วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

B) Revival : Worldwide evangelistic crusade

ประกาศโดยอ.ไรฮาร์ท บองเกที่ประเทศไนจีเรีย




ที่ประเทศอินเดีย




คนตาบอดรับการรักษาจากพระเจ้า





คนตายฟื้น







Eph 3:20 ขอ​ให้​พระ​เกียรติ​จง​มี​แด่​พระ​องค์​ผู้​ทรง​ฤทธิ์ กระทำ​สารพัด​มาก​ยิ่ง​กว่า​ที่​เรา​จะ​ทูล​ขอ​หรือ​คิด​ได้ ตาม​ฤทธิ์​เดช​ที่​ประกอบ​กิจ​อยู่​ภาย​ใน​ตัว​เรา​

อาเมน...

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

C) Experience : ผ้าหอพระศพแห่งตูริน

ครับ อย่างที่บอกไว้ละครับว่าช่วงนี้ไม่มีเวลาเขียนบทความ จึงเอาสิ่งต่างๆที่ได้ค้นพบในโลกมาให้ชมกัน สิ่งต่างๆเหล่านี้นั้น หลายๆเรื่องก็ยังเป็นสิ่งที่สร้างความแปลกประหลาดใจให้กับคนที่พบเห็น เหมือนเรื่องคนยักษ์ที่ได้นำมาให้ชมเมื่อคราวที่แล้ว  ส่วนครั้งนี้ก็เป็นเรื่องผ้าที่คนเชื่อกันว่าเป็นผ้าหอพระศพของพระเยซูคริสต์ เรื่องราวจะเป็นมาอย่างไร ลองใช้วิจารณญาณลองดูกันนะครับ เริ่มจากวีดีทัศน์ก่อน แล้วต่อด้วยเว็บที่นำเรื่องราวของผ้านี้มาแบ่งปันให้ทราบ

ต้องตามไปดูในyoutubeครับ http://www.youtube.com/watch?v=gufirqZQByU&feature=related

ส่วนอันนี้นำมาลงได้ครับ




และสุดท้ายก็คือเรื่องราว ผ้าหอพระศพแห่งตูริน  ตามไปอ่านข้อมูลกันได้ครับ

แล้วพบกันใหม่ เสาร์หน้าครับ Have a Merry Christmas นะครับ

(เพิ่มเติมวันที่ 23 เมษายน 2011)



ข้างล่างเป็นบทความจากเว็บ http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1712776




"ผ้าห่อศพแห่งตูริน" (Shroud of Turin)

ผ้าห่อศพแห่งตูรินเป็นแถบผ้าลินินซึ่งเป็นสมบัติอันล้ำค่าและมีความเกี่ยวข้องผูกพันกับหลายแผ่นดิน ทั้งพระเจ้าแผ่นดิน ขุนนาง นักรบ และผู้นำทางศาสนาคริสต์ รวมไปถึงพวกนักหลอกลวงหากินด้วย

ในปัจจุบันการสืบสวนหาความจริงของเรื่องที่มาของผ้าห่อศพแห่งตูรินได้กระทำกันโดยผู้วชาญหลายฝ่าย ได้แก่ นักประวัติศาสตร์ นักภาษาศาสตร์ นักพยาธิวิทยา นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ผู้วชาญทางด้านการถักทอ นักเคมี นักฟิสิกส์และผู้วชาญด้านการถ่ายภาพ

ร่องรอยที่สำคัญคือรูปร่างอันเด่นชัดที่ปรากฏอยู่บนผ้าห่อศพผืนนั้นที่เป็นภาพเสมือนภาพถ่ายหรือเงา ซึ่งมีรูปร่างคล้ายปิศาจขนาดเท่าคนจริง เป็นเรือนร่างของผู้ชายไม่ได้ใส่เสื้อผ้า มีหนวดเครายาว ผมยาว มีรูปใบหน้าดูเงียบสงบแม้จะเป็นขณะอยู่ในห้วงของความตายก็ตาม ดูเสมือนว่าความสง่างาม แฝงด้วยความเงียบสงบภายใต้ความน่ากลัว ประกอบกันขึ้นโดยผลงานอันพึงมีจากศิลปินยอดเยี่ยมของโลกเลยทีเดียว

รูปร่างแม้จะถูกต้องตามหลักกายภาพทุกส่วน แต่ก็ยังปรากฏให้เห็นถึงร่องรอยของการถูกทรมานอย่างทารุณด้วยการเฆี่ยนตี การถูก ตรึงไว้บนไม้กางเขน การถูกแทงด้วยหอกหรือของแหลมคม ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับเรื่องราวในตำนานคริสต์ (Gospel) แล้ว ก็ตรงกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับองค์ "พระเยซูเจ้าแห่งนาซาเรท" (Jessus of Nazareth)

และปัจจุบันก็มีผู้ที่เชื่อว่าผ้าห่อศพสีงาช้างนี้ เป็นผ้าผืนเดียวกับ ที่ โยเซฟแห่งอริมาเธีย (Joseph of Arimathaea) ใช้รองข้างใต้ และคลุมพระวรกายของพระเยซู ในหลุมฝังศพใกล้กับเมืองกอลกอตทา (Golgotha) เมื่อประมาณเกือบ 2,000 ปีมาแล้ว 
ผ้าห่อศพนี้ค้นพบครั้งแรกราวกลางคริสตศตวรรษที่ 14 ณ เมืองลิเรย์ (Lirey) ประเทศฝรั่งเศส เจ้าของเดิมเป็นอัศวินผู้มีชื่อเสียง ชื่อ จอฟฟรีย์ เดอ ชาร์นี (Geoffrey de Charny) จากนั้นผ้าห่อศพผืนนี้ก็ได้ถูกเปลี่ยนมือและระเหเร่ร่อนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาประดิษฐานที่ตูรินหรือโตริโน (Torino) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเพียดมองต์ (Piedmont) ในประเทศอิตาลี 


รอยโลหิตที่ปรากฏมีสีเข้มกว่าส่วนอื่นที่เป็นรอยร่างกาย และมองเห็นได้อย่างเห็นชัด รอยโลหิตที่ไหลลงมาเป็นทางจากส่วนศีรษะ และส่วนของแขนทั้งสอง รอยเปื้นเป็นรอยใหญ่ที่ด้านข้างของร่างกาย ข้อมือและเท้ามีรอยที่เข้าใจว่าเกิดการตอกตะปู บาดแผลนับสิบๆ แผลตามร่างกายอันเกิดจากการเฆี่ยนตี ที่ปลายของรอยแผลแบบนี้จะเป็นรอยชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากแส้ที่ใช้เฆี่ยนตีของชาวโรมัน เรียกว่า "ฟลากรัม" (flagrum)

ตรงปลายสายแส้ซึ่งทำด้วยเชือกหรือเส้นหนัง จะมีปุ่มหรือก้อนตะกั่วหรือกระดูกผูกติดไว้ด้วย มองเห็นได้ชัดเจนว่าเจ้า ของรูปร่างที่ปรากฏอยู่บนผืนผ้านี้ได้ผ่านการทารุณที่โหดมอย่างไร้มนุษยธรรม 

ภาพเต็มตัวของผ้าหอศพแห่งตูริน
ในปี ค.ศ.1898 เซคอนโด เปีย (Secondo Pia) ได้ทำการถ่ายภาพผ้าห่อศพผืนนี้ แล้วตรวจสอบภาพเนกาทีฟที่ปรากฏออกมา เขารู้สึกตกใจมากเพราะมันไม่ไช่ภาพเนกาทีฟ แต่มันกลับเป็นภาพโพสิทีฟที่ชัดเจน ส่วนแสงและเงาที่ปรากฏบนผ้านั้นปรากฏออกมาอย่างเด่นชัด และดูเป็นภาพที่เหมือนจริงอย่างยิ่ง และยังแสดงถึงรายละเอียดต่างๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอีกด้วย นั่นก็แสดงว่าภาพจริงๆ บนผ้าห่อศพเป็นภาพเนกาทีฟอยู่ก่อนแล้วนั่นเอง.....

จะเป็นไปได้อย่างไรเพราะในสมัยนั้นยังไม่ได้คิดค้นการถ่ายรูป ดังนั้น ยูลีส เชวาเลีย (Ulysse Chevalier) บุรุษผู้มีความรู้ผู้หนึ่งของฝรั่งเศสจึงบอกว่าผ้าห่อศพผืนนี้เป็นของปลอมแน่นอน

จากนั้นได้มีการศึกษาผ้าห่อศพนี้อีก โดยมีคนพยายามที่จะวาดภาพแบบเนกาทีฟลงบนผืนผ้าโดยใช้สีต่างๆ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จากนั้นจึงได้มีการทดลองใช้ "เมอร์" (Myrrh เป็นยางหอมที่ได้จากต้นไม้ชนิดหนึ่งใช้ทำน้ำหอมและธูปบูชา ) ทดลองใช้ "อโลส์" (Aloes เครื่องเทศชนิดหนึ่ง ใช้ผสมกับน้ำมันหอมใช้มากในพิธีศพ ) 
โดยพบว่าถ้านำเมอร์ผสมกับอโลส์ทาตัวศพซึ่งคาดว่าคนในสมัยโบราณใช้วิธีการนี้ในพิธีทางศาสนา อาจจะมีปฏิกิริยากับผ้าที่ใช้ห่อศพก็ได้ และเหงื่อของคนตายที่ตายเพราะถูกรมานอย่างเจ็บปวด จะมียูเรียขับออกมาเป็นจำนวนมาก สารนี้นานไปก็จะสลายเป็นแอมโมเนีย ระเหยออกมา ไอระเหยนี้เข้าใจว่าจะทำปฏิกิริยากับน้ำมันที่ชุ่มอยู่ในผ้าห่อศพ และทำให้เกิดการเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลได้ อย่างไรก็ตามการค้นพบนี้ก็ไม่เป็นที่ยอมรับเท่าใดนัก



ภาพสแกนจากคอมพิวเตอร์ จะปรากฏให้เห็นเป็นใบหน้าชายลึกลับ
ต่อมาได้มีการศึกษาด้านสรีรวิทยา โดยทดลองกับศพจริงๆ หลายศพ พบว่าตะปูที่ตอกอุ้งมือนั้นไม่สามารถยึดร่างคนไว้บนไม้กางเขนได้ เพราะเนื้อ เอ็น กระดูกบริเวณอุ้งมือจะฉีกขาด ทานน้ำหนักตัวไม่อยู่ การตอกตะปูจึงต้องตอกที่ข้อมือ หรือส่วนแขนตั้งแต่ข้อมือไป จนถึงข้อศอกเท่านั้น.........

จากความจริงนี้ทำให้เชื่อได้ว่าผ้าห่อศพนี้เป็นของจริง เพราะรอยที่เกิดบนผ้านั้นปรากฏอย่างชัดเจนว่า การตอก ตะปูยึดกระทำที่แขน ไม่ใช่อุ้งมือเหมือนภาพวาดศิลปะที่นิยมวาดกันทั่วไป



ในปี ค.ศ.1973 ได้มีการค้นพบสิ่งน่าประหลาดอย่างหนึ่ง คือภาพที่ปรากฎอยู่บนผ้านั้นเป็นภาพที่อยู่ส่วนบนของผิวของเส้นด้าย ไม่ได้แทรกซึมลงไปในเนื้อเส้นด้ายเลย และส่วนที่ทำให้เกิดภาพก็ไม่ใช่องค์ประกอบของสีด้วย นอกจากนี้ได้มีการนำตัวอย่างเศษผ้าชิ้นเล็กๆ ไปตรวจสอบ พบว่า เนื้อผ้าเป็นผ้าลินินและใช้กันทั่วไปในปาเลสไตน์สมัยโบราณ เส้นใยทำจากฝ้าย ซึ่งมาจากตะวันออกกลาง ถักทอแบบ "Doubled Thread" ลายก้างปลา เป็นแบบฉบับการทอที่โบราณที่สุด เส้นด้ายนั้นปั่นด้วยมือเป็นวิธีโบราณเช่นกัน

ในปี ค.ศ. 1978 ได้มีการจัดตั้งโครงการเพื่อทดสอบผ้าห่อศพทางด้านวิทยาศาสตร์ขึ้น นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการฉายแสง UV และ เอกซเรย์ มีการถ่ายรูปอย่างละเอียดทุกๆ ตารางมิลลิเมตร ประมาณ 5,000 รูป โดยใช้คลื่นแสงที่มีความถี่ต่างๆ กัน นอกจากนี้ยังมีการใช้เทปเหนียวและเครื่องดูด เพื่อดักจับเอาบางส่วนของเส้นใยเล็กๆ ฝุ่นผง ละอองเกสร และอณูอื่นๆ ไปวิเคราะห์ การดำเนินการตรวจสอบเป็น ไปอย่างช้าๆ โดยอาศัยเวลาว่างเท่านั้น.......เวลาล่วงเลยไปถึงปีครึ่ง
ผลที่ได้ก็มีทั้งที่สร้างความผิดหวังและข้อขัดแย้ง แต่ส่วนใหญ่ของผลงานที่ได้รับก็นำมาซึ่งคำตอบ 

ภาพที่สร้างขึ้นจากคอมพิวเตอร์  3 มิติ
ผลการวิเคราะห์จากโครงการนี้พบว่า สีเหลืองอ่อนที่เป็นภาพ จะปรากฏอยู่บนสุดของเส้นด้าย สีนั้นไม่ได้กระจายหรือซึมลงไปในเนื้อ เส้นด้าย ไม่ได้ไหลลงไปข้างๆ และก็ไม่ได้มีสีปรากฏระหว่างช่องว่างของเส้นด้าย แสดงว่าสีนั้นจับอยู่บนเส้นด้าย ไม่ใช่ด้วยวิธีวาดหรือถูสีไปบนผ้า
ดังนั้นพวกนักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อว่าผ้าห่อศพแห่งตูรินไม่ใช่ภาพเขียน เพราะไม่พบเม็ดสี หรือรงค์ของสีแต่อย่างใดนอกจากเหล็ก ออกไซด์ปริมาณน้อยเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามก็มีนักวิทยาศาสตร์ผู้ร่วมทีมบางคนมีความคิดที่แปลกแตกต่างออกไป ดังนั้นจึงไม่สามารถสรุป แน่นอนถึงที่มาของภาพบนผ้าห่อศพได้ 

สำหรับรอยเปื้อนเลือดที่ปรากฏอยู่บนผ้านั้น เมื่อตรวจสอบจากภาพถ่ายของ เซคอนโด เปีย ( Secondo Pia ) แล้ว พบว่าส่วนที่เป็นเลือดจะปรากฏเป็นโพสิทีฟ ซึ่งต่างกับภาพบนผ้าที่ปรากฏเป็นเนกาทีฟ และเมื่อลองเลาะรอยเย็บข้างหลังผ้าออก ก็พบรอยเลือดที่ไหลผ่านทะลุผ้าลงมา ตรงข้ามกับภาพที่จะเห็นเฉพาะเพียงด้านหน้าของภาพเท่านั้น ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่า รอยเปื้อนเลือดกับรอยที่เกิดเป็นภาพนั้น

เกิดขึ้นด้วยวิธีที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งผลการตรวจสอบก็ปรากฏออกมาว่า รอยเลือดนั้นเกิดจากเลือดจริงๆ โดยผลจากการเอกซเรย์ แสดงให้เห็นเปอร์เซนต์ของธาตุเหล็กในเลือดมนุษย์อย่างถูกต้อง และได้มีนักวิทยาศาสตร์พบร่องรอยผลึกเล็กๆ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นผลึกของ เฮโมโกลบิน

แม้ว่าการวิจัยต่างๆ ทั้งหมด จะเห็นพ้องต้องกันว่าผ้าห่อศพนี้เป็นของเก่าแก่โบราณแน่ แต่ก็ยังไม่อาจสรุปผลได้ว่าภาพปริศนาบนผ้าผืนนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ผ้าห่อศพแห่งตูรินยังคงเป็นสิ่งปริศนาอยู่เหนือข้อพิสูจน์ใดๆ ตราบจนวันนี้ 
ความจริงบางประการของ “ผ้าตราสัง หรือผ้าห่อศพ แห่งตูริน”
1. ภาพบนผ้าเห็นได้เพียงด้านเดียวคือ ด้านหน้า ด้านหลังไม่มีภาพปรากฏ แต่จะมีเพียงรอยเลือดเท่านั้น เพราะเลือดชุ่มโชกผ่านผ้า
2. ขณะที่ภาพเป็นเนกาตีฟ แต่รอยเลือดกลับเป็นโพสิตีฟ ดังนั้น ผ้าจึงมีภาพทั้งที่เป็นเนกาตีฟและโพสิตีฟพร้อมกัน
เมื่อส่องด้วยกล้องไมโครกราฟที่ขยายภาพได้หลายเท่าจะเห็นว่า.. เส้นใยมีความหนา 15 ไมครอน ซึ่งเล็กกว่าเส้นผมของคน เส้นใยมีโครงสร้างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมคือกลายเป็นสีเหลือง เส้นใยสีเหลืองนี้เองที่ทำให้เกิดภาพพระเยซูเจ้าขึ้น และยังแสดงให้เห็นสิ่งประหลาดอีกอย่างคือ เส้นใยที่อยู่ถัดไปภายในเส้นด้ายเดียวกันจะไม่เป็นสีเหลือง ด้ายเส้นหนึ่งจะมีเส้นใยประมาณ 20 เส้น สีเหลืองจะสลับกันไปภายในเส้นด้ายคือ สีเหลือง, ไม่ใช่สีเหลือง, สีเหลือง, ไม่ใช่สีเหลือง.. และสุดท้าย สีเหลือง จะพบอยู่ด้านในของผ้าเท่านั้น และมีความลึกเพียงเส้นใยเดียวเท่านั้น

Gilbert R. Lavoie เขียนหนังสือชื่อ "Resurrected" ได้สรุปว่า..  
1. จาก เกสรและภาพจางๆ ของดอกไม้บนผ้า แสดงว่า.. ผ้ามีแหล่งกำเนิดจากเยรูซาเลมในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี

2. ภาพถ่ายมีลักษณะที่เป็นสามมิติ หรือคล้ายภาพที่ถ่ายด้วย 
x-ray

3. เมื่อขยายภาพใหญ่ขึ้นแสดงให้เห็นว่า.. ไม่มีผงสีบนผ้า และสีเหลืองที่เป็นภาพนั้นอยู่เฉพาะส่วนเส้นใยตอนบนของเส้นด้ายเท่านั้น วิทยาการสมัยใหม่ยังไม่สามารถทำให้เกิดภาพที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้.

4. ภาพนี้มีลักษณะคล้ายกับภาพจากการพิมพ์หนังสือพิมพ์ "ถ้าต้องการให้ภาพมีสีเข้มขึ้น ก็ต้องเพิ่มจุดสีเข้าไปเพิ่มขึ้น"

5. รอยที่คล้ายเลือดนั้นได้ถูกทดสอบทางเคมีแล้วว่า.. เป็นเลือดและน้ำเหลืองของมนุษย์
ข้อมูลใหม่ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า.. การหาอายุด้วยคาร์บอน 14 มีความผิดพลาด ผ้าตราสังเป็นผ้าห่อพระศพในประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง 

Austin H. Bud Mark ได้ศึกษาผ้าตราสังและสรุปว่า..

1. บนผ้าปรากฏภาพลักษณะสามมิติของชายที่ถูกตรึงกางเขน
 
2. รอยเลือดเกิดขึ้นด้วยวิธีการสัมผัสของผ้ากับเลือดที่อยู่บนร่างกาย 
3. ภาพไม่ได้เกิดขึ้นด้วยวิธีการสัมผัสของผ้ากับร่างกาย เพราะถ้าหากภาพเกิดขึ้นด้วยการสัมผ้สขณะที่ผ้าห่อพระศพอยู่แล้ว ภาพโดยเฉพาะที่ใบหน้าจะขยายออกใหญ่กว่าที่เป็นจริง แต่ภาพนั้นมีลักษณะเหมือนจริงทั้งใบหน้าและร่างกาย เหมือนกับภาพสะท้อนของกระจก. 
4. รอยเลือดปรากฏบนผ้าขณะที่ผ้าถูกห่อพระศพอยู่ เป็นการสัมผัสของพระศพกับผ้า 
5. ขณะที่ภาพพระเยซูปรากฏบนผ้านั้น ดูเหมือนผ้าจะอยู่ในลักษณะราบเรียบ และดูเหมือนว่าผ้าอยู่แยกจากร่างกายในขณะที่ภาพปรากฏขึ้น 
6. ขณะที่ภาพปรากฏขึ้นบนผ้า ร่างกายอยู่ในลักษณะตั้งฉากกับพื้นดิน เพราะผมตกลงบนบ่า และใบหน้ามีลักษณะเหมือนคนที่ยืนอยู่ อย่างไรก็ตาม ร่างกายก็ไม่ได้ยืนบนพื้นดิน เพราะลักษณะของเท้าไม่อยู่ในลักษณะของการเหยียบอยู่บนพื้น
7. ขณะที่เกิดภาพบนผ้า ดูเหมือนว่า.. ร่างกายถูกยกขึ้นจากพื้นดินในลักษณะตั้งตรงและลอยอยู่กลางอากาศ... 


วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ฺฺC) Experience : Giant

สวัสดีครับ ช่วงนี้คงไม่ได้เขียนบทความลงบล็อกครับ เพราะไม่มีเวลา  ผมจึงเอาสิ่งต่างๆที่มีคนเขียนไว้มาให้พี่น้องได้รับชมกันครับ เช่นเรื่องคนยักษ์ เป็นต้น

ภาพถ่ายที่เขาเก็บจากที่ต่างๆ





ถัดมาเป็นเรื่องยักษ์ในพระคัมภีร์ มี 4 ตอน
ตอนแรก



ตอนที่สอง



ตอนที่สาม



ตอนที่สี่




ครับ  ให้ดูเป็นความรู้ครับ ว่าเขาเจออะไรกันมาบ้างในโลก  ขอลงบทความอย่างนี้ไปก่อนนะครับ จนกว่าจะมีเวลาพอมาแบ่งปันพระวจนะหรือบทความอื่นๆได้

วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553

A) Word of God : ปฐมโอวาท : การพิพากษาลงโทษเป็นนิตย์

ครั้งที่แล้วเราได้ดูเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตาย และครั้งนี้เรื่องการพิพากษาลงโทษเป็นนิตย์  ความจริงทั้งสองเรื่องก็มีความต่อเนื่องกัน  คือทุกทุกคนจะต้องเป็นขึ้นมาจากความตาย  ผู้ไม่เชื่อเป็นขึ้นมาจากตายครั้งแรกเพื่อการพิพากษาลงโทษเป็นนิตย์เข้าสู่ความตายครั้งที่สอง  ผู้เชื่อเป็นขึ้นมาจากตายเพื่อตอบแทนตามการกระทำในโลก
พระคัมภีร์ที่บอกว่าทุกคนจะเป็นขึ้นมาจากความตาย
Acts 24:15 ข้าพเจ้ามีความหวังใจในพระเจ้า ตามซึ่งเขาเองก็มีความหวังใจด้วย คือหวังใจว่าคนทั้งปวงทั้งคนที่ชอบธรรม และคนที่ไม่ชอบธรรมจะเป็นขึ้นมาจากความตาย

ครั้งก่อนข้าพเจ้าให้ท่านท้งหลายได้ดูเกี่ยวกับเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตายของผู้เชื่อว่า ทุกคนที่เชื่อ(แท้จริง เป็นคริสเตียนแท้) ทุกคนจะเป็นขึ้นมาจากความตายหมดเมื่อพระเยซูมาในโลกนี้เพื่อมารับเรา คนที่ล่วงหลับไปแล้วจะเป็นขึ้นมาก่อนและถูกเปลี่ยนแปลงสภาพใหม่เป็นกายวิญญาณ  หลังจากนั้นคริสเตียนแท้บนโลกจะถูกเปลี่ยนแปลงกายใหม่เป็นกายวิญญาณเช่นเดียวกัน  นั่นคือการฟื้นจากความตาย  หลังจากนั้นผู้เชื่อ ธรรมิกชน  The saints จะปกครองโลกร่วมกับพระคริสต์เป็นเวลาพันปี  และจะเผชิญการทดสอบเป็นครั้งสุดท้าย ว่าจะถูกพญามารที่ถูกปล่อยออกมาเมื่อครบพันปีล่อลวงไปหรือไม่  หลังจากนั้นจะได้อยู่กับพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์

คนที่เชื่อฟื้นมาจากความตายครั้งแรกก็เป็นสุข  และเขาจะถูกพิจารณาประทานรางวัลตามการกระทำของเขาที่อยู่ในโลก
Jer 32:19 พระองค์ทรงเป็นใหญ่ในการให้คำปรึกษา ทรงฤทธานุภาพในพระราชกิจ พระเนตรของพระองค์เห็นทุกวิถีทางของมนุษย์ ประทานรางวัลแก่ทุกคนตามพฤติการณ์ของเขาและตามผลแห่งการกระทำของเขา
Matt 16:27 เหตุว่าเมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาด้วยพระสิริแห่งพระบิดา และพร้อมด้วยทูตสวรรค์ของพระองค์ เมื่อนั้นจะประทานบำเหน็จให้ทุกคนตามการกระทำของตน

วันนั้นวันแห่งการพิจารณาพิพากษา จะมีการแยกแพะแกะออกจากกัน
Matt 25:31 เมื่อบุตรมนุษย์ทรงพระสิริเสด็จมากับทั้งหมู่ทูตสวรรค์ เมื่อนั้นพระองค์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองของพระองค์
Matt 25:32 บรรดาประชาชาติต่างๆ จะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์พระองค์ และพระองค์จะทรงแยกมนุษย์ทั้งหลายออกเป็นสองพวก เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะจะแยกแกะออกจากแพะ
Matt 25:33 ส่วนฝูงแกะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ แต่ฝูงแพะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องซ้าย
Matt 25:34 ขณะนั้น พระมหากษัตริย์จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่าท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักร ซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก
Matt 25:35 เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านทั้งหลายก็ได้จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้
Matt 25:36 เราเปลือยกายท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็ได้มาเยี่ยมเอาใจใส่เรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในพันธนาคาร ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา
Matt 25:37 เวลานั้นบรรดาผู้ชอบธรรมจะกราบทูลว่าพระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ และได้จัดมาถวายแด่พระองค์แต่เมื่อไร
Matt 25:38 ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า และได้ต้อนรับไว้ หรือเปลือยพระกาย และได้สวมฉลองพระองค์ให้แต่เมื่อไร
Matt 25:39 ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือต้องจำอยู่ในพันธนาคาร และได้มาเฝ้าพระองค์นั้นแต่เมื่อไร
Matt 25:40 แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสกับเขาว่าเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย
Matt 25:41 พระองค์จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ท่านทั้งหลายผู้ต้องแช่งสาปจงถอยไปจากเรา เข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารร้ายและสมุนของมันนั้น
Matt 25:42 เพราะว่าเมื่อเราหิวท่านก็มิได้ให้เรากิน เรากระหายน้ำท่านก็มิได้ให้เราดื่ม
Matt 25:43 เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกาย ท่านก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เราเจ็บป่วยและต้องจำอยู่ในพันธนาคาร ท่านไม่ได้เยี่ยมเรา
Matt 25:44 เขาทั้งหลายจะทูลว่าพระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ หรือทรงเป็นแขกแปลกหน้าหรือเปลือยพระกาย หรือประชวร หรือต้องจำอยู่ในพันธนาคาร และข้าพระองค์มิได้ปรนนิบัติพระองค์นั้นแต่เมื่อไร
Matt 25:45 เมื่อนั้นพระองค์จะตรัสกับเขาว่าเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านมิได้กระทำแก่ผู้ต่ำต้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้ ก็เหมือนท่านมิได้กระทำแก่เราด้วย
Matt 25:46 และพวกเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์ แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์

คนที่ไม่เชื่อฟื้นขึ้นมาจากความตายเพื่อถูกพิพากษาลงโทษเป็นนิตย์นั่นคือความตายครั้งที่สอง                                   Rev 20:11 ข้าพเจ้าได้เห็นพระที่นั่งใหญ่สีขาวและเห็นท่านผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น เมื่อพระองค์ทรงปรากฏแผ่นดินโลกและท้องฟ้าก็หายไป และไม่มีที่อยู่สำหรับแผ่นดินโลกและท้องฟ้าเลย
Rev 20:12 ข้าพเจ้าได้เห็นบรรดาผู้ที่ตายแล้ว ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยยืนอยู่หน้าพระที่นั่งนั้น และหนังสือต่างๆ ก็เปิดออก หนังสืออีกเล่มหนึ่งก็เปิดออกด้วย คือหนังสือชีวิต และผู้ที่ตายไปแล้วทั้งหมด ก็ถูกพิพากษาตามข้อความที่จารึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น และตามที่เขาได้กระทำ
Rev 20:13 ทะเลก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่ตายในทะเล ความตายและแดนมรณาก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่อยู่ในแดนนั้น และคนทั้งหลายก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของตนหมดทุกคน
Rev 20:14 แล้วความตาย และแดนมรณาก็ถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟ บึงไฟนี่แหละเป็นความตายครั้งที่สอง
Rev 20:15 และถ้าผู้ใดที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือชีวิต ผู้นั้นก็ถูกทิ้งลงไปในบึงไฟ

การพิจารณาพิพากษาลงโทษของพระเจ้านั้น เกิดขึ้นกับทุกคน ทั้งผู้เชื่อ ผู้ไม่เชื่อ ตามควรแก่การกระทำของเขาทุกคน  สำหรับผู้เชื่อ เรามีพระคริสต์รับโทษทัณฑ์การไถ่ไปหมดสิ้นแล้ว และเราก็ไม่ควรถือดี หรือหยิ่งผยองจองหองในพระคุณที่พระเจ้าประทานแก่เรา  เรายังต้องดำเนินชีวิตด้วยความระวังระไว ดำเนินชีวิตในพระคุณของพระเจ้า เมื่อครั้งใดเราทำผิด เราเข้าไปหาพระเจ้า สารภาพบาป กลับใจใหม่ และตั้งใจว่าจะไม่ทำผิดอีก
การพิพากษานั้นเกิดกับพวกยิวด้วย และต่อมากับคนต่างชาติ  ใช่ว่าได้ชื่อว่าเป็นยิวแล้ว จะพ้นจากการพิพากษาโดยอัตโนมัติ  ไม่ใช่ แต่เขาก็ต้องพึ่งพาพระคุณของพระเจ้าเช่นเดียวกันเหมือนกับคนต่างชาติเหมือนกัน 
Rom 2:3 มนุษย์เอ๋ย ท่านที่กล่าวโทษคนที่ประพฤติเช่นนั้น แต่ท่านเองยังประพฤติเช่นเดียวกับเขา ท่านคิดหรือว่าท่านจะพ้นจากการพิพากษาลงโทษของพระเจ้าได้
Rom 2:4 หรือว่าท่านประมาทพระกรุณาคุณอันอุดม และความอดกลั้นพระทัย และความอดทนของพระองค์ ท่านไม่รู้หรือว่าพระกรุณาคุณของพระเจ้านั้น มุ่งที่จะชักนำท่านให้กลับใจใหม่
Rom 2:5 แต่เพราะท่านใจแข็งกระด้างไม่ยอมกลับใจ ท่านจึงส่ำสมโทษให้แก่ตัวเอง ในวันที่พระเจ้าทรงลงพระอาชญา ซึ่งพระองค์จะทรงสำแดงการพิพากษาลงโทษที่เที่ยงธรรมให้ประจักษ์
Rom 2:6 เพราะพระองค์จะประทานแก่ทุกคนตามควรแก่การกระทำของเขา
Rom 2:7 สำหรับคนที่พากเพียรทำความดี แสวงหาศักดิ์ศรี เกียรติ และความเป็นอมตะนั้น พระองค์จะประทานชีวิตนิรันดร์ให้
Rom 2:8 แต่พระองค์จะทรงพระพิโรธ และลงพระอาชญาแก่คนที่มักยกตนข่มท่าน และไม่ประพฤติตามสัจจะ แต่ประพฤติชั่ว
Rom 2:9 ความทุกข์เวทนาจะเกิดแก่ทุกคนที่ประพฤติชั่ว แก่พวกยิวก่อนและแก่พวกต่างชาติด้วย
Rom 2:10 แต่ศักดิ์ศรี เกียรติ และสันติสุข จะเกิดมีแก่ทุกคนที่ประพฤติดี แก่พวกยิวก่อนและแก่พวกต่างชาติด้วย
Rom 2:11 เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงเห็นแก่หน้าผู้ใดเลย

พระเจ้าไม่ได้เห็นแก่หน้าผู้ใด  ดังนั้นชีวิตที่เรามีอยู่ เราต้องรักษาความรอดของเราไว้ให้มั่น  โดยพระคุณพระเจ้าที่มีต่อเรา โดยความรักของเราที่มีต่อพระเจ้า เราจะไม่ทอดทิ้งพระองค์  เราจะติดตามพระองค์ตลอดไป  เราจะรอคอยวันนั้น วันที่พระองค์จะเสด็จกลับมารับพวกเราไปอยู่กับพระองค์  ขอพระคุณของพระเจ้าช่วยพวกเราทั้งหลายรักษาชีวิตไว้ให้มั่นคงในทางของพระเจ้าตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน..