ครับ อย่างที่บอกไว้ละครับว่าช่วงนี้ไม่มีเวลาเขียนบทความ จึงเอาสิ่งต่างๆที่ได้ค้นพบในโลกมาให้ชมกัน สิ่งต่างๆเหล่านี้นั้น หลายๆเรื่องก็ยังเป็นสิ่งที่สร้างความแปลกประหลาดใจให้กับคนที่พบเห็น เหมือนเรื่องคนยักษ์ที่ได้นำมาให้ชมเมื่อคราวที่แล้ว ส่วนครั้งนี้ก็เป็นเรื่องผ้าที่คนเชื่อกันว่าเป็นผ้าหอพระศพของพระเยซูคริสต์ เรื่องราวจะเป็นมาอย่างไร ลองใช้วิจารณญาณลองดูกันนะครับ เริ่มจากวีดีทัศน์ก่อน แล้วต่อด้วยเว็บที่นำเรื่องราวของผ้านี้มาแบ่งปันให้ทราบ
ต้องตามไปดูในyoutubeครับ http://www.youtube.com/watch?v=gufirqZQByU&feature=related
ส่วนอันนี้นำมาลงได้ครับ
และสุดท้ายก็คือเรื่องราว ผ้าหอพระศพแห่งตูริน ตามไปอ่านข้อมูลกันได้ครับ
แล้วพบกันใหม่ เสาร์หน้าครับ Have a Merry Christmas นะครับ
(เพิ่มเติมวันที่ 23 เมษายน 2011)
ข้างล่างเป็นบทความจากเว็บ http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1712776
"ผ้าห่อศพแห่งตูริน" (Shroud of Turin)
ผ้าห่อศพแห่งตูรินเป็นแถบผ้าลินินซึ่งเป็นสมบัติอันล้ำค่าและมีความเกี่ยวข้องผูกพันกับหลายแผ่นดิน ทั้งพระเจ้าแผ่นดิน ขุนนาง นักรบ และผู้นำทางศาสนาคริสต์ รวมไปถึงพวกนักหลอกลวงหากินด้วย
ในปัจจุบันการสืบสวนหาความจริงของเรื่องที่มาของผ้าห่อศพแห่งตูรินได้กระทำกันโดยผู้วชาญหลายฝ่าย ได้แก่ นักประวัติศาสตร์ นักภาษาศาสตร์ นักพยาธิวิทยา นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ผู้วชาญทางด้านการถักทอ นักเคมี นักฟิสิกส์และผู้วชาญด้านการถ่ายภาพ
ร่องรอยที่สำคัญคือรูปร่างอันเด่นชัดที่ปรากฏอยู่บนผ้าห่อศพผืนนั้นที่เป็นภาพเสมือนภาพถ่ายหรือเงา ซึ่งมีรูปร่างคล้ายปิศาจขนาดเท่าคนจริง เป็นเรือนร่างของผู้ชายไม่ได้ใส่เสื้อผ้า มีหนวดเครายาว ผมยาว มีรูปใบหน้าดูเงียบสงบแม้จะเป็นขณะอยู่ในห้วงของความตายก็ตาม ดูเสมือนว่าความสง่างาม แฝงด้วยความเงียบสงบภายใต้ความน่ากลัว ประกอบกันขึ้นโดยผลงานอันพึงมีจากศิลปินยอดเยี่ยมของโลกเลยทีเดียว
รูปร่างแม้จะถูกต้องตามหลักกายภาพทุกส่วน แต่ก็ยังปรากฏให้เห็นถึงร่องรอยของการถูกทรมานอย่างทารุณด้วยการเฆี่ยนตี การถูก ตรึงไว้บนไม้กางเขน การถูกแทงด้วยหอกหรือของแหลมคม ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับเรื่องราวในตำนานคริสต์ (Gospel) แล้ว ก็ตรงกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับองค์ "พระเยซูเจ้าแห่งนาซาเรท" (Jessus of Nazareth)
และปัจจุบันก็มีผู้ที่เชื่อว่าผ้าห่อศพสีงาช้างนี้ เป็นผ้าผืนเดียวกับ ที่ โยเซฟแห่งอริมาเธีย (Joseph of Arimathaea) ใช้รองข้างใต้ และคลุมพระวรกายของพระเยซู ในหลุมฝังศพใกล้กับเมืองกอลกอตทา (Golgotha) เมื่อประมาณเกือบ 2,000 ปีมาแล้ว
รอยโลหิตที่ปรากฏมีสีเข้มกว่าส่วนอื่นที่เป็นรอยร่างกาย และมองเห็นได้อย่างเห็นชัด รอยโลหิตที่ไหลลงมาเป็นทางจากส่วนศีรษะ และส่วนของแขนทั้งสอง รอยเปื้นเป็นรอยใหญ่ที่ด้านข้างของร่างกาย ข้อมือและเท้ามีรอยที่เข้าใจว่าเกิดการตอกตะปู บาดแผลนับสิบๆ แผลตามร่างกายอันเกิดจากการเฆี่ยนตี ที่ปลายของรอยแผลแบบนี้จะเป็นรอยชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากแส้ที่ใช้เฆี่ยนตีของชาวโรมัน เรียกว่า "ฟลากรัม" (flagrum)
ตรงปลายสายแส้ซึ่งทำด้วยเชือกหรือเส้นหนัง จะมีปุ่มหรือก้อนตะกั่วหรือกระดูกผูกติดไว้ด้วย มองเห็นได้ชัดเจนว่าเจ้า ของรูปร่างที่ปรากฏอยู่บนผืนผ้านี้ได้ผ่านการทารุณที่โหดมอย่างไร้มนุษยธรรม
ในปี ค.ศ.1898 เซคอนโด เปีย (Secondo Pia) ได้ทำการถ่ายภาพผ้าห่อศพผืนนี้ แล้วตรวจสอบภาพเนกาทีฟที่ปรากฏออกมา เขารู้สึกตกใจมากเพราะมันไม่ไช่ภาพเนกาทีฟ แต่มันกลับเป็นภาพโพสิทีฟที่ชัดเจน ส่วนแสงและเงาที่ปรากฏบนผ้านั้นปรากฏออกมาอย่างเด่นชัด และดูเป็นภาพที่เหมือนจริงอย่างยิ่ง และยังแสดงถึงรายละเอียดต่างๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอีกด้วย นั่นก็แสดงว่าภาพจริงๆ บนผ้าห่อศพเป็นภาพเนกาทีฟอยู่ก่อนแล้วนั่นเอง.....
จะเป็นไปได้อย่างไรเพราะในสมัยนั้นยังไม่ได้คิดค้นการถ่ายรูป ดังนั้น ยูลีส เชวาเลีย (Ulysse Chevalier) บุรุษผู้มีความรู้ผู้หนึ่งของฝรั่งเศสจึงบอกว่าผ้าห่อศพผืนนี้เป็นของปลอมแน่นอน
จากนั้นได้มีการศึกษาผ้าห่อศพนี้อีก โดยมีคนพยายามที่จะวาดภาพแบบเนกาทีฟลงบนผืนผ้าโดยใช้สีต่างๆ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จากนั้นจึงได้มีการทดลองใช้ "เมอร์" (Myrrh เป็นยางหอมที่ได้จากต้นไม้ชนิดหนึ่งใช้ทำน้ำหอมและธูปบูชา ) ทดลองใช้ "อโลส์" (Aloes เครื่องเทศชนิดหนึ่ง ใช้ผสมกับน้ำมันหอมใช้มากในพิธีศพ )
ต่อมาได้มีการศึกษาด้านสรีรวิทยา โดยทดลองกับศพจริงๆ หลายศพ พบว่าตะปูที่ตอกอุ้งมือนั้นไม่สามารถยึดร่างคนไว้บนไม้กางเขนได้ เพราะเนื้อ เอ็น กระดูกบริเวณอุ้งมือจะฉีกขาด ทานน้ำหนักตัวไม่อยู่ การตอกตะปูจึงต้องตอกที่ข้อมือ หรือส่วนแขนตั้งแต่ข้อมือไป จนถึงข้อศอกเท่านั้น.........
จากความจริงนี้ทำให้เชื่อได้ว่าผ้าห่อศพนี้เป็นของจริง เพราะรอยที่เกิดบนผ้านั้นปรากฏอย่างชัดเจนว่า การตอก ตะปูยึดกระทำที่แขน ไม่ใช่อุ้งมือเหมือนภาพวาดศิลปะที่นิยมวาดกันทั่วไป
ในปี ค.ศ.1973 ได้มีการค้นพบสิ่งน่าประหลาดอย่างหนึ่ง คือภาพที่ปรากฎอยู่บนผ้านั้นเป็นภาพที่อยู่ส่วนบนของผิวของเส้นด้าย ไม่ได้แทรกซึมลงไปในเนื้อเส้นด้ายเลย และส่วนที่ทำให้เกิดภาพก็ไม่ใช่องค์ประกอบของสีด้วย นอกจากนี้ได้มีการนำตัวอย่างเศษผ้าชิ้นเล็กๆ ไปตรวจสอบ พบว่า เนื้อผ้าเป็นผ้าลินินและใช้กันทั่วไปในปาเลสไตน์สมัยโบราณ เส้นใยทำจากฝ้าย ซึ่งมาจากตะวันออกกลาง ถักทอแบบ "Doubled Thread" ลายก้างปลา เป็นแบบฉบับการทอที่โบราณที่สุด เส้นด้ายนั้นปั่นด้วยมือเป็นวิธีโบราณเช่นกัน
ในปี ค.ศ. 1978 ได้มีการจัดตั้งโครงการเพื่อทดสอบผ้าห่อศพทางด้านวิทยาศาสตร์ขึ้น นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการฉายแสง UV และ เอกซเรย์ มีการถ่ายรูปอย่างละเอียดทุกๆ ตารางมิลลิเมตร ประมาณ 5,000 รูป โดยใช้คลื่นแสงที่มีความถี่ต่างๆ กัน นอกจากนี้ยังมีการใช้เทปเหนียวและเครื่องดูด เพื่อดักจับเอาบางส่วนของเส้นใยเล็กๆ ฝุ่นผง ละอองเกสร และอณูอื่นๆ ไปวิเคราะห์ การดำเนินการตรวจสอบเป็น ไปอย่างช้าๆ โดยอาศัยเวลาว่างเท่านั้น.......เวลาล่วงเลยไปถึงปีครึ่ง
ผลการวิเคราะห์จากโครงการนี้พบว่า สีเหลืองอ่อนที่เป็นภาพ จะปรากฏอยู่บนสุดของเส้นด้าย สีนั้นไม่ได้กระจายหรือซึมลงไปในเนื้อ เส้นด้าย ไม่ได้ไหลลงไปข้างๆ และก็ไม่ได้มีสีปรากฏระหว่างช่องว่างของเส้นด้าย แสดงว่าสีนั้นจับอยู่บนเส้นด้าย ไม่ใช่ด้วยวิธีวาดหรือถูสีไปบนผ้า
สำหรับรอยเปื้อนเลือดที่ปรากฏอยู่บนผ้านั้น เมื่อตรวจสอบจากภาพถ่ายของ เซคอนโด เปีย ( Secondo Pia ) แล้ว พบว่าส่วนที่เป็นเลือดจะปรากฏเป็นโพสิทีฟ ซึ่งต่างกับภาพบนผ้าที่ปรากฏเป็นเนกาทีฟ และเมื่อลองเลาะรอยเย็บข้างหลังผ้าออก ก็พบรอยเลือดที่ไหลผ่านทะลุผ้าลงมา ตรงข้ามกับภาพที่จะเห็นเฉพาะเพียงด้านหน้าของภาพเท่านั้น ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่า รอยเปื้อนเลือดกับรอยที่เกิดเป็นภาพนั้น
เกิดขึ้นด้วยวิธีที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งผลการตรวจสอบก็ปรากฏออกมาว่า รอยเลือดนั้นเกิดจากเลือดจริงๆ โดยผลจากการเอกซเรย์ แสดงให้เห็นเปอร์เซนต์ของธาตุเหล็กในเลือดมนุษย์อย่างถูกต้อง และได้มีนักวิทยาศาสตร์พบร่องรอยผลึกเล็กๆ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นผลึกของ เฮโมโกลบิน
แม้ว่าการวิจัยต่างๆ ทั้งหมด จะเห็นพ้องต้องกันว่าผ้าห่อศพนี้เป็นของเก่าแก่โบราณแน่ แต่ก็ยังไม่อาจสรุปผลได้ว่าภาพปริศนาบนผ้าผืนนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ผ้าห่อศพแห่งตูรินยังคงเป็นสิ่งปริศนาอยู่เหนือข้อพิสูจน์ใดๆ ตราบจนวันนี้
Gilbert R. Lavoie เขียนหนังสือชื่อ "Resurrected" ได้สรุปว่า..
Austin H. Bud Mark ได้ศึกษาผ้าตราสังและสรุปว่า..
1. บนผ้าปรากฏภาพลักษณะสามมิติของชายที่ถูกตรึงกางเขน
ต้องตามไปดูในyoutubeครับ http://www.youtube.com/watch?v=gufirqZQByU&feature=related
ส่วนอันนี้นำมาลงได้ครับ
และสุดท้ายก็คือเรื่องราว ผ้าหอพระศพแห่งตูริน ตามไปอ่านข้อมูลกันได้ครับ
แล้วพบกันใหม่ เสาร์หน้าครับ Have a Merry Christmas นะครับ
(เพิ่มเติมวันที่ 23 เมษายน 2011)
ข้างล่างเป็นบทความจากเว็บ http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1712776
"ผ้าห่อศพแห่งตูริน" (Shroud of Turin)
ผ้าห่อศพแห่งตูรินเป็นแถบผ้าลินินซึ่งเป็นสมบัติอันล้ำค่าและมีความเกี่ยวข้องผูกพันกับหลายแผ่นดิน ทั้งพระเจ้าแผ่นดิน ขุนนาง นักรบ และผู้นำทางศาสนาคริสต์ รวมไปถึงพวกนักหลอกลวงหากินด้วย
ในปัจจุบันการสืบสวนหาความจริงของเรื่องที่มาของผ้าห่อศพแห่งตูรินได้กระทำกันโดยผู้วชาญหลายฝ่าย ได้แก่ นักประวัติศาสตร์ นักภาษาศาสตร์ นักพยาธิวิทยา นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ผู้วชาญทางด้านการถักทอ นักเคมี นักฟิสิกส์และผู้วชาญด้านการถ่ายภาพ
ร่องรอยที่สำคัญคือรูปร่างอันเด่นชัดที่ปรากฏอยู่บนผ้าห่อศพผืนนั้นที่เป็นภาพเสมือนภาพถ่ายหรือเงา ซึ่งมีรูปร่างคล้ายปิศาจขนาดเท่าคนจริง เป็นเรือนร่างของผู้ชายไม่ได้ใส่เสื้อผ้า มีหนวดเครายาว ผมยาว มีรูปใบหน้าดูเงียบสงบแม้จะเป็นขณะอยู่ในห้วงของความตายก็ตาม ดูเสมือนว่าความสง่างาม แฝงด้วยความเงียบสงบภายใต้ความน่ากลัว ประกอบกันขึ้นโดยผลงานอันพึงมีจากศิลปินยอดเยี่ยมของโลกเลยทีเดียว
รูปร่างแม้จะถูกต้องตามหลักกายภาพทุกส่วน แต่ก็ยังปรากฏให้เห็นถึงร่องรอยของการถูกทรมานอย่างทารุณด้วยการเฆี่ยนตี การถูก ตรึงไว้บนไม้กางเขน การถูกแทงด้วยหอกหรือของแหลมคม ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับเรื่องราวในตำนานคริสต์ (Gospel) แล้ว ก็ตรงกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับองค์ "พระเยซูเจ้าแห่งนาซาเรท" (Jessus of Nazareth)
และปัจจุบันก็มีผู้ที่เชื่อว่าผ้าห่อศพสีงาช้างนี้ เป็นผ้าผืนเดียวกับ ที่ โยเซฟแห่งอริมาเธีย (Joseph of Arimathaea) ใช้รองข้างใต้ และคลุมพระวรกายของพระเยซู ในหลุมฝังศพใกล้กับเมืองกอลกอตทา (Golgotha) เมื่อประมาณเกือบ 2,000 ปีมาแล้ว
ผ้าห่อศพนี้ค้นพบครั้งแรกราวกลางคริสตศตวรรษที่ 14 ณ เมืองลิเรย์ (Lirey) ประเทศฝรั่งเศส เจ้าของเดิมเป็นอัศวินผู้มีชื่อเสียง ชื่อ จอฟฟรีย์ เดอ ชาร์นี (Geoffrey de Charny) จากนั้นผ้าห่อศพผืนนี้ก็ได้ถูกเปลี่ยนมือและระเหเร่ร่อนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาประดิษฐานที่ตูรินหรือโตริโน (Torino) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเพียดมองต์ (Piedmont) ในประเทศอิตาลี
รอยโลหิตที่ปรากฏมีสีเข้มกว่าส่วนอื่นที่เป็นรอยร่างกาย และมองเห็นได้อย่างเห็นชัด รอยโลหิตที่ไหลลงมาเป็นทางจากส่วนศีรษะ และส่วนของแขนทั้งสอง รอยเปื้นเป็นรอยใหญ่ที่ด้านข้างของร่างกาย ข้อมือและเท้ามีรอยที่เข้าใจว่าเกิดการตอกตะปู บาดแผลนับสิบๆ แผลตามร่างกายอันเกิดจากการเฆี่ยนตี ที่ปลายของรอยแผลแบบนี้จะเป็นรอยชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากแส้ที่ใช้เฆี่ยนตีของชาวโรมัน เรียกว่า "ฟลากรัม" (flagrum)
ตรงปลายสายแส้ซึ่งทำด้วยเชือกหรือเส้นหนัง จะมีปุ่มหรือก้อนตะกั่วหรือกระดูกผูกติดไว้ด้วย มองเห็นได้ชัดเจนว่าเจ้า ของรูปร่างที่ปรากฏอยู่บนผืนผ้านี้ได้ผ่านการทารุณที่โหดมอย่างไร้มนุษยธรรม
ภาพเต็มตัวของผ้าหอศพแห่งตูริน |
จะเป็นไปได้อย่างไรเพราะในสมัยนั้นยังไม่ได้คิดค้นการถ่ายรูป ดังนั้น ยูลีส เชวาเลีย (Ulysse Chevalier) บุรุษผู้มีความรู้ผู้หนึ่งของฝรั่งเศสจึงบอกว่าผ้าห่อศพผืนนี้เป็นของปลอมแน่นอน
จากนั้นได้มีการศึกษาผ้าห่อศพนี้อีก โดยมีคนพยายามที่จะวาดภาพแบบเนกาทีฟลงบนผืนผ้าโดยใช้สีต่างๆ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จากนั้นจึงได้มีการทดลองใช้ "เมอร์" (Myrrh เป็นยางหอมที่ได้จากต้นไม้ชนิดหนึ่งใช้ทำน้ำหอมและธูปบูชา ) ทดลองใช้ "อโลส์" (Aloes เครื่องเทศชนิดหนึ่ง ใช้ผสมกับน้ำมันหอมใช้มากในพิธีศพ )
โดยพบว่าถ้านำเมอร์ผสมกับอโลส์ทาตัวศพซึ่งคาดว่าคนในสมัยโบราณใช้วิธีการนี้ในพิธีทางศาสนา อาจจะมีปฏิกิริยากับผ้าที่ใช้ห่อศพก็ได้ และเหงื่อของคนตายที่ตายเพราะถูกรมานอย่างเจ็บปวด จะมียูเรียขับออกมาเป็นจำนวนมาก สารนี้นานไปก็จะสลายเป็นแอมโมเนีย ระเหยออกมา ไอระเหยนี้เข้าใจว่าจะทำปฏิกิริยากับน้ำมันที่ชุ่มอยู่ในผ้าห่อศพ และทำให้เกิดการเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลได้ อย่างไรก็ตามการค้นพบนี้ก็ไม่เป็นที่ยอมรับเท่าใดนัก
ภาพสแกนจากคอมพิวเตอร์ จะปรากฏให้เห็นเป็นใบหน้าชายลึกลับ |
จากความจริงนี้ทำให้เชื่อได้ว่าผ้าห่อศพนี้เป็นของจริง เพราะรอยที่เกิดบนผ้านั้นปรากฏอย่างชัดเจนว่า การตอก ตะปูยึดกระทำที่แขน ไม่ใช่อุ้งมือเหมือนภาพวาดศิลปะที่นิยมวาดกันทั่วไป
ในปี ค.ศ.1973 ได้มีการค้นพบสิ่งน่าประหลาดอย่างหนึ่ง คือภาพที่ปรากฎอยู่บนผ้านั้นเป็นภาพที่อยู่ส่วนบนของผิวของเส้นด้าย ไม่ได้แทรกซึมลงไปในเนื้อเส้นด้ายเลย และส่วนที่ทำให้เกิดภาพก็ไม่ใช่องค์ประกอบของสีด้วย นอกจากนี้ได้มีการนำตัวอย่างเศษผ้าชิ้นเล็กๆ ไปตรวจสอบ พบว่า เนื้อผ้าเป็นผ้าลินินและใช้กันทั่วไปในปาเลสไตน์สมัยโบราณ เส้นใยทำจากฝ้าย ซึ่งมาจากตะวันออกกลาง ถักทอแบบ "Doubled Thread" ลายก้างปลา เป็นแบบฉบับการทอที่โบราณที่สุด เส้นด้ายนั้นปั่นด้วยมือเป็นวิธีโบราณเช่นกัน
ในปี ค.ศ. 1978 ได้มีการจัดตั้งโครงการเพื่อทดสอบผ้าห่อศพทางด้านวิทยาศาสตร์ขึ้น นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการฉายแสง UV และ เอกซเรย์ มีการถ่ายรูปอย่างละเอียดทุกๆ ตารางมิลลิเมตร ประมาณ 5,000 รูป โดยใช้คลื่นแสงที่มีความถี่ต่างๆ กัน นอกจากนี้ยังมีการใช้เทปเหนียวและเครื่องดูด เพื่อดักจับเอาบางส่วนของเส้นใยเล็กๆ ฝุ่นผง ละอองเกสร และอณูอื่นๆ ไปวิเคราะห์ การดำเนินการตรวจสอบเป็น ไปอย่างช้าๆ โดยอาศัยเวลาว่างเท่านั้น.......เวลาล่วงเลยไปถึงปีครึ่ง
ผลที่ได้ก็มีทั้งที่สร้างความผิดหวังและข้อขัดแย้ง แต่ส่วนใหญ่ของผลงานที่ได้รับก็นำมาซึ่งคำตอบ
ภาพที่สร้างขึ้นจากคอมพิวเตอร์ 3 มิติ |
ดังนั้นพวกนักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อว่าผ้าห่อศพแห่งตูรินไม่ใช่ภาพเขียน เพราะไม่พบเม็ดสี หรือรงค์ของสีแต่อย่างใดนอกจากเหล็ก ออกไซด์ปริมาณน้อยเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามก็มีนักวิทยาศาสตร์ผู้ร่วมทีมบางคนมีความคิดที่แปลกแตกต่างออกไป ดังนั้นจึงไม่สามารถสรุป แน่นอนถึงที่มาของภาพบนผ้าห่อศพได้
สำหรับรอยเปื้อนเลือดที่ปรากฏอยู่บนผ้านั้น เมื่อตรวจสอบจากภาพถ่ายของ เซคอนโด เปีย ( Secondo Pia ) แล้ว พบว่าส่วนที่เป็นเลือดจะปรากฏเป็นโพสิทีฟ ซึ่งต่างกับภาพบนผ้าที่ปรากฏเป็นเนกาทีฟ และเมื่อลองเลาะรอยเย็บข้างหลังผ้าออก ก็พบรอยเลือดที่ไหลผ่านทะลุผ้าลงมา ตรงข้ามกับภาพที่จะเห็นเฉพาะเพียงด้านหน้าของภาพเท่านั้น ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่า รอยเปื้อนเลือดกับรอยที่เกิดเป็นภาพนั้น
เกิดขึ้นด้วยวิธีที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งผลการตรวจสอบก็ปรากฏออกมาว่า รอยเลือดนั้นเกิดจากเลือดจริงๆ โดยผลจากการเอกซเรย์ แสดงให้เห็นเปอร์เซนต์ของธาตุเหล็กในเลือดมนุษย์อย่างถูกต้อง และได้มีนักวิทยาศาสตร์พบร่องรอยผลึกเล็กๆ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นผลึกของ เฮโมโกลบิน
แม้ว่าการวิจัยต่างๆ ทั้งหมด จะเห็นพ้องต้องกันว่าผ้าห่อศพนี้เป็นของเก่าแก่โบราณแน่ แต่ก็ยังไม่อาจสรุปผลได้ว่าภาพปริศนาบนผ้าผืนนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ผ้าห่อศพแห่งตูรินยังคงเป็นสิ่งปริศนาอยู่เหนือข้อพิสูจน์ใดๆ ตราบจนวันนี้
ความจริงบางประการของ “ผ้าตราสัง หรือผ้าห่อศพ แห่งตูริน”
1. ภาพบนผ้าเห็นได้เพียงด้านเดียวคือ ด้านหน้า ด้านหลังไม่มีภาพปรากฏ แต่จะมีเพียงรอยเลือดเท่านั้น เพราะเลือดชุ่มโชกผ่านผ้า
2. ขณะที่ภาพเป็นเนกาตีฟ แต่รอยเลือดกลับเป็นโพสิตีฟ ดังนั้น ผ้าจึงมีภาพทั้งที่เป็นเนกาตีฟและโพสิตีฟพร้อมกัน
เมื่อส่องด้วยกล้องไมโครกราฟที่ขยายภาพได้หลายเท่าจะเห็นว่า.. เส้นใยมีความหนา 15 ไมครอน ซึ่งเล็กกว่าเส้นผมของคน เส้นใยมีโครงสร้างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมคือกลายเป็นสีเหลือง เส้นใยสีเหลืองนี้เองที่ทำให้เกิดภาพพระเยซูเจ้าขึ้น และยังแสดงให้เห็นสิ่งประหลาดอีกอย่างคือ เส้นใยที่อยู่ถัดไปภายในเส้นด้ายเดียวกันจะไม่เป็นสีเหลือง ด้ายเส้นหนึ่งจะมีเส้นใยประมาณ 20 เส้น สีเหลืองจะสลับกันไปภายในเส้นด้ายคือ สีเหลือง, ไม่ใช่สีเหลือง, สีเหลือง, ไม่ใช่สีเหลือง.. และสุดท้าย สีเหลือง จะพบอยู่ด้านในของผ้าเท่านั้น และมีความลึกเพียงเส้นใยเดียวเท่านั้น
Gilbert R. Lavoie เขียนหนังสือชื่อ "Resurrected" ได้สรุปว่า..
1. จาก เกสรและภาพจางๆ ของดอกไม้บนผ้า แสดงว่า.. ผ้ามีแหล่งกำเนิดจากเยรูซาเลมในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี
2. ภาพถ่ายมีลักษณะที่เป็นสามมิติ หรือคล้ายภาพที่ถ่ายด้วย x-ray
3. เมื่อขยายภาพใหญ่ขึ้นแสดงให้เห็นว่า.. ไม่มีผงสีบนผ้า และสีเหลืองที่เป็นภาพนั้นอยู่เฉพาะส่วนเส้นใยตอนบนของเส้นด้ายเท่านั้น วิทยาการสมัยใหม่ยังไม่สามารถทำให้เกิดภาพที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้.
4. ภาพนี้มีลักษณะคล้ายกับภาพจากการพิมพ์หนังสือพิมพ์ "ถ้าต้องการให้ภาพมีสีเข้มขึ้น ก็ต้องเพิ่มจุดสีเข้าไปเพิ่มขึ้น"
5. รอยที่คล้ายเลือดนั้นได้ถูกทดสอบทางเคมีแล้วว่า.. เป็นเลือดและน้ำเหลืองของมนุษย์
2. ภาพถ่ายมีลักษณะที่เป็นสามมิติ หรือคล้ายภาพที่ถ่ายด้วย x-ray
3. เมื่อขยายภาพใหญ่ขึ้นแสดงให้เห็นว่า.. ไม่มีผงสีบนผ้า และสีเหลืองที่เป็นภาพนั้นอยู่เฉพาะส่วนเส้นใยตอนบนของเส้นด้ายเท่านั้น วิทยาการสมัยใหม่ยังไม่สามารถทำให้เกิดภาพที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้.
4. ภาพนี้มีลักษณะคล้ายกับภาพจากการพิมพ์หนังสือพิมพ์ "ถ้าต้องการให้ภาพมีสีเข้มขึ้น ก็ต้องเพิ่มจุดสีเข้าไปเพิ่มขึ้น"
5. รอยที่คล้ายเลือดนั้นได้ถูกทดสอบทางเคมีแล้วว่า.. เป็นเลือดและน้ำเหลืองของมนุษย์
ข้อมูลใหม่ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า.. การหาอายุด้วยคาร์บอน 14 มีความผิดพลาด ผ้าตราสังเป็นผ้าห่อพระศพในประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง
Austin H. Bud Mark ได้ศึกษาผ้าตราสังและสรุปว่า..
1. บนผ้าปรากฏภาพลักษณะสามมิติของชายที่ถูกตรึงกางเขน
2. รอยเลือดเกิดขึ้นด้วยวิธีการสัมผัสของผ้ากับเลือดที่อยู่บนร่างกาย
3. ภาพไม่ได้เกิดขึ้นด้วยวิธีการสัมผัสของผ้ากับร่างกาย เพราะถ้าหากภาพเกิดขึ้นด้วยการสัมผ้สขณะที่ผ้าห่อพระศพอยู่แล้ว ภาพโดยเฉพาะที่ใบหน้าจะขยายออกใหญ่กว่าที่เป็นจริง แต่ภาพนั้นมีลักษณะเหมือนจริงทั้งใบหน้าและร่างกาย เหมือนกับภาพสะท้อนของกระจก.
4. รอยเลือดปรากฏบนผ้าขณะที่ผ้าถูกห่อพระศพอยู่ เป็นการสัมผัสของพระศพกับผ้า
5. ขณะที่ภาพพระเยซูปรากฏบนผ้านั้น ดูเหมือนผ้าจะอยู่ในลักษณะราบเรียบ และดูเหมือนว่าผ้าอยู่แยกจากร่างกายในขณะที่ภาพปรากฏขึ้น
6. ขณะที่ภาพปรากฏขึ้นบนผ้า ร่างกายอยู่ในลักษณะตั้งฉากกับพื้นดิน เพราะผมตกลงบนบ่า และใบหน้ามีลักษณะเหมือนคนที่ยืนอยู่ อย่างไรก็ตาม ร่างกายก็ไม่ได้ยืนบนพื้นดิน เพราะลักษณะของเท้าไม่อยู่ในลักษณะของการเหยียบอยู่บนพื้น
7. ขณะที่เกิดภาพบนผ้า ดูเหมือนว่า.. ร่างกายถูกยกขึ้นจากพื้นดินในลักษณะตั้งตรงและลอยอยู่กลางอากาศ...
ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันคะ ^ ^
ตอบลบ