวิดเต้นโลดถวายพระเจ้า ดั่งที่ผมได้เขียนไว้ในบล็อกก่อนหน้านี้
นี่เองสง่าราศีในพระคัมภีร์ใหม่ G1391 δόξα doxa (dox'-ah) ถึงหมายความถึงการสรรเสริญและการนมัสการด้วย นั่นหมายความว่า เมื่อเราร้องเพลงสรรเสริญและนมัสการ เรากำลังเชิญพระสิริพระเจ้าลงมาใช่หรือไม่
· พระสิริหรือสง่าราศีของพระเจ้าในพระคัมภีร์ใหม่เท่าที่เห็นได้ ปรากฏได้ก็คงมีตอนนี้เท่านั้น
ลูกา 2:9 สง่าราศีของพระเจ้าปรากฏแก่คนเลี้ยงแกะ เป็นแสงรอบตัวเขา
โดยรวมแล้วพระสิริพระเจ้าน่าจะหมายถึงการที่พระเจ้ามาสำแดงแก่ประชากรของพระองค์ว่า พระองค์ทรงอยู่ด้วยท่ามกลางเขา ส่วนที่ว่าจะเห็นหรือสัมผัสได้ว่าพระสิริลงมาหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับน้ำพระทัยพระเจ้าว่าพระองค์ประสงค์จะสำแดง(Manifestation)หรือไม่ แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้าครับ
วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552
A) Word of God : The tabernacle of David
พลับพลาดาวิด
มาจากคำนี้ในภาษาฮีบรู Tabernacle ที่พำนัก , สถานที่พำนัก H4908 מִשׁכָּן mishkan (mish-kawn')
ช่วงที่อยู่ที่อิสราเอล ได้คิดถึงเรื่องพลับพลาของดาวิด เพราะเห็นเขาพูดถึงในการประชุมอธิษฐานที่อิสราเอลอยู่บ่อยๆ มาจาก กจ.15:15-18
15 คำของผู้เผยพระวจนะก็สอดคล้องกับเรื่องนี้ ดังที่ได้เขียนไว้แล้วว่า
16 "ภายหลังเราจะกลับมา และเราจะสร้างพลับพลาของดาวิดซึ่งพังลงแล้วขึ้นใหม่ ที่ร้างหักพังนั้นเราจะก่อขึ้นอีกและจะตั้งขึ้นใหม่
17 เพื่อคนอื่นๆ จะได้แสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า คือบรรดาคนต่างชาติซึ่งเราจองไว้
18 องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงแจ้งเหตุการณ์เหล่านี้ให้ทราบแต่โบราณกาลได้ตรัสไว้แล้ว
· จุดประสงค์ในการสร้างพลับพลา
อพยพ 25:8 8 แล้วให้เขาสร้างสถานนมัสการถวายแก่เรา เพื่อเราจะได้อยู่ท่ามกลางพวกเขา
· พระเจ้าได้วางแบบอย่างการสร้างพลับพลา และบอกโมเสสให้สร้าง
อพยพ 25:9 แบบอย่างพลับพลาและเครื่องทั้งปวงของพลับพลานั้น เจ้าจงทำตามที่เราแจ้งไว้แก่เจ้านี้ทุกประการ
· แบบแปลนการสร้างพลับพลา พระเจ้าได้อธิบายไว้ใน อพยพ บทที่ 25-27
· แบบแปลนลานพลับพลา อพยพ บทที่ 27
· การตั้งระบบปุโรหิต อพยพ บทที่ 28 วิธีการถวายสัตวบูชา อพยพ บทที่ 29
หีบพันธสัญญาของพระเจ้าในสมัยโมเสสได้ตกไปอยู่ในมือของฟิลิสเตีย และดาวิดได้ไปเชิญกลับมาที่เยรูซาเล็มใน 2 ซามูเอล บทที่ 6 ดาวิดเต้นโลดสรรเสริญพระเจ้าต่อหน้าพระพักตร์ มีความชื่นชมยินดีที่หีบพันธสัญญาได้กลับมาอยู่กับอิสราเอลอีกครั้ง ดาวิดได้สร้างพลับพลาเพื่อไว้หีบพันธสัญญา ข้อ 17 เขาจึงเรียกกันว่า พลับพลาของดาวิด ต่อมาในบทที่ 7 ดาวิดคิดว่าจะสร้างวิหารให้พระเจ้า แต่พระเจ้าไม่อนุญาตและจะให้ผู้ที่เกิดมาจากดาวิดคือโซโลมอนเป็นผู้สร้างแทน
สำหรับพลับพลาที่ดาวิดได้จัดไว้ให้หีบพันธสัญญาของพระเจ้าอยู่นั้น ดาวิดได้แต่งตั้งให้ มีนักร้องเพลงเผยพระวจนะจำนวน 288 คน (1พงศาวดาร 25:7) และ นักดนตรี 4,000 คน ( 1พงศาวดาร 23:5 สี่พันคนเป็นนายประตู และอีกสี่พันคนจะถวายสรรเสริญแก่พระเจ้าด้วยเครื่องดนตรี ซึ่งเราได้สร้างไว้ให้ใช้สรรเสริญ" ) ที่ทำการปรนนิบัติหน้าพระพักตร์ อธิษฐานวิงวอน ขอบพระคุณ สรรเสริญพระเจ้า ทั้งกลางวันกลางคืน
พลับพลาของดาวิด เต็นท์ หรือ พลับพลา ได้จัดตั้งขึ้น โดยกษัตริย์ดาวิด เป็นที่ตั้งของหีบพระสัญญาของพระเจ้า ในกรุงเยรูซาเล็ม
1 พงศาวดาร 13, 15, 16:1 ให้คนเลวีปรนนิบัติทั้งกลางวันกลางคืน ต่อหน้าหีบพระโอวาดนั้น
1 พงศาวดาร 15:2 คนเลวีปรนนิบัติด้วยดนตรีต่อหน้าหีบนั้น ภายใต้การนำของดาวิด กาด และ นาธาน
1 พงศาวดาร 6:31-32, 2 พงศาวดาร 29:25 คนเลวีหัวหน้านักดนตรี ได้รับการแต่งตั้งให้ปรนนิบัติหน้าหีบพระสัญญา
1 พงศาวดาร15:28 เครื่องดนตรี ในพลับพลาของดาวิด เช่น พิณใหญ่และพิณเขาคู่ ฉาบ แตร
1 พงศาวดาร 16:4 คนเลวีได้รับการแต่งตั้ง ที่จะ อธิษฐานวิงวอน ขอบพระคุณ
1 พงศาวดาร 17 เมื่อนมัสการสรรเสริญ ชัยชนะของกองทัพก็เป็นผลมาจาก พลับพลาของดาวิด
2 พงศาวดาร 5: 12-14 , 2 พงศาวดาร 5:13, 7:3 การร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าในพระวิหารสมัยซาโลมอน เมื่อวิหารสร้างเสร็จแล้ว
ถึงแม้ว่าพลับพลาจะถูกแทนที่ด้วยพระวิหาร แต่การจัดการนมัสการแบบดาวิดก็ยังคงมีเรื่อยมา กษัตริย์โซโลมอนได้นำการนมัสการเข้ามาในพระวิหารให้เหมือนกับพลับพลาของดาวิด ในพระคัมภีร์ 2 พงศาวดาร จะเห็นชัยชนะเสมอๆ เมื่อมีการจัดตั้งกองทัพนมัสการแบบดาวิด
ปัจจุบันก็เช่นกัน การนมัสการตามแบบอย่างพลับพลาของดาวิด นำมาซึ่งชัยชนะ ในชีวิตเรา ในครอบครัวเรา ในบ้านเรา ในคริสตจักรของเรา
แต่สำหรับพระวิหารที่เต็มไปด้วยธรรมเนียม กฎระเบียบต่างๆ แตกต่างจากสมัยกษัตริย์โซโลมอนที่ตามแบบอย่างพระบิดาของพระองค์คือกษัตริย์ดาวิด พลับพลาของดาวิดแตกต่างจากพระนิเวศน์ในพระวิหาร พระวิหารมีกฏระเบียบ แต่พลับพลาของดาวิดไม่มีม่านขวางกั้น คนต่างชาติคือพวกเราสามารถเข้ามาหาพระเจ้าได้
มาจากพระคัมภีร์เดิม
อาโมส 9:11-12
11 "ในวันนั้น เราจะยก กระท่อมของดาวิดที่ล้มลงแล้วนั้นตั้งขึ้นใหม่ และซ่อมช่องชำรุดต่างๆ เสีย และยกที่สลักหักพังขึ้น และสร้างเสียใหม่อย่างในสมัยโบราณกาล
12 เพื่อเขาจะได้ยึดกรรมสิทธิ์คนที่เหลืออยู่ของเอโดม และประชาชาติทั้งสิ้นซึ่งเขาเรียกด้วยนามของเรา"พระเจ้าผู้ทรงกระทำเช่นนี้ตรัสดังนี้แหละ
นี่เป็นเรื่องคนต่างชาติที่มาเชื่อพระเจ้า จากกิจการ 15 เปโตรได้อธิบายว่าไม่ควรวางแอกหรือภาระไว้กันคนต่างชาติไม่ให้เข้ามาหาพระเจ้า เช่น วางแอกเรื่องพิธีเข้าสุหนัต เป็นต้น ในเมื่อพระเจ้าก็ได้ให้บังเกิดการอัศจรรย์แก่คนต่างชาติ เช่นเดียวกับคนอิสราเอล ความรอดก็รอดเหมือนกัน อัครทูตได้อ้างจากพระธรรมอาโมส ในกิจการ15:16 เรื่องการตั้งพลับพลาของดาวิดนั้น อัครทูตได้อธิบายต่อในข้อที่ 17 ว่า เพื่อเขาทั้งหลายจะได้แสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า และอย่าให้มีสิ่งใดกีดขวางคนต่างชาติไม่ให้เข้ามาหาพระเจ้า ยกเว้น 4 เรื่องนี้ “ให้งดเว้นเสียจากสิ่งที่มลทินเนื่องด้วยรูปเคารพ จากการล่วงประเวณี จากการรับประทานเนื้อสัตว์ที่รัดคอตาย และจากการรับประทานเลือด” ซึ่ง 4 เรื่องนี้ มาจาก อพย.20:3 ปฐก.9:4 ลวน.17:14 เป็นต้น
เมื่อทุกเมืองมีคนประกาศเรื่องโมเสสและอ่านธรรมบัญญัติในธรรมศาลาทุกวัน ว่าต้องเข้าสุหนัต และรักษาธรรมบัญญัติ นี่เป็นสิ่งที่คนยิวสร้างให้เกิดภาระแก่คนต่างชาติ พวกอัครทูตจึงจำต้องแก้ไขสิ่งที่สิ่งกีดขวางไม่ให้คนต่างชาติมาหาพระเจ้า นี่เป็นที่มาที่กิจการได้พูดถึงพลับพลาดาวิด
คิดว่าสิ่งที่ได้พูดกันในสมัยปัจจุบัน ก็คงเพื่อชี้ให้เห็นจากพระคัมภีร์ว่า การนมัสการที่มีเสรีภาพ ไม่มีรูปแบบ ประเพณี หรือสิ่งต่างๆที่คริสตจักรได้สร้างขึ้นมาเอง เป็นสิ่งขวางกั้นการที่เราจะเข้ามาแสวงหาพระเจ้า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราได้เห็นมาตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิมแล้ว ในสมัยของกษัตริย์ดาวิด และพระเจ้าได้วางรูปแบบการนมัสการแบบนี้ไว้แล้ว แม้แต่กับคนต่างชาติ และคำพยากรณ์นี้ยังกล่าวถึงเหตุการณ์ที่การนมัสการแบบนี้ที่ได้พังทลายลงเสีย ในเวลาต่อมาจะได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่
วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552
C) Experience : การประกาศที่หมู่บ้านชนเผ่า
มีเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้ ผมต้องเดินทางไปประกาศที่หมู่บ้านชนเผ่าหมู่บ้านหนึ่ง ทำให้ไม่มีเวลาเอาบทความที่เขียนประจำวันเสาร์ลง วันนี้หลังจากกลับมาแล้ว ถึงได้เอาลง และจะถือโอกาสนี้ขอบพระคุณพระเจ้าด้วยสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้น้องๆชนเผ่าที่ไปด้วยกัน ร่วมทั้งพี่น้องที่หมู่บ้าน ได้รับการดลจิตดลใจและรับการฟื้นฟูใจจากพระเจ้า ก่อนผมจะไป ผมได้อธิษฐานอย่างมาก รวมทั้งได้ฝากให้ผู้ที่มีภาระใจอธิษฐานวิงวอนได้อธิษฐานเผื่องานประกาศนี้ด้วย เพราะรู้ว่าการไปประกาศกับหมู่บ้านในชนบทนั้น ผีเยอะ เมื่อถึงวันประกาศวันเสาร์ การประกาศก็เสร็จสิ้นลงและผ่านไปด้วยดี แต่พอถึงการนมัสการวันอาทิตย์ เมื่อผมขึ้นไปเทศนา เทศน์ไปได้ช่วงแรกๆ ก็รู้สึกว่ากำลังภายในไม่มี ไม่มีแรงพูด แล้วความรู้สึกผมก็ดับลง ลืมตาขึ้นมาอีกที ก็นั่งอยู่ที่พื้นและคนก็มาห้อมล้อม อธิษฐานเผื่อผมกันใหญ่ ประโยคแรกที่จิตวิญญาณผมพูดออกมาคือ ฮาเลลูยา! แล้วพวกเขาก็ประคองผมไปนั่ง สรุปความว่า เขาเห็นผมเทศน์ๆไป แล้วก็เห็นผมหลับตา แล้วก็หงายหลังหมดสติไปบนพื้น เมื่อพวกเขาวิ่งเข้าไปห้อมล้อมผม อธิษฐานเผื่อผม บางคนเห็นในนิมิตว่ากำลังเรียวแรงผมไหลออกไปจากร่างกาย บางคนเห็นผีมารหน้าดำตัวลายวิ่งหนีออกไป บางคนเห็นทูตสวรรค์ลงมาสี่ตน บางคนเห็นไฟของพระเจ้าไหลวนอยู่แถบที่ผมยืนอยู่และแพร่กระจายออกไป บางคนสัมผัสได้ว่าพระเจ้ารักผมมาก ฯลฯ ผมก็บอกให้ที่ประชุมอธิษฐาน ภรรยาผมก็ขึ้นไปนำอธิษฐานร่วมกับทีมงานชนเผ่าที่ไปด้วยกัน การปรากฎว่าเกิดการฟื้นฟูในวิญญาณจิตของพี่น้องที่ประสบเหตุการณ์นี้ทั้งพี่น้องชนเผ่าจากกรุงเทพฯ และพี่น้องชนเ่ผ่าในท้องที่ เขาไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ ผมเองก็ไม่เคยเจอครับ เชื่อพระเจ้ามา 27 ปี ยังไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลย ผมบอกที่ประชุมว่า ผมจะไม่ซ่อนตัวอีกต่อไป (ผู้เผยฯเห็นในนิมิตก่อนหน้านี้ว่าผมซ่อนตัวอยู่) เมื่อผีมารเล่นงานผมแบบนี้ ผมก็จะทำสงครามกับมันในพระนามพระเยซู แล้วที่ประชุมก็อธิษฐานกันใหญ่ ฟื้นฟูอย่างมาก ขอบคุณพระเจ้า ขอฝากชีวิตผมไว้ในคำอธิษฐานของท่านทั้งหลายด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ
A) Word of God : เปรียบเทียบคำสอนดร.โรเบิร์ต กับสิ่งที่คริสตจักรควรเป็น
ผมได้ดูคำสอนของดร.โรเบิร์ตซึ่งอัดไว้เมื่อปี 2008 เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ จึงสรุปมาให้ท่านได้รับทราบด้วย ซึ่งในตอนท้ายผมจะสรุปว่า คริสตจักรเราเป็นหรือไม่เป็นแบบที่ดร.โรเบิร์ตได้สอนไว้
คำสอนนี้สอนโดย ดร.โรเบิร์ต ไฮด์เลอร์ ซึ่งเป็นผู้นำร่วมใน Glory of Zion church ในด้านของประทานอาจารย์ ร่วมกับอัครทูตชัคเพียซ ท่านได้เล่าให้ฟังเกี่ยวกับตำนานของถุงหนัง คริสตจักรแบบอัครทูตและคริสตจักรแบบศิษยาภิบาล
· ท่านเล่าว่าคริสตจักรในคศ. 325 เริ่มเข้าสู่ความตาย (ความตายคืออะไร เดี๋ยวท่านจะแบ่งปันต่อไป) และพอคศ.500 ก็เข้าสู่ยุคมืด หนึ่งพันปี ถึงปีคศ. 1500 พระวิญญาณจึงเริ่มเคลื่อนไหวในโลกนี้
· ท่านสอนว่า เราจะเข้าใจงานที่พระเจ้าทำในโลกนี้ ต้องเข้าใจประวัติศาสตร์ คริสตจักรสมัยแรกเติบโตอย่างรวดเร็วในวันเพนเตคอส
· ใน 1 ปี มีสมาชิกเพิ่มมากขึ้นถึง หนึ่งหมื่นคน ในเยรูซาเล็ม การเจริญเติบโตเกิดขึ้นในทุกที่ที่ตั้งคริสตจักร กจ.19 บุกเบิกคริสตจักรในเอเฟซัส 2 ปี ทั่วทั้งเมืองนั้นได้ยินข่าวประเสริฐ คริสตจักรเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จนมีผลกระทบกับคนที่ทำกิจการรูปไดอานา (ภาษาอังกฤษ) คนมาเชื่อ จนมีผลกระทบ
· คศ. 112 มีเสียงบ่นว่า คริสเตียนเต็มไปหมด วัดวาอารามร้าง
· คริสตจักรในยุคแรกไม่เหมือนคริสตจักรใดในยุคนี้ เพราะคริสตจักรในยุคแรกไม่มีโบสถ์ ไม่มีธรรมมาสถ์ ไม่มีหนังสือเพลง ไม่มีใครผูกเนคไท ไม่มีเอกสารพิมพ์ ฯลฯ
· คริสตจักรในยุคแรก เป็นคริสตจักรที่เต็มด้วยความยินดี พบกันตามบ้าน ตามเฉลียงพระวิหาร เต้นโลดสรรเสริญพระเจ้า พระสิริพระเจ้าอยู่ท่ามกลางเขา การอัศจรรย์อยู่ท่ามกลางเขา คริสตจักรที่เต็มไปด้วยความรัก เช่น เป็นอาหารมื้อแห่งความรัก
· นี่คือคริสตจักรที่คว่ำโลกในยุคนั้น
· เมื่อครบศตวรรษแรก คริสตจักรได้แผ่ไปทั่วโลกที่รู้จักในสมัยนั้น กจ.บทที่ 5 พวกปุโรหิตก็บ่นว่า พวกคริสเตียน
· กจ. 17 บอกว่าคนคว่ำโลก เข้ามาในเมืองนี้แล้ว
· ในที่สุดคริสตจักรมีอิทธิพลชนะเหนือโรมัน แต่ คศ. 325 คริสตจักรเริ่มตกต่ำและคศ. 500 สูญพันธุ์
· จักรพรรดิ์คอนสแตนติน ครองราชญ์ในปีคศ.312 และบอกว่าพระองค์เป็นคริสเตียน และไม่ให้มีการข่มเหงคริสเตียน แต่คอนสแตนติน ควบคุมคริสตจักร และตั้งตัวเป็นมหาปุโรหิตของคริสตจักร ปีคศ. 325 ก็เรียกคริสเตียนประชุม เป็นครั้งแรก เรียกว่า การประชุมสภาไนเซีย การเปลี่ยนแปลงที่คอนสแตนตินได้สร้างขึ้นมา เช่น คริสตจักรตามบ้านผิดกฏหมาย ต้องมาประชุมในโบสถ์ , การนมัสการต้องเปลี่ยนจากความชื่นชมยินดี เฉลิมฉลอง มาเป็น การนมัสการแบบเงียบๆ ศักดิ์สิทธิ์ เต็มไปด้วยพิธีกรรมทางศาสนา คริสเตียนธรรมดาห้ามมีส่วน ในการขับผี วางมือ ฯลฯ มีการสร้างกลุ่มนักบวชขึ้นมา หรือบรรพชิต ขึ้นมา และตัดคริสตจักรออกจากการเชื่อมโยงกับยิว ไปสู่การเชื่อมโยงกับพวกเพแกน(พวกที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า) พระวิญญาณก็ออกจากคริสตจักรไป 1000 ปี ในศต.14 พระเจ้าเริ่มเคลื่อนไหวในคริสตจักร ศต.16 เริ่มปฏิรูปคริสตจักร 17 ปฏิรูป 18 กลับคืนสู่สภาพที่ดี 19 ฤทธิ์เดชกลับสู่คริสตจักร
· ยุคนี้เป็นยุคที่น่าตื่นเต้นที่สุดในประวัติศาสตร์ พระเจ้ากำลังเตรียมคริสตจักรของพระองค์กลับไปสู่สภาพเดิม เป็นถุงหนังใหม่
· พระเจ้าอยากเทน้ำองุ่นใหม่ แต่พระเจ้าต้องการถุงหนังใหม่ ถุงหนังใหม่มีความเหนียวและยืดหยุ่น สามารถรองรับน้ำองุ่นใหม่ได้ พระเยซูจะไม่เทเหล้าองุ่นใหม่ลงไปในถุงหนังเก่า ซึ่งถุงหนังนั้นคือคริสตจักร
· พระเจ้าจะสร้างถุงหนังอย่างไร ในอฟ.4 พระเจ้าให้มีคน 5 ประเภท เป็นองค์ประกอบในถุงหนังใหม่
· ทั้ง 5 ทำงานประสานกัน
· ผู้ประกาศ นำคนมาหาพระเจ้าด้วยหมายสำคัญ ชื่นชมยินดีในคนใหม่ และไปหาคนใหม่
· ศิษยาภิบาล ทำหน้าที่สำหรับคนที่ต้องการคนดูแล ปกป้อง เอาใจใส่ (ปัญหาคือคนเป็นทารกยาวนาน)
· ผู้เผยพระวจนะ ให้นิมิตและทิศทางของผู้เชื่อในอนาคต จากพระเจ้า ให้มีความเชื่อเคลื่อนไปข้างหน้า แต่เขาไม่รู้ว่าจะเคลื่อนไปอย่างไร
· อาจารย์ เข้ามาในบทบาทนี้เพื่อสอนและฝึกอบรม อธิบายความจริงให้เข้าใจ ให้รู้ว่าจะเคลื่อนไปอย่างไร
· อัครทูต เข้ามาจัดระเบียบและส่งคนออกไป อัครทูตเห็นทั้งกระบวนการตั้งแต่เชื่อใหม่และพัฒนามาเรื่อย และส่งเขาออกไปในการรับใช้
· เมื่อเขาสะดุดล้มลง ศิษยาภิบาล ก็เข้าไปอุ้มเขาขึ้นมา หนุนใจว่าคุณจะทำได้ดีในครั้งต่อไป เสริมกำลังเขา
· ผู้เผยพระวจนะ ก็เข้ามาบอกว่าคุณยังมีการทรงเรียก สมาชิกคนนั้นก็เริ่มมีความเชื่อที่จะก้าวไป
· ครูก็เข้ามา อธิบายว่าในอดีตผิดพลาดอย่างไร
· และในที่สุดอัครทูตก็เข้ามา ส่งเขาออกไปลองใหม่
· โดยขบวนการเหล่านี้ คริสเตียนก็โตขึ้น
· ทั้ง 5 ทำงานด้วยกัน ก็จะทำให้ถุงหนังใหม่ครบถ้วน
· มีประสบการณ์ในความไพบูลย์ของพระเยซูคริสต์
· ความบริบูรณ์ของพระเยซูคือเหล้าองุ่นที่เทเข้ามาในคริสตจักร
· คริสตจักรในสหรัฐ มีฆราวาส มาคริสตจักรทุกอาทิตย์ ไม่ได้ถูกฝึกสอนให้รับใช้
· แล้วก็มีศิษยาภิบาลเป็นผู้รับใช้ในคริสตจักร นั่นเป็น คริสตจักรแบบศิษยาภิบาล pastoral model church นี่เป็นคริสตจักรที่เรารู้จักทั่วไป
· คนเข้ามาจะถามว่าใครเป็นศิษยาภิบาล แต่ไม่สามารถฟอร์มเป็นถุงหนังใหม่ได้ คริสตจักรในสหรัฐเป็นถุงหนังเก่า
· สหรัฐเป็นถุงหนังการประกาศที่ใหญ่ที่สุดในโลก 190 ล้านคน มีเพียง จีน อินเดีย และอินโดนีเซีย ที่มีจำนวนมากกว่า
· ถุงหนังเก่าไม่ได้ผลอีกต่อไปในสหรัฐ
· เขากำลังเข้าสู่ยุคอัครทูตยุคที่สอง การปกครองโดยอัครทูตและของประทานทั้งห้า
· เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะเอาคำสอนใส่เข้าไปในโครงสร้างเดิม
· Pastoral church เป็นรูปแบบหนึ่ง แตกต่างจาก Apostolic church
· เอารูปแบบศิษยาภิบาล เข้าไปในรูปแบบอัครทูต มันจะไม่เข้ากัน
· คริสตจักรที่มีรูปแบบแบบศิษยาภิบาล จะแก้ไขปัญหาสมาชิก สมาชิกเป็นฆราวาสเท่านั้น
· คริสตจักรที่มีรูปแบบแบบอัครทูต จะนำโดยนิมิต ให้สมาชิกตระหนักถึงการทรงเรียกในชีวิตเขา ถ้าเราไม่ได้ทำตามการทรงเรียก จะไม่มีวันอิ่มใจ ทำให้สมาชิกรู้ว่าเขาคือผู้รับใช้พระเจ้า
นั่นคือทั้งหมดที่ผมสรุปโดยย่อๆที่ท่านได้สอนครับ ที่นี่ผมก็เอารูปแบบที่เราเป็นในคริสตจักรของเรามาเปรียบเทียบดู แล้วก็ได้ข้อสรุปว่า เราเป็นคริสตจักรแบบอัครทูต คริสตจักรของเราถูกสร้างในรูปแบบอัครทูตมานานแล้ว
1. คริสตจักรที่ทุกคนมีส่วนร่วม ทุกคนเป็นผู้รับใช้
2. คริสตจักรที่มีนิมิต นิมิตเป็นตัวขับเคลื่อนคริสตจักร
3. คริสตจักรที่ทุกคนรับใช้ตามของประทาน
4. คริสตจักรแห่งการประกาศและพันธกิจ
5. คริสตจักรแห่งการสามัคคีธรรม แบบคริสตจักรสมัยแรก
6. คริสตจักรแห่งการสร้างผู้นำ
7. คริสตจักรแห่งการอธิษฐานและนมัสการ
8. คริสตจักรแห่งพระวิญญาณ เปิดโอกาสให้พระวิญญาณเคลื่อนไหวในคริสตจักรได้
9. คริสตจักรแห่งการสอนพระวจนะ
9 ข้อนี้ มีอยู่ในคำสอนของคริสตจักรของเราอยู่แล้ว และเราก็เป็นดังนั้น เราจะต้องรักษาไว้ และทำให้บริบูรณ์ขึ้น ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย แต่สำหรับข้อที่ 10 เป็นต้นไป นั่นเป็นสิ่งใหม่ ที่กำลังเกิดขึ้นในคริสตจักรของเรา
10. คริสตจักรที่เชื่อมต่อกับอิสราเอล ไม่ตัดขาดแบบสมัยแรกที่คอนสแตนตินได้ทำให้คริสตจักรถูกตัดขาดออกจากอิสราเอล ซึ่งสิ่งนี้ เชื่อว่าเรากำลังรื้อฟื้นอยู่ เราเห็นความสำคัญของแผ่นดินอิสราเอลที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ เราอธิษฐานเผื่อ เราเริ่มจับมือร่วมโครงการต่างๆกับอิสราเอล ฯลฯ
11. คริสตจักรที่รับใช้ด้วยของประทานทั้ง 5 ผู้ประกาศ ศิษยาภิบาล ผู้เผยพระวจนะ อาจารย์ อัครทูต สิ่งนี้เรายังไม่ได้เป็น แต่เรามีแนวคิดแบบนี้และเรากำลังมุ่งไปสู่จุดนั้น
12. คริสตจักรที่ร่วมรับใช้ด้วยกันในพระวรกาย แม้ว่าจะมาจากต่างคริสตจักร นั่นคือสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ ทั้งในประเทศไทยไทยและในโลก
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับคำสอนนี้ หวังใจว่าท่านที่ได้อ่านบล็อกนี้จะทราบแล้วว่า คริสตจักรของเราเป็นอย่างไร และเรากำลังก้าวไปสู่ทิศไหน พบกันใหม่ครั้งหน้าครับ ชาโลม!
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)